กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ณ วันที่ 7 เมษายน 2563 มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 38 คน รวมผู้ป่วยสะสม 2,258 คน หายเพิ่ม 31 คน รวม 824 คน เหลือผู้ป่วย 1,408 คน เสียชีวิตสะสมคงที่ 26 รายสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีอัตราลดลง แต่ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ หลายจังหวัดได้ยกระดับมาตรการควบคุมป้องกันขึ้นสูงสุดมากไปกว่าการประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่เวลา 22.00-04.00 น. ของศูนย์บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 (ศบค.) ด้วยซ้ำ
หลายฝ่ายระดมมาตรการแก้ปัญหาอย่างเต็มกำลัง เพื่อระงับยับยั้ง หน่วงโรคไม่ให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งเดินหน้ารณรงค์ขอความร่วมมือให้อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ทำงานที่บ้าน ซึ่งได้ผลที่น่าพอใจตามสมควร พร้อมกับการควบคุมการเดินทางโดยเฉพาะจากต่างประเทศที่เข้ามายากขึ้น เมื่อเข้ามาแล้วต้องกักกันสอบสวนโรค 14 วัน แต่ยังมีบางส่วนที่ขาดวินัย พร้อมที่จะแหกกรอบตลอดเวลา
การใช้มาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น เพื่อสกัดยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนหยุดชะงักลง รวมทั้งผลพวงของโควิด-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก่อนหน้าส่งผลให้เศรษฐกิจเสียหายหนักขึ้น ธุรกิจเลิกจ้างงาน แรงงานตกงานจำนวนมากขึ้น รัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบรรเทาผลกระทบระยะสั้น
อย่างไรก็ดี ผลกระทบทางเศรษฐกิจรอบนี้รุนแรงมากที่สุดในรอบหลายปี รัฐบาลจำต้องกู้เงินโดยใช้เม็ดเงินรวมกันประมาณ 2 ล้านล้านบาท โดยออกพร.ก.กู้เงินโดยกระทรวงการคลัง วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ใช้ดูแลโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม ผู้ประกอบการ เกษตรกร ลูกจ้าง ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขและอื่นๆ
การออกพ.ร.ก.จัดตั้งกองทุนเพื่อดูแลตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน วงเงิน 4 แสนล้านบาท เพื่อให้ธปท.เข้าไปซื้อตราสารหนี้โดยตรงผ่านกองทุน การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบในรูปแบบโครงการเงินกู้แบบผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ หรือซอฟต์โลน โดยธปท.ปล่อยกู้สถาบันการเงินไปปล่อยต่อให้ลูกค้าอีก 5 แสนล้านบาท รวมทั้งการตัดลดงบรายจ่ายปี 2563 ของแต่ละกระทรวง 10% เม็ดเงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาท รวมกับซอฟต์โลนคงเหลือของธนาคารออมสินอีก 1 แสนล้านบาท
การออกพ.ร.ก.กู้เงินครั้งนี้แม้จะเป็นจำนวนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เกิดจากเหตุจำเป็นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจำต้องรอบคอบมีแผนการใช้เงินที่ตรงเป้าหมายชัดเจน ทั้งการเยียวยาระยะสั้นและการฟื้นฟูผลกระทบทางเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว ที่สำคัญต้องดูแลไม่ให้เกิดการรั่วไหล พร้อมกับมีแผนชำระหนี้เงินกู้อย่างเป็นระบบ บอกทิศทาง เป้าหมายให้ประชาชนรับทราบอย่างชัดเจน ต้องคำนึงให้จงหนัก ใช้เงินของประชาชนให้คุ้มค่าอย่างแท้จริง
ความเห็น 8
ต้น
555555555
10 เม.ย. 2563 เวลา 15.17 น.
Nick Private Travel
คนบาป 2020 ☺
09 เม.ย. 2563 เวลา 06.06 น.
Tomvorapot
ลุงตู่มาถูกทางแล้ว
เราต้องใช้พื้นที่การคลัง เช่น พรก 1-2ล้านๆ ลงฐานรากก่อนมาตรการทางด้านการเงิน ในยามที่ปัญหาเศรษฐกิจอยู่ฝั่งอุปสงค์
ไทยใช้โมเดลดุลบัญชีเศรษฐกิจมหภาค ที่มีอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว กำหนดอัตราดอกเบี้ยเอง มีสกุลเงินเอง มีดุลเดินสะพัดบวก ทุนสำรองสูง หนี้นอกต่ำ ฯลฯ เหมาะสมแล้วครับ
และต้องใช้ทฤษฎี GND กำกับการจัดสรรงบฯ ให้ถูกที่ถูกจุด พอเพียง ที่เหลือใช้เตรียมสร้างเศรษฐกิจมหภาคยั่งยืน ที่ฐานรากหลังโควิท ที่ต้องไม่พึ่งพาส่งออกและท่องเที่ยวมากไป
ถ้าฐานของปิรามิดแข็ง ที่เหลือก็ไปรอด
09 เม.ย. 2563 เวลา 03.20 น.
happiness
กู้เงินครั้งใหญ่ขนาดนี้ ก็ยกเลิกงบที่จะใช้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ของทหารออกให้หมดด้วยสิครับ ไว้ใช้หนี้เขาหมดเมื่อไรค่อยคิดซื้อใหม่ ไม่ใช่บอกขอกู้มาใช้เรื่องนึงแต่เอาไปใข้อีกเรื่องนึงนะครับ แล้วบรรดาท่านผู้บริหารประเทศทั้งหลายก็ร่วมกันบริจาคเงินช่วยเหลือประเทศชาติยามเดือดร้อนบ้างไม่ใช่ว่าให้ประชาชนดิ้นกันเองแถมพอได้เงินประชาชนบริจาคมาก็เอาไปใช้แบบไม่โปร่งใสอีก ยามเดือดร้อนก็ช่วยกันหน่อยแสดงถึงความจริงใจในการบริหารบ้านเมืองบ้าง ไม่ใช่มัวแต่นั่งกินเงินเดือนไปวันๆ อาชีพนักการเมืองไม่โดนลดเงินเดือนนี่
09 เม.ย. 2563 เวลา 02.15 น.
KT Independence
10% หักจากรายกระทรวง จะเท่าๆกับที่เคย
แอบไปเอามาจากประกันสังคม และยัง
ไม่ได้คืน.. เงียบหาย..
09 เม.ย. 2563 เวลา 02.06 น.
ดูทั้งหมด