หายนะของฌอน บูรณะหิรัญ ทำให้คนจำนวนมากแสดงออกว่าเอือมระอาคนที่ตั้งตัวเองเป็น “ไลฟ์โค้ช” และ “กูรู” เพราะถึงแม้ความไม่โปร่งใสเรื่องเงินบริจาคจะเป็นเรื่องของฌอน การที่คนแบบนี้ตั้งตัวเป็นผู้รู้จนขายคอร์สได้สองชั่วโมง 13 ล้านก็สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในสังคมที่น่ากังวล
คนที่เชื่อว่าตัวเองมีความรู้แบบรู้ลึกและรู้วิเคราะห์มีแนวโน้มไม่ชอบฌอน เพราะนอกจากฌอนจะถูกมองว่าพูดแต่คำคมไร้สาระ คนไม่น้อยยังตั้งข้อสังเกตว่าฌอนลอกเลียนคำพูดเหล่านั้นจากผู้อื่น
ฌอนจึงเป็นสัญลักษณ์ว่าสังคมไทยมาถึงจุดที่อวิชชาไร้ปัญญากลายเป็นสินค้ายอดนิยม
คุณวีระ ธีรภัทร เคยตั้งคำถามในรายการโทรทัศน์ว่า “ฌอนคือใคร” และผมคิดว่าคนที่มีอายุรุ่นคุณวีระจำนวนมากคงมีปัญหาว่า “ฌอนคือใคร” แบบเดียวกับคุณวีระด้วย
เพราะฌอนและคนแบบฌอนเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งเพิ่งเกิดในสังคมไทยราวๆ สิบกว่าปีมานี้เท่านั้นเอง
“ไลฟ์โค้ช” และ “กูรู” เป็นสถานะทางสังคมที่ไม่มีสถาบันอะไรรับรอง คนเหล่านี้ทำท่าสอนอะไรบางอย่างเหมือนครูบาอาจารย์ แต่ขณะที่ครูและอาจารย์ต้องมีคุณวุฒิและวิทยฐานะซึ่งถูกรับรองโดยจากสถาบันการศึกษาที่ควรจะเชื่อถือได้ “ไลฟ์โค้ช” และ “กูรู” กลับไม่จำเป็นต้องมีอะไรแบบนี้เลย
แน่นอนว่าความรู้ไม่จำเป็นต้องถูกผูกขาดโดยสถาบันการศึกษาและนักวิชาการ สังคมไทยในอดีตจึงมีพระ, หมอดู, หมอผี, โหร ฯลฯ ที่มีสถานะทางสังคมเหมือน “ไลฟ์โค้ช” หรือ “กูรู” ทุกวันนี้ ซึ่งความน่าเชื่อถือมาจากการสะสมบารมีส่วนบุคคลโดยไม่ต้องสนใจการยอมรับจากสถาบันอื่นเลย
“นักพูด” คือบรรพบุรุษของอาชีพ “ไลฟ์โค้ช” และ “กูรู” และในบริบทที่โทรทัศน์ขยายตัวอย่างสูงในทศวรรษ 2530 “นักพูด” ก็ทำหน้าที่ทางสังคมเหมือน “ไลฟ์โค้ช” และ “กูรู” ในทศวรรษ 2560 ซึ่งหากินโดยสร้างความน่าเชื่อถือส่วนบุคคลที่ไม่ขึ้นต่อสถาบันการศึกษาหรือองค์กรอื่นในสังคม
ไม่มีใครที่สติสัมปชัญญะปกติแล้วไม่รู้ว่า “ไลฟ์โค้ช” และ “กูรู” จำนวนมากสอนในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้มีความรู้พิเศษแต่อย่างใด
รายได้ของคนแบบนี้จึงมาจากการทำให้ผู้ฟังเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าผู้พูดมี “ความรู้” กว่าคู่แข่งอย่างอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือนักวิจัย จนควรจ่ายค่าฟังชั่วโมงละสองพัน
