เอ็มจี ตีคู่แข่งอีวีกระจุย ยิ้มรับสิทธินำเข้าจากจีนไม่เสียภาษี พร้อมกดราคา“แซดเอส”รุ่นพลัง งานไฟฟ้า100% ตํ่ากว่า 1.5 ล้านบาท เล็งเปิดตัวเดือนมิถุนายนนี้ แต่ยังไม่ทิ้งแผนประกอบในไทย ด้านนิสสันปั้น “ลีฟ” เหนื่อย ประกาศจับมือพันธมิตรใหม่ “เดลต้า” ติดตั้งวอลล์บ็อกซ์ ให้ลูกค้าราคาพิเศษ
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มคึกคัก หลังจากค่ายน้องใหม่อย่างเอ็มจีประกาศแนวรบ ถือฤกษ์ดีในวันที่ 20 มิถุนายน 2562 ทำการเปิดตัวรุ่น แซดเอส อีวี “MG ZS EV” รถอเนกประสงค์ (บีเอสยูวี)ที่นำเข้าจากประเทศจีน โดยคาดว่าราคาของรถในรุ่นนี้จะไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
“เรานำเข้า “ZS EV” มาจากประเทศจีน เนื่องจากได้สิทธิประโยชน์ภาษี 0% จากเอฟทีเอ ไทย-จีน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบและทำให้ราคาของเราจะแข่งขันได้ในตลาด โดยรุ่นใหม่นี้เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของเอ็มจีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% มีรูปลักษณ์โดดเด่นตามแบบฉบับของรถอเนกประสงค์ มาพร้อมกับระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะ i-SMART ที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่สู่ตลาดเมืองไทย ซึ่งเราจะทำการเปิดตัวรถรุ่นนี้ในวันที่ 20 มิถุนายน ส่วนราคาและการส่งมอบเมื่อไรนั้น จะประกาศอย่างเป็นทางการในวันเปิดตัว” นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
สำหรับแซดเอส อีวี “ZS EV” เป็นรถอเนกประสงค์ ในกลุ่มบีเอสยูวี ซึ่งข้อมูลสเปกที่จำหน่ายในจีนระบุว่าขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งจาก 0-50 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 3.1 วินาที และ 0-100 กม./ชม. ประมาณ 8-9 วินาที วิ่งได้ระยะทางไกลสูงสุด 335 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง และ 428 กม. เมื่อวิ่งที่ความเร็วเฉลี่ยไม่เกิน 60 กม./ชม. รองรับฟาสต์ ชาร์จิ้ง ซึ่งชาร์จไฟจาก 0-80% ได้ในครึ่งชั่วโมง
นอกเหนือจากการนำรถรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาด เอ็มจี ยังผนึกกำลังกับอีเอ พลังงานบริสุทธิ์ ซึ่งถือเป็นเอกชนรายใหญ่ที่ให้บริการสถานีชาร์จไฟ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
“การติดตั้งวอลล์บ็อกซ์ให้ที่บ้านหรือไม่นั้น กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา อย่างไรก็ตามเราได้เตรียมความพร้อมด้วยการติดตั้งที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่าย ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 107 -108 แห่งทั่วประเทศ แต่การขยายจะต้องพูดคุยดูความพร้อมของดีลเลอร์ และพื้นที่ต่างๆว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ รวมไปถึงการสนับสนุนจากทางฝั่งรัฐไม่ว่าจะเป็นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวง”นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
การตัดสินใจรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของเอ็มจี ถือเป็นการเดินตามนโยบายหรือวิสัยทัศน์ 4 ข้อที่ได้ประกาศตั้งแต่แรก อันได้แก่ การพัฒนารถยนต์ให้มีการเชื่อมต่ออัจฉริยะมากยิ่งขึ้น (Intelligence connectivity) การพัฒนารถซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electrification) การแบ่งปันรถยนต์ในการใช้งานร่วมกัน (Car Sharing) และการพัฒนารถยนต์สำหรับตลาดในระดับสากล (Globalization)
