เสียงเตือนจาก LINE ดัง ติ๊งติ่งๆๆ ไม่หยุด จนในที่สุดผมต้องเอื้อมมือไปหยิบมือถือมากดดู เกือบทั้งหมดเป็นข้อความจากบริษัทที่ผมทำงานอยู่ กำลังหารือเตรียมการที่จะให้เหล่าบรรรดา พิธีกร ดีเจ นักจัดรายการ เตรียมพร้อมสำหรับการต้องทำงานจากที่บ้านกันในวันนี้วันพรุ่ง
“อยากให้พนักงานทุกคนระวังกันอย่างเต็มที่ เตรียมพร้อมเสมอสำหรับการต้องกลับไปทำงานที่บ้านตลอดเวลา เสมือนว่าพรุ่งนี้อาจจะไม่ได้กลับมาทำงานที่นี่อีกในทุกวันนะครับ”
นั่นคือประโยคสุดท้ายบนหน้าจอมือถือ ก่อนที่การประชุมออนไลน์จะจบลง
สมัยเด็กๆ หากได้ยินใครพูดคำคำว่า “ระวัง เตรียมตัว ไป” เมื่อไหร่ เราต่างรู้ทันทีว่า จะต้องเตรียมตัวพุ่งไปข้างหน้าสู่เส้นชัยให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ชัยชนะที่รออยู่ปลายทางนั้นมาครอบครอง
ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ ในวันนี้ วัยนี้เราจะได้กลับมาใช้คำเหล่านี้กันอีกครั้งอย่างถ้วนหน้าเพียงแต่ว่าไม่ใช่เพื่อพุ่งไปข้างหน้า แต่กลับเพื่อให้เตรียมตัวและหัวใจไว้สำหรับการถอยหลังไประวังตัว เตรียมตัวให้พร้อมกับวิกฤติ แล้วกลับไปอยู่บ้านเฉยๆ เพื่อชาติกันโดยไม่มีใครต้องแย่งกันเข้าเส้นชัยกันอีกต่อไป
ท่ามกลางกระแส Work from Home ด้วยอาชีพแล้วผมยังเป็นคนนึงที่จำเป็นต้องเดินทางมาจัดรายการวิทยุสดๆที่สตูดิโออยู่ในทุกวัน จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น
จากลานจอดรถที่เคยเต็มแน่น วันนี้เหลือเพียงรถผมจอดอยู่คันเดียว แม้จะรู้สึกว่าบรรยากาศมันดูหดหู่ไป แต่บอกตรงๆ ว่าผมกลับรู้สึกดีใจที่ยังมีโอกาสได้ใช้ชีวิตใกล้เคียงกับความปกติที่เคยเป็น
ใครจะคิดว่าวันหนึ่ง เราจะตื่นขึ้นมาอยู่ท่ามกลางภาวะที่โหดร้ายคล้ายกับสงครามโลกกันแบบนี้ ที่เคยและควรจะเปิดไมค์สวัสดีทักทายคุณผู้ฟังกันอย่างเริงร่าในแต่ละวันนั้นอยู่ดีๆ วันนี้มันก็ดูว่าจะเขินๆใจพิกล แต่ครั้นจะให้จัดรายการไปอย่างซึมเซา ผมว่ามันก็จะยิ่งชวนอับเฉาหมู่กันไปใหญ่
สุดท้ายโดยไม่ได้คิดอะไรพิเศษมากมาย ผมตัดสินใจเปิดรายการด้วยคำทักทายแบบปล่อยไหลไปว่า
“ในเช้าวันนี้ที่บรรยากาศและสถานการณ์มันเป็นแบบนี้ วันที่อยู่ดีๆ ถนนอโศกมนตรีก็ไม่มีรถเลยสักคัน เรามาลองมองไปรอบๆ ตัวแล้วถามใจตัวเองกันดีไหมว่า เราอยาก “ขอบคุณ” อะไรในชีวิตของพวกเรากันบ้าง พี่อั๋นเริ่มก่อนนะ
…..ขอบคุณทุกคนที่ตื่นมาฟังเพลงด้วยกันทุกวันนะครับ”
•ขอบคุณที่ยังมีงานทำค่ะ
•ขอบคุณที่โลกนี้มีอินเตอร์เน็ต
ขอบคุณที่ยังพอมีเงินเก็บ
•ขอบคุณที่ยังมีครอบครัวให้กลับบ้านไปหา
•ขอบคุณที่เดี๋ยวนี้มาทำงานสบายไม่เคยสายเพราะถนนโล่งมว๊าก
*ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าแค่ได้ขึ้นลิฟต์แล้วไม่ต้องหันหลังให้กันมันโคตรดีเลยพี่
•ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าอยากกอดใครที่สุด ในวันที่เรากอดกันไม่ได้
•ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าวันธรรมดาที่เคยบ่นว่าน่าเบื่อมันจริงๆแล้วมีมันดีจัง
•ขอบคุณที่จะได้เสียภาษีน้อยลงเพราะไม่มีรายได้
•ขอบคุณที่ถึงจะตกงาน แต่ก็ยังแข็งแรงดีอยู่ และ
•ขอบคุณที่ถึงจะป่วย แต่ยังไม่ตกงาน….