ด้วยเงื่อนไข “ไลฟ์โค้ช” และ “กูรู” เป็นการทำมาหากินโดยไม่มีสถาบันความรู้รองรับอย่างเป็นทางการ เส้นทางของการหากินจึงต้องทำให้คนเหล่านี้มีความเป็นวิชาการโดยอ้างว่าคอร์สที่ตัวเองขายคือสัมมนา, Workshop, อบรม ฯลฯ
ทั้งที่ทั้งหมดคือการซื้อตั๋วฟังคนแบบนี้พูดแทบจะข้างเดียว
สื่อสำคัญสำหรับการสร้างความน่าเชื่อถือของไลฟ์โค้ชและกูรู เพราะในเมื่อไม่มีอะไรรองรับความรู้อย่างเป็นทางการ การสร้างภาพผ่านสื่อว่าตัวเองครอบครองความรู้บางอย่างจึงเป็นวิถีทางเดียวที่จะชักจูงให้สังคมเชื่อไลฟ์โค้ชและกูรูจนยอมซื้อตั๋วแพงๆ โดยลืมถามว่าคนเหล่านี้รู้อะไรบ้างจริงๆ
ไลฟ์โค้ชและกูรูจำนวนมากสร้างความน่าเชื่อถือที่ตรวจสอบไม่ได้จริงๆ กูรูแฟชั่นบางคนชอบอ้างว่าเคยไปอยู่นิวยอร์ก ทั้งที่ไปเรียนประกาศนียบัตรแค่แปดเดือนซึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆ จนไม่มีใครเป็นกูรูด้วยวิธีนี้ได้ แต่การขายคอร์สโดยอ้างนิวยอร์กก็ทำให้คอร์สขายได้ราคากว่าไม่อ้างอะไรเลย
องค์ประกอบทุกอย่างของไลฟ์โค้ชและกูรูอุดมด้วยสาเหตุที่ทำให้คนเอือมระอา ต่างประเทศจึงมีคำเปรียบเทียบว่าคำสอนของไลฟ์โค้ชคือ Pseudoscience ซึ่งแปลแรงๆ ก็คือ “ศาสตร์ลวงโลก” ที่ดูดีแต่ไม่มีอะไรน่าเชื่อถือหรือใช้ประโยชน์ได้ ทำได้ก็แค่ให้ผู้ฟังสบายใจจากการได้รับกำลังใจจอมปลอม
ไลฟ์โค้ชบางคนมีรูปแบบการสอนที่กระตุ้นให้ผู้ฟัง “คิดบวก” ต่อตัวเอง เพราะผู้ซื้อคอร์สต้องมีเรื่องที่ครุ่นคิดหรือไม่สบายใจ การผลักดันให้ผู้ฟังคิดบวกจึงเป็นการเติมเชื้อไฟให้ผู้ฟังเชื่อว่าออกจากสถานการณ์ที่รุมล้อมได้ภายใต้การเสียเงินซื้อคอร์สของ “ไลฟ์โค้ช” ไปเป็นเข็มทิศชีวิตตัวเอง
ด้วยเหตุดังนี้ ไลฟ์โค้ชมักสร้างเรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตตัวเองให้วนเวียนอยู่กับการก้าวข้ามปัญหาจนเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในที่สุด กูรูในธุรกิจไลฟ์โค้ชจึงมักเริ่มต้นว่าตัวเองเคยเลว เคยใจแตก เคยเห็นแก่ตัว เคยต่อยพ่อ เคยติดคุก ฯลฯ แต่เมื่อพัฒนาตัวเองให้ถูกทิศก็ร่ำรวยได้ในบั้นปลาย
น่าสนใจด้วยว่าไลฟ์โค้ชที่ประสบความสำเร็จด้านการขายมักมาพร้อมกับความคลั่งไคล้ในการอวดคอนโดหรู, อวดรถหรู, อวดนาฬิกาหรู, แต่งตัวหรู ฯลฯ เพื่อให้ผู้ฟังเห็นตั้งแต่แว่บแรกว่าไลฟ์โค้ชคือตัวอย่างของคนที่พัฒนาตัวเองจนร่ำรวยจริงๆ จนสมควรที่ทุกคนจะซื้อคอร์สเคล็ดลับความรวย