“ในส่วนของประเทศไทย ถือว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงแบบเดิมๆ สู่รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle-HEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle - PHEV) และกำลังก้าวสู่การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% (Electric Vehicle- EV) ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเริ่มเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเริ่มเติบโต คือการสนับสนุนของภาครัฐที่มีนโยบายและแผนขับเคลื่อนด้านพลังงานที่จูงใจต่อผู้ผลิตรถยนต์ อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การยกเว้นอากรการนำเข้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ และยังมีมาตรการในการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ ขณะเดียวกันการขยายตัวของสถานีชาร์จไฟ ที่ลงทุนทั้งจากภาคเอกชน และหน่วยงานรัฐเริ่มมีเพิ่มมากขึ้น
“ในปีที่ผ่านมาเอ็มจีได้ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนในโครงการรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อินไฮบริด ซึ่งได้รับการอนุมัติแล้ว ส่วนอีกหนึ่งโครงการคือรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรืออีวีนั้นยังต้องรอ แต่ในเบื้องต้นจะลงทุนไม่เยอะเพราะเรามีการลงทุนในส่วนของปลั๊ก-อินไฮบริดไปแล้ว ส่วนการคัดเลือกว่าจะเป็นโมเดลไหนเข้ามาทำตลาดนั้น ยังอยู่ในกระบวนการศึกษาและพิจารณา ซึ่งความตั้งใจของเราคือการมีส่วนร่วมในการพัฒนายานยนต์ในประเทศไทย และต้องการสร้างไทยเป็นฮับหรือเป็นฐานในการผลิต”
เรียกได้ว่าพร้อมรบเต็มที่สำหรับค่ายเอ็มจี ซึ่งจากแนวรุกที่เปิดหน้ามานี้ จะมีส่วนช่วยผลักดันยอดขายที่วางไว้ 5 หมื่นคันให้ไปถึงฝั่งฝันอย่างแน่นอน
ขณะที่ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีแนวโน้มได้รับความนิยม เนื่องจากมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดมากขึ้น และมีความพร้อมขายอย่างจริงจัง หลังจากปีก่อนบางค่ายมีการตีฆ้องร้องป่าวนำรถมาโชว์ให้ได้เห็นกันหลายรุ่น (แต่ยังไม่เปิดขาย)ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ค่ายไมน์ โมบิลิตี้ ที่นำรถเอ็มพีวี 5 ที่นั่ง ในรุ่นสปา 1 มาเปิดให้จองสิทธิเป็นครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ซึ่งภายในงานได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนสุวรรณภูมิพัฒนา โดยจะจำหน่ายรถจำนวน 3,500 คัน เพื่อนำไปทำแท็กซี่และจำหน่ายให้กับสมาชิกสหกรณ์ คาดว่าในต้นปีหน้าจะเริ่มเปิดให้บริการแท็กซี่อีวี
ปิดท้ายด้วยนิสสันกับ “ลีฟ” อีวีที่ขายดีที่สุดในโลก ทว่ายอดขายในไทยอาจจะยังไม่สวยหรู เนื่องจากราคาค่าตัวที่สูง 1.99 ล้านบาท แต่นิสสันยังเดินหน้าปูทางตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยต่อเนื่อง โดยในวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ เตรียมลงนามบันทึกความเข้าใจ
ในการสนับสนุนเครื่องชาร์จไฟฟ้า วอลล์บ็อกซ์ ร่วมกับ เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ผู้ดำเนินธุรกิจบริการจัดการพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ คาดว่าการจับมือกันในครั้งนี้จะมีราคาส่วนลดพิเศษและการรับประกัน สำหรับลูกค้านิสสัน ลีฟ ในการติดตั้งวอลล์บ็อกซ์ของเดลต้า รวมไปถึงการติดตั้งที่ชาร์จให้กับดีลเลอร์ของนิสสันที่มีความพร้อมในการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า
หน้า 28-29 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,472 วันที่ 23 - 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
ความเห็น 2
การเงินและบัญชี
เราต้องรีบชิงฐานการผลิตรถไฟฟ้า เพราะอนาคตคนใช้ทั่วโลกแน่
23 พ.ค. 2562 เวลา 02.01 น.
EAD
ต่างประเทศเขาวิ่งได้เกิน 500 km แล้ว
บ้านเราขายแพงแต่วิ่งได้ 335 km !!!
22 พ.ค. 2562 เวลา 16.16 น.
ดูทั้งหมด