"มิ้นท์ I Roam Alone" เผยเบื้องหลังของการเดินทาง ไม่ได้สวยงามเสมอไป เป็นอุทาหรณ์สำหรับนักเดินทางผู้หญิง หลังโดนไกด์เนปาลทิ้ง และโดนลวนลาม
จากกรณียูทูปเบอร์สาวชื่อดังอย่าง มิ้นท์ มณฑล กสานติกุล หรือมิ้นท์ I Roam Alone ที่มักจะทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวรอบโลกคนเดียว ได้ออกมาบอกเล่าเรื่องราว ฝากถึงนักเดินทางหญิงให้ได้อ่าน เพราะเบื้องหลังของการเดินทางไม่ได้สวยงามเสมอไป โดนไกด์ทิ้งและโดนลวนลาม โดย สาวมิ้นท์ ระบุข้อความว่า
เมื่อโดนไกด์เนปาลทิ้ง และโดนลวนลาม นักเดินทางผู้หญิงอยากให้อ่านนะคะ
ความตั้งใจในการเล่าเบื้องหลังการเดินทางครั้งนี้ เพราะการเดินทางก็เหมือนการใช้ชีวิตทุกๆวัน ที่มีทั้งเรื่องดีๆ แล้วก็มีเรื่องไม่ค่อยดีด้วย บางวันเราเจอคนน่ารัก ได้ยิ้มทั้งวัน แต่ในวันเดียวกันก็อาจจะโดนหลอก เดินหลงทาง เจอคนแย่ๆจนต้องร้องไห้ เพราะการเดินทางก็ไมไ่ด้สวยหรูสำเร็จทุกครั้ง เหมือนชีวิตที่ไม่ได้สวยงามทุกๆวัน เลยอยากมาแบ่งปันทุกๆด้านนะ
การไปถ่ายล่าผึ้งเนปาลครั้งนี้ไม่มีอะไรได้ตามแผนสักอย่าง การสื่อสารกับไกด์หลักพังพินาศ จนต้องยืนโบกรถไปเรื่อยๆเกือบไม่ได้กลับที่พัก แล้วมารู้ทีหลังด้วยว่านักล่าผึ้งไม่ได้เงินจากไกด์เราสักบาท ส่วนไกด์ท้องถิ่นที่ไกด์หลักเอาพวกเรามาทิ้งไว้ก็คอยจ้องจะโดนตัวแบบไม่เหมาะสม จนมิ้นท์กับเพชรต้องคอยดุสลับเดินหนีตลอด สุดท้ายพวกเราตัดสินใจยอมเรียกเฮลิคอปเตอร์พากลับกาฐมาณฑุเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย คลิปนี้มาวันพรุ่งนี้ 6 โมงเย็นนะคะ
สำหรับนักเดินทางผู้หญิง การถูกลวนลามเป็นเรื่องที่น่ากลัว และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นที่เนปาล แต่เป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยครั้งแรกทำให้รู้สึกแย่มาก โทษตัวเอง จนทำให้กลัวการเดินทางไปพักนึงเลย ตอนนั้นคนที่ทำเป็นไกด์ชาวเชอร์ปาอีกเหมือนกันจนอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แล้วเคยมีใครโดนแบบนี้อีกบ้างไหม
- ชี้แจงแล้ว หลังว่อนข่าว "พายุไต้ฝุ่นระดับ 5 ถล่มไทย" 67 จังหวัด" อ่วมหนัก
- วัดร้างชุมพรให้โชค "หนุ่มขับรถไปขอพร" หลังหวยออกรับทรัพย์เต็มๆ
- กสทช. มีมติ จอดำฟุตบอลโลก บน "จานดำ" เริ่มคู่ดึกคืนนี้ถึงจบนัดชิง
ครั้งแรกเดินทางไปเนปาลเมื่อปี 2015 ตอนนั้นตั้งใจไปเดินขึ้นยอด Lobuche ยอด 6,000 เมตรและเดินต่อไปที่ Everest Basecamp การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ไปคนเดียวแต่ไปกับกลุ่มสิงคโปร์ ซึ่งหัวหน้าทีมเป็นคนที่เรารู้จักและไว้ใจมาก เขาปีนเขาที่เนปาลมาหลายสิบปีและกำลังพยายามขึ้นยอด 8,000 ทั้ง 14 ยอดให้สำเร็จ
การเดินทางเริ่มต้นดีมาก เจ้าของบริษัทปีนเขาที่เนปาลที่หัวหน้าทีมใช้มาหลายปีให้พวกเรานั่งเฮลิคอปเตอร์เข้าเมือง Lukla แทนนั่งเครื่องบินซึ่งน่าตื่นเต้นมากๆ หลังจากอยู่ที่เมืองลุกลาเพื่อปรับร่ายกายแป๊บนึง พวกเราก็เริ่มต้นเดินเพื่อไปที่ Everest Basecamp แต่ใครจะไปรู้ หลังเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เนปาลก็เกิดขึ้น ทุกอย่างชุลมุลไปหมด