“คิดบวก” หมายถึงวิธีคิดที่สร้างสรรค์จนเปลี่ยนมุมคิดเพื่อหาทางออกจากปัญหาได้ตลอดเวลา แต่วิธีคิดแบบนี้เกิดจากการฝึกฝน คอร์สสองชั่วโมงช่วยไม่ได้ ไลฟ์โค้ชบางพวกจึงสร้างการคิดบวกปลอมๆ โดยให้ผู้ฟังปรบมือชมตัวเองพร้อมคำพูดว่า “ยอดเยี่ยมมากครับ” อย่างคลุ้มคลั่งตลอดเวลา
ไลฟ์โค้ชและกูรูมักเริ่มต้นเรื่อง “คิดบวก” โดยให้ผู้ฟังนึกถึงผู้อื่นมากกว่าตนเอง แต่ในที่สุดแทบทุกคอร์สทิ่คิดบวกล้วนมีเนื้อหาวนเวียนอยู่กับการรวยลัด, ทำการตลาดออนไลน์ให้รวยเร็ว, ค้าที่ดินอย่างไรให้สุดยอด, เคล็ดลับอายุน้อยร้อยล้าน, สร้างโรงแรมและธุรกิจทั่วประเทศ ฯลฯ เท่านั้นเอง
ขณะที่ไลฟ์โค้ชตั้งตัวเองเป็น “อาจารย์” หรือ “ครู” เพื่อกลบเกลื่อนภาพขายคอร์สหาเงิน สารที่ไลฟ์โค้ชสอนล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ถูกสอนโดย “อาจารย์” ในความหมายของสถาบันวิชาการแบบตะวันตก หรือ “ครู” ในความหมายของคุรุตะวันออก นั่นคือการไขว่คว้าหาทางรวยแบบรวยลัดและรวยเร็ว
แน่นอนว่าไลฟ์โค้ชและกูรูมีหน้าที่ทางสังคมต่างจากอาจารย์และครูในความหมายที่เคร่งครัด แต่การที่แทบไม่มีไลฟ์โค้ชหรือกูรูขายคอร์สประเภท “รวยแล้วต้องไม่เอาเปรียบสังคม”, “รวยลัดต้องเป็นธรรม” หรือ “ทำอย่างไรเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรม” ก็สะท้อนอะไรบางอย่างได้พอสมควร
ไลฟ์โค้ชมีแนวโน้มจะแทนที่การคิดถึงนโยบายสาธารณะโดยพัฒนาคุณสมบัติส่วนตัว คำสอนเรื่องพัฒนาตัวเองเป็นอาภรณ์ห่อหุ้มการเอาตัวรอดด้านการขาย
โลกแบบนี้ทำให้ “ส่วนรวม” ค่อยๆ เลือนหายด้วยคำถามเรียวแคบว่าทำอย่างไรที่จะกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าสตางค์มากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
จริงอยู่ว่ามีไลฟ์โค้ชไม่กี่คนที่สอนให้เห็นแก่ตัว แต่คำสอนให้แต่ละคนพัฒนาตัวเองเพราะ “ความสำเร็จขึ้นอยู่กับตัวเรา” ทำให้เกิดโลกทัศน์ว่าคนเราจะรวยหรือจนขึ้นอยู่ตัวเราเองทั้งหมด ทั้งที่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับโอกาสทางสังคม, ความเป็นธรรมในการแข่งขัน ฯลฯ ซึ่งไม่มีไลฟ์โค้ชสอนเรื่องนี้เลย
