อดีต รมว.คลัง ชี้ เงินบาทแข็งมากเกิน จี้ ทบทวนนโยบาย เปลี่ยนผู้ว่าแบงก์ชาติ
ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรมว.คลัง อดีต รมว.ศึกษา ได้เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงประเด็นค่าเงินบาท ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งอย่างต่อเนื่อง โดย มีการวิเคราะห์ถึงประเด็นดังกล่าว และพาดพิงถึงแบงก์ชาติ ว่า รัฐบาลควรมีการแก้กฎหมาย กำหนดอัตราเงินเฟ