อินเทอร์เน็ตถูกตัด โทรศัพท์ที่ใช้ได้มีแค่โทรศัพท์ดาวเทียมของหัวหน้าทีม ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าทำไม แต่หัวหน้าทีมตัดสินใจเดินหน้าไปต่อไปที่ EBC เพื่อดูว่าจะยังพอปีนยอด 8,000 ได้ไหมแทนที่จะเดินกลับ ทุกคนก็รีบเดินไปกับเขา จนเราที่ร่างกายอาจจะยังไม่พร้อมได้รับบาดเจ็บหมอนรองกระดูกปลิ้นทับเส้นประสาท จนขาชาไป 1 ข้าง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังฝืนเดินต่ออีกหลายวัน เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่น
เสียงเฮลิคอปเตอร์บินผ่านไปผ่านมาตลอดเวลาเพื่อขนย้ายผู้บาดเจ็บ ที่ Everest Basecamp หัวหน้าทีมก็พยายามเรียกเฮลิคอปเตอร์กลับเมือง Lukla เหมือนกันแต่ว่าก็ไม่ได้ เพราะแม้เฮลิคอปเตอร์ที่ว่ามีเยอะที่เนปาลแต่ก็ไม่ได้เยอะพอสำหรับวิกฤตที่ใหญ่ขนาดนี้ พวกเราเลยจำเป็นต้องเดินกันกลับลงมา
วันนึงที่ที่พักที่อยู่ระหว่างทางเดินลงกลับไปที่เมือง Lukla หัวหน้าทีมก็บอกว่า ไกด์เจ้าของบริษัทหาเฮลิคอปเตอร์ได้แล้วจะส่งเฮลิคอปเตอร์มารับ แต่เฮลิคอปเตอร์มีที่ว่างแค่ที่เดียว เขาบอกว่าให้เธอไปกับเขาเพราะเธอบาดเจ็บ ส่วนพวกฉันจะเดินลงไปเจอกับเธอที่เมือง Lukla จะได้กลับกาฐมาณฑุด้วยกัน ตอนนั้นตัวเองดีใจและโล่งใจมากๆ เพราะปวดหลังจนทนแทบไม่ไหว ขาก็ไม่มีแรงแล้ว ใครจะไปรู้ว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย ย้อนกลับไปหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น เหมือนกับเขาพยายามแยกเราออกจากกลุ่มมากกว่า…
ทันทีที่เฮลิคอปเตอร์จอด ไกด์คนนี้ก็พาเราเข้าที่พักตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ เขาจะคอยมาอยู่ใกล้ๆ คอยพยายามโดนตัวเราตลอด เวลาที่นั่งลงเขาจะเดินมานั่งใกล้ๆ มาขอนวดให้ จับบ่าจับขาจนเราต้องปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่ที่น่ากลัวที่สุด คือ เขาพูดว่า “สองสามคืนนี้ขอไปนอนที่ห้องได้ไหมที่พักมันเต็มหมดเลย ขอไปนอนด้วยนะ” พอเราปฏิเสธเขาก็พูดหัวเราะๆบอกว่า “เดี๋ยวเข้าไปเองได้”
หลังจากวันแรกที่ไปถึง ทุกคืนก็จะต้องเอาเก้าอี้มาวางดันประตู แล้วเอากุญแจเสียบเข้าไปในล็อค เพราะเคยอ่านเจอว่าจะทำให้อีกคนที่มีกุญแจไขเข้ามาไม่ได้ ส่วนตอนกลางวันก็จะนั่งอยู่นอกที่พักเพื่อหลบเขา จะปวดขาปวดหลังก็ต้องอยู่ข้างนอกเพราะเจอทุกครั้งก็จะโดนจับตัวเสมอ
ช่วงเวลาหลายวันนั้นเครียดมาก เพราะรู้สึกว่าไม่มีทางสู้อะไรได้เลย ขาก็บาดเจ็บ เหตุการณ์หลังแผ่นดินไหวก็ดูจะแย่ลงเรื่อยๆ ทุกๆวันรอแต่ว่าทีมจะมาถึงเมืองเมื่อไหร่ แต่ทีมก็ไม่สักทีจนสุดท้ายไกด์คนนี้เดินมาบอกว่า “มีเฮลิคอปเตอร์แล้ว เดี๋ยวเราลงไปพร้อมทีมจีน”
ความรู้สึกตอนนั้นคำว่าโล่งใจยังน้อยไป มันเหมือนยกภูเขาออกจากตัวไปเลย เพราะคิดว่าอย่างน้อยถึงกาฐมาณฑุเราก็จะปลอดภัย
ตลอดเวลาเกือบ 1 ชั่วโมงบนเฮลิคอปเตอร์ ไกด์คนนี้มานั่งตัวติดอยู่กับเราและพยายามโอบไหล่ไปตลอดทาง เขามากระซิบใกล้ๆว่า “ฉันมีลูกมีเมียแล้วนะ ที่กาฐมาณฑุคงจะอยู่กับเธอมากไม่ได้ เอางี้ไหมเดี๋ยวไว้เราไปดูไบกัน เดี๋ยวฉันพาเธอไปเที่ยวไปโดดร่มกัน” ในใจตอนนั้นนึกอย่างเดียวว่าขอให้ถึงไวๆ เพราะมันน่าอึดอัดและน่าขยะแขยงมาก