ไลฟ์โค้ชและกูรูเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงของระบบทุนนิยม การขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิตอลทำให้การค้าออนไลน์เติบโต และความถดถอยของภาคอุตสาหกรรมจนเศรษฐกิจมหภาคหดตัวก็ยิ่งทำให้คนจำนวนมากต้องหากินในโลกออนไลน์โดยไม่มีความรู้อะไรเลย
ความเติบโตของธุรกิจไลฟ์โค้ชและ “กูรู” สะท้อนความพยายามเอาตัวรอดของชนชั้นต่างๆ ในสังคม เพราะสำหรับคนที่คิดว่าทุกอย่างในชีวิตไปด้วยดี ไลฟ์โค้ชคือส่วนเกินที่ไม่มีคุณค่าอะไรทั้งสิ้น ไลฟ์โค้ชอยู่ได้ในสังคมที่เศรษฐกิจผันผวนจนคนต้องการเครื่องมืออะไรสักอย่างให้มั่นใจว่าอยู่ได้จริงๆ
ด้วยเหตุที่ไลฟ์โค้ชและ “กูรู” ขายคอร์สในราคาที่เกินเอื้อมจากมือคนส่วนใหญ่ในสังคม ไลฟ์โค้ชจึงเป็นปรากฏการณ์ซึ่งสะท้อนความไม่มั่นใจในอนาคตตัวเองของชนชั้นกลางและผู้ประกอบการด้วย และยิ่งไลฟ์โค้ชและ “กูรู” เติบโตก็ยิ่งแสดงว่าชนชั้นกลางและผู้ประกอบการกังวลอนาคตตัวเอง
ไลฟ์โค้ชและ “กูรู” เป็นอาชีพที่เติบโตในสิบปีซึ่งสังคมไทยผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมือง ไลฟ์โค้ชให้แสงสว่างกับคนที่เหนื่อยล้าจนหาทางออกไม่ได้ แต่ไลฟ์โค้ชไม่ใช่ทางออก เป็นได้แค่คนให้ยากล่อมประสาท เพราะต้นตอของปัญหาคือความไม่แน่นอนในชีวิตจากระบบเศรษฐกิจการเมือง
ไม่ต้องแปลกใจที่คำสอนของฌอนจะไม่มีสาระอะไร เพราะหน้าที่ของไลฟ์โค้ชไม่ใช่ให้สาระ แต่คือการพูดซ้ำๆ และใช้ดนตรีติ๊งหน่องสร้างแรงบันดาลใจให้คนคิดว่าจ่ายสี่พันแล้วรวย
ความเห็น 13
Paa
เลวมากเอาความเดือดรัอนของคนกลุ่มหนึ่งไปทำให้คนอีกกบุ่มหนึ่งเดิอดร้อน จะรอดูเณรคำยังไม่อด !!
04 ก.ค. 2563 เวลา 06.10 น.
ตราหมี
น่าคิด คำพูดประโยคเดียว "ท่านเป็นคนน่ารัก"
ส่งผลร้ายแรงขนาดนี้
ถ้าไม่พูด เรื่องก็คงไม่แดง
03 ก.ค. 2563 เวลา 14.25 น.
liquid paper
บทความนี้.....สุดยอดมาก
เจาะตรงทุกข้อ เเหกหน้า โค้ชทั้งหมด......
โดยเฉพาะ ผู้กองเบ้น.... ที่ไปไม่รอด เพราะไม่มีใครเอาในวงการตำรวจ จึงหันมาแหกตา ประชาชน
03 ก.ค. 2563 เวลา 14.11 น.
eej❤️lui
มองยังไงมันก็คนละเรื่องกัน ฌอนเขาถูกตั้งคำถามถึงเงินบริจาคต่างหาก ว่าเปิดรับบริจาคตั้งนาน ทำไมได้แค่ 8 แสน ซึ่งต่างจากเพจอื่นๆ ที่คนติดตามน้อยกว่า เปิดรับเงินบริจาคสั้นกว่า
03 ก.ค. 2563 เวลา 13.50 น.
ชาติชาย
รับจ้างรัก.เป็นอาชีพที่มาแรง
03 ก.ค. 2563 เวลา 13.49 น.
ดูทั้งหมด