ผมไม่สามารถเขียนทุกความขอบคุณที่หลั่งไหลมามหาศาลมาให้อ่านกันได้หมด หลายข้อความที่อ่านแล้วทำให้หัวเราะสดชื่น ในขณะที่หลายข้อความอ่านแล้วแทบจะเผลอสะอื้นผ่านตัวหนังสือออกมา ด้วยน้ำตาแห่งความสุข และเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า พลังแห่งมุมมองและความคิดมีผลเพียงใดต่อความสุขในชีวิตของเรา
เพราะโดยธรรมชาตินั้น เราส่วนใหญ่มักจะหลงใหลไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่ขาด จนพลาดสิ่งที่มี เราต่างเคยเป็นคนที่ไล่ล่าหาแต่สิ่งที่คิดว่าน่าจะดี น่าจะมี น่าจะครอบครองน่าจะเป็นเจ้าของ แล้วหลงคิดไปว่านี่แหละหนาหน้าตาของความสุข แต่เผลอแป๊ปเดียวอ้าว ทุกข์อีกแล้ว
“ขอบคุณทุกความขอบคุณที่ทุกคนส่งกันมา จนทำให้อยู่ดีๆ เช้าวันนี้ก็กลายเป็นเช้าที่ดีที่สุดอีกวันด้วยกันของเรา”
นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนที่ผมจะปิดไมค์บ๊ายบายรายการ โดยที่ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้กลับมานั่งจัดรายการที่นี่อีกไหม ซึ่งจะว่าไปความไม่แน่นอนแบบนี้มันก็อยู่กับชีวิตในทุกวินาทีตลอดมา ตั้งแต่ยังไม่มีเจ้าเชื้อโรคร้ายนี้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเราไม่ค่อยจะมีเวลาได้ใส่ใจ ด้วยความประมาทเกินไป บริโภคกันไม่คิดชีวิต ผลิตทุกอย่างจนเหลือใช้เบียดเบียนโลกทั้งใบจนพังทลาย
อดคิดไม่ได้ว่าหลังจากให้โอกาสสำนึกตัวแก่มนุษย์มานานแสนนาน บางทีพระเจ้าอาจจะทนพวกเราไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เลยจับโลกใบนี้มาเขย่าแล้วสั่งสอนเสียใหม่แบบไม่เลือกว่าใครเชื้อชาติไหน นับถือศาสนาอะไร มีชื่อเสียงหรือเป็นคนธรรมดา เป็นพระราชา เจ้าหญิงหรือเจ้าชาย โดยให้เจ้าไวรัสนี้ทำหน้าที่เป็นครูไหวใจร้ายสอนเรา เผื่อเราจะได้เรียนรู้ว่าที่ผ่านๆ มาพวกแกทำบ้าอะไรอยู่กับโลกของชั้นอยู่ บังคับให้เราได้อยู่บ้านเพื่อสร้างครอบครัวที่เหมือนแตกสลายขึ้นมาใหม่ ตะโกนเสียงดังข้ามทุกเส้นสมมุติแห่งเขตแดนแผ่นดินที่แบ่งเขาแบ่งเราอย่างสุภาพแต่หนักแน่นเหลือเกินว่าอย่าบ้าแต่งาน สนแต่เงิน ให้ค่ากับวัตถุนิยม