ที่กาฐมาณฑุเขาเป็นคนจัดการที่พักซึ่งอยู่นอกเมืองไปหน่อย เพื่อรอทีมที่กำลังจะตามมาอีกวันหรือสองวัน ตอนเขายื่นกุญแจให้ เขาก็ทำเหมือนเดิม คือ
“เธอนอนห้องอะไรนะ”
“ไม่บอก”
“ไม่เป็นไรเพราะฉันรู้เบอร์ห้องเธอ”
ทุกคืนที่นั่นก็เลยเป็นเหมือนเดิม คือ ต้องหาอะไรมาขวางประตูไว้ แต่ยังดีที่ไม่ต้องเจอกับเขาบ่อยๆ
ถามว่าทำไมไม่ไปหาที่พักเอง ถ้าใครอ่านข่าวแผ่นดินไหวที่เนปาลตอนนั้นจะรู้เลยว่าเมืองทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง พื้นถนนพัง เสาไฟฟ้าล้มระเนระนาด และแผ่นดินไหวย่อยๆเกิดขึ้นตลอด โรงแรมที่ปลอดภัยมีไม่มากและสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรายิ่งไม่มีทางรู้ได้เลยว่าที่ไหนจะปลอดภัย ที่ทำได้ตอนนั้น คือ รอไฟล์ทกับกรุงเทพ
ที่แย่กว่านั้น คือ ทันทีที่ทีมมาถึงแล้วเราแจ้งหัวหน้าทีม เขากลับหัวเราะแล้วบอกว่า ‘ดีแล้วนะ ได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ฟรีดีจะตาย’ พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ตัวเองก็ยิ่งสับสนว่านี่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ที่นี่รึเปล่า
3-4 วันที่อยู่ที่เนปาลทุกครั้งที่ทีมต้องเจอกับไกด์คนนี้ เราก็ต้องคอยเดินหลบ เพราะเขาจะทำเหมือนเดิมอยู่ตลอด แค่สบตาเรายังไม่กล้า
จนเมื่อเดือนก่อนอ่านเจอข่าวนึงเกี่ยวกับ Everest พอเห็นรูปเขากับลูกชายที่ลงข่าวดังในวงการปีนเขา ตัวเองก็ยังรู้สึกชาไปหมด เขาคือเหตุผลที่ทำให้ไม่กล้ากลับไปที่เนปาลมาหลายปี
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการมาเนปาลครั้งนี้ถึงตัดสินใจใช้ไกด์ที่เพื่อนไว้ใจ และไม่กล้าใช้ไกด์คนไหนก็ได้ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ต้องเจอปัญหา ยังโชคดีที่สถาณการณ์เปลี่ยนทำให้พวกเราไม่ต้องอดทนและกล้าจะสู้กลับ
ถ้าถามว่าทำไมไม่แจ้งความ ทำไมไม่เล่าเรื่องเหล่านี้ก่อนหน้านี้ จริงๆเคยพูดเรื่องนี้บ้างแต่ก็เล่าแค่นิดหน่อยเพราะกลัว กลัวคำพูดที่ว่า “แล้วไปทำไม?” “อยากเดินทางคนเดียวก็แบบนี้…” กลัวโดนบอกว่าที่เจอแบบนี้เป็นเพราะเราหาเรื่องเอง…
แต่ที่ตัดสินใจเล่าเพราะนี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่เกิดขึ้นที่เนปาล และทั้ง 2 ครั้งก็ไม่ได้เดินทางคนเดียวด้วย ที่อยากแบ่งปันเรื่องนี้เพราะอาจจะมีหลายคนที่เคยเจอเรื่องเหล่านี้เหมือนกัน หรือถ้าต่อไปต้องเจอกับคนเหล่านี้ อยากบอกว่าไม่ต้องมัวโทษตัวเอง เพราะการล่วงละเมิดทางเพศไม่ใช่พฤติกรรมที่ยอมรับได้ไม่ว่าจะกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ เราจะอยู่บ้าน จะเดินทางคนเดียว หรือจะเดินทางเป็นกลุ่ม ไม่ว่าจะที่ไหนอย่างไรการล่วงละเมิดทางเพศก็ไม่ควรเกิดขึ้นทั้งนั้น
และนี่ล่ะค่ะ คือ เบื้องหลังการเดินทางที่ไม่ได้สวยงามทุกครั้ง
ขอบคุณเนื้อหาจาก I Roam Alone
ความเห็น 3
ภัทรพร
ดีเลย ได้คอนเทนต์ใหม่มาขาย เรื่องเสี่ยงๆเนี่ยชอบนัก
01 ธ.ค. 2565 เวลา 16.35 น.
ton torres
ไปเอง โดนเอง.... มาบอกทำไม....
01 ธ.ค. 2565 เวลา 21.53 น.
Jirasak
เธอรวย รายได้ยูทูป เดือนละ 5แสน-ล้าน ยิ่งอัพคลิปเยอะ ยิ่งปัง
02 ธ.ค. 2565 เวลา 23.55 น.
ดูทั้งหมด