โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ยังไม่ “ลืม” ที่จะ “รัก” - อั๋น ภูวนาท

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 07 มิ.ย. 2563 เวลา 17.00 น. • อั๋น ภูวนาท
Photo byภาพโดย Andreea Popa / unsplash.com
ภาพโดย Andreea Popa / unsplash.com

เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตบนโลก 

ไม่มีใครไม่รู้แต่เรากลับยอมรับสัจธรรมข้อนี้ได้ยากจัง หลังจากว่างเว้นอยู่บ้านมานาน ก็ถึงเวลาที่ผมและเพื่อนๆ จะได้รวมตัวกันเฉาและเหงาตายกันสักที ผมไปถึงสายที่สุดด้วยติดงานสารพัดรัดตัวตามเคย

“อั๋น แกยังไม่ผ่านพ้นช่วงเวลาบ้างานของชีวิตอีกเหรอวะ เดี๋ยวก็ตายก่อนได้ใช้เงินหรอก” นี่คือประโยคทักทายจากเพื่อนข้าพเจ้า ผมแอบงงว่า ก่อนหน้านี้พวกเค้าคุยอะไรกันอยู่ แต่แล้วผมก็ได้คำตอบจากคำถามต่อมานั่นเองว่า

“รู้ยังว่าอ้อมเป็นมะเร็ง แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วนะ”

“ส่วนยายของตูนเป็นอัลไซเมอร์แหละ ชั้นตื่นเต้น เคยแต่ได้ยิน แต่ไม่เคยรู้ว่าจริงๆ เป็นยังไงเลย”

จะว่าไปก็จริงนะครับ ผมก็เคยแต่ได้ยิน กับเคยได้เห็นในหนัง แต่ไม่เคยเจอคนที่เป็นจริงๆ เลยสักคน แต่ละยุคสมัยมีสุดยอดมหันตภัยโรคภัยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มากมายครั้งหนึ่งยุคหนึ่งอาจเป็นฝีดาษ วัณโรค มาเลเรีย อหิวาตกโลก มะเร็ง เอดส์ หวัดนกหรือแม้แต่ล้าสุดกับโควิด19 น่ากลัวทั้งนั้นและจนถึงวันนี้ก็มีไม่น้อยที่ยังคร่าเอาชีวิตเพื่อนร่วมโลกของเราไปอย่างไม่หยุดหย่อน

หากผมถามคุณเล่นๆ แบบไม่ได้มีเจตนาคิดแช่งนะครับ อันเกิดแก่เจ็บตายนั้น โดยปกติแล้วเราคงไม่มีโอกาสเลือก แต่ถ้าบังเอิญ คุณเลือกได้ คุณว่าโรคไหนในโลกที่เลวร้ายน่าเกลียดน่ากลัวที่สุดครับ

……………………….

……………………….

หมดเวลา…

หลักๆ แล้วขอเดาว่าคำตอบก็คงหนีไม่ไกลไปจากมะเร็ง เอดส์ อะไรประมาณนี้ แต่สำหรับผม ผมว่า "อัลไซเมอร์" นี่ล่ะเลวสุด เพราะมันเป็นการป่วยที่พรากเอาสิ่งที่มีค่าสุดในชีวิตของคุณไปนั่นคือ “ความทรงจำ” แล้ววันนั้นคุณก็จะมีสภาพไม่ต่างไปจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้ลงโปรแกรมอะไรไว้เลย ที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวของคุณเองเป็นใคร และในยามที่กำลังจะจากโลกใบนี้ไปใครคือคนที่ยืนกุมมือคุณอยู่ข้างๆเตียง ไม่รู้ไม่เหลืออะไรซักอย่าง มองเห็นแต่ความว่างเปล่า ได้ยินแต่เหมือนเงียบงันและมันไม่มีความหมายอะไรเหลือต่อจิตใจอีก

“แต่เราว่ามันเป็นโรคที่โหดร้ายกับคนที่อยู่รอบๆ คนที่ป่วย มากกว่าโหดร้ายกับตัวเค้าเองนะอั๋น”

“เรายังจำครั้งแรกที่ยายหันมาถามว่า เราเป็นใคร ได้เลย ความรู้สึกมันยิ่งกว่าเสียใจนะมันอึ้ง จุก เหมือนหัวใจมันแตกสลาย” ตูน เพื่อนผู้มีประสบการณ์ตรงเอ่ยปากเล่าถึงสิ่งที่อาจไม่เคยมีใครนึกถึงมาก่อน