เพราะในยามลำบากแบบนี้สิ่งมีค่าสุดท้ายก็เหลือแค่ สุขภาพ อาหาร น้ำ ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัยเครื่องนุ่งห่มที่สะอาดและใส่สบาย ไม่ใช่เสื้อแจ็คหนังตอกหมุด รองเท้าตอกหนาม และในชีวิตอันแสนสั้น สิ่งที่เราควรทำให้มากขึ้นคือช่วยเหลือผู้อื่น และกักตุนขยะในชีวิตให้น้อยลง
ผมขับรถกลับบ้านอย่างช้า ๆ มีเวลาได้เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างไม่ต้องรีบไปทำงานต่อที่ไหน
ไม่มีใครรู้หรอกว่าข้อสอบที่คุณครูบนฟ้ายื่นมาให้เราโดยไม่บอกล่วงหน้าเลยนี้ จะมีเวลาให้นักเรียนอย่างเราได้ทำต่อไปอีกนานเพียงใด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวผมเองหรือคนอีกมากมายจะสอบผ่านไหม
แล้วในระหว่างนี้ที่เรายังมีโอกาสก่อนจะได้ยินสัญญาณ “ระวัง เตรียมตัว ไป” ดังขึ้นครั้งใหม่ ก็อย่าเพิ่งรีบไปไหน ลองหยุดนิ่งแล้วถามตัวเองกันดีไหมว่าพวกเราอยากขอบคุณอะไรในชีวิตที่มีบ้าง
บางทีเราอาจจะพบว่า….
ไม่จริงหรอกที่เราควรที่จะรู้จักขอบคุณ เมื่อชีวิตเรามีความสุขแล้วเท่านั้น
จริงๆ แล้วในทางกลับกัน ผมว่า เราจะมีความสุขได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้จักที่จะมองเห็นสิ่งที่ควรขอบคุณในชีวิตเราต่างหาก
--
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก อั๋น ภูวนาท ได้ทุกวันจันทร์ บนLINE TODAY
ความเห็น 29
BEST
แต่ก่อนแหกปากเห่าด่าแต่รัฐบาล,คนแบบนี้เชื่อไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งทุกอย่าง,ลองมาเป็นคนจนสิแล้วจะรู้ปากกัดตีนถีบคืออะไรจำเป็นต้องเสี่ยงเพื่อความอยู่รอดของอีกหลายชีวิต
30 มี.ค. 2563 เวลา 09.21 น.
Taew
ชอบด่าแต่รัฐบาลฝ่ายตรงข้ามแบบลำเอียงชัดเจน
30 มี.ค. 2563 เวลา 09.54 น.
ตราบใดที่คนเรานั้นยังมีความประมาทกับในการดำเนินชีวิตกันอยู่ ในสิ่งที่ได้คาดหวังเอาไว้ก็อาจจะไม่เป็นไปดั่งที่ใจเราคิดเอาไว้ได้.
30 มี.ค. 2563 เวลา 07.34 น.
Lek
ไม่น่าเชื่อ ถามตัวเองด้วยนะคะ ว่าเราทำอะไรเป็นการทดแทนแผ่นดินแล้วหรือยัง
30 มี.ค. 2563 เวลา 12.22 น.
Seangpana
ประเทศไทย ขณะนี้อยู่ในสงครามต่อสู้กับโรคCOVID -19 เมื่อผู้นำ การรบ วางแผนรบแล้ว เราจะต้องเดินตามอย่าอวดดี อวดเก่ง เหมือนต่างประเทศ เพราะผู้นำเขาคงจะคิดรอบคอบแล้ว เราจะต้องสามัคคีฟังคำสั่งและปฏิบัติเพื่อตัวเราเอง หากเราแพ้สงครามในตอนสุดท้าย เราค่อยมากระทืบผู้นำที่พาเราแพ้
30 มี.ค. 2563 เวลา 09.45 น.
ดูทั้งหมด