“คนที่ลืมไม่รู้สึกอะไรหรอก คนที่ถูกลืมต่างหากที่เจ็บปวด”

ผมฟังแล้วอดคิดถึงภาพยนตร์ฮอลีวู้ดที่สร้างจากเรื่องจริงเรื่อง “Away from Her” ไม่ได้ที่มี จูลี่ คริสตี้ ซึ่งแสดงเป็นคนป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ที่ลืมลูก ลืมสามีตัวเอง จนต้องถูกนำไปดูแลอย่างใกล้ชิดในสถานพยาบาลพิเศษสำหรับผู้ป่วยโรคนี้โดยเฉพาะ เท่าที่ความทรงจำในสมองเสื่อมๆ ของผมจะจำได้นั้น หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของโศกนาฏกรรมความรักที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างที่สุด กับโรคที่ทำลายได้แม้แต่กับความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างพ่อแม่กับลูกได้จนหมดสิ้นไม่เหลือเยื่อใย

ที่น่าเจ็บปวดไปกว่านั้นก็คือ สุดท้ายจูลี่ที่จำอะไรไม่ได้เลยนั้นกลับไปพบรักแท้ครั้งใหม่กับชายอีกคนที่ป่วยเหมือนกัน คน 2 คนที่ต่างจำอะไรไม่ได้ กลับจำกันและกันได้อย่างชัดเจน กับโลกทั้งใบที่มีเพียงเขาและเธอเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ หนังพาเราไปรู้จักอีก1 ด้านของรักแท้ที่บริสุทธิ์ของทั้ง 2 จนเราอดเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำไปกับทั้ง 2 ไม่ได้ ความสุขที่ยิ่งใหญ่ เกิดขึ้นท่ามกลางความทรงจำที่สูญหาย มันดูเกือบจะเป็นความรักที่สวยงามจนหาที่ติไม่ได้เลย หากเพียงแต่ถ้าทั้งหมดนี้ ไม่ได้ถูกบอกเล่าผ่านสายตาที่ปวดร้าวของอดีตสามีที่ถูกเธอลืมไปแล้ว……

หนังจบลงที่อดีตสามียอมรับความรักครั้งใหม่ของเธออย่างเข้าใจ เพื่อเห็นแก่ความสุขและสงบ หลังจากที่ต้องตกอยู่ภายใต้มรสุมของอัลไซเมอร์ แบบไม่มีทางเลือก

มันเป็นเรื่องยากเสมอกับการต้องยอมรับให้ได้ ที่จะต้องเห็นคนที่เรารักมีความสุขกับคนอื่นที่ไม่ใช่เรา แต่ถ้าทำได้ นั่นแหละคือรักแท้นะครับ

ตูนบอกผมว่า หมอก็เคยบอกให้ไปหาหนังเรื่องนี้มาดูเหมือนกัน เพราะอาจจะทำให้เข้าใจอะไรยายได้มากขึ้น แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีโอกาสซักที เลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว หนังมันเกี่ยวกับอะไรและตั้งใจบอกอะไร

แหม บังเอิญผมก็ไม่ใช่หมอด้วยสิ เลยไม่กล้าสรุปอะไรให้แทน แต่แอบคิดไปเองว่าบางทีหมออาจแค่อยากบอกให้มันเองและคนรอบข้างรู้ว่า

อัลไซเมอร์อาจจะทำให้คนเราสามารถลืมอะไรต่อมิอะไรได้หมดสิ้น แต่ตราบใดที่หัวใจยังเต้นอยู่ มันก็จะยังคงเดินทางตามหาความรักต่อไป

เพราะคนเรารักกันด้วย “หัวใจ” ไม่ใช่ “สมอง”

“ถึงยายเราจะลืมเราทุกวัน เราก็จะทำให้ยายรักเราใหม่ให้ได้ทุกวันเหมือนกัน”

นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ตูนพูดกับผมในวันนั้นก่อนที่มันจะเปลี่ยนไปคุยถึงเรื่องอื่นกับเพื่อนๆ ต่อ……..ปล่อยให้ผมนั่งยิ้มอยู่เงียบๆ คนเดียวตั้งนาน

--

ติดตามบทความดี ๆ จาก อั๋น ภูวนาท ทุกวันจันทร์ บนLINE TODAY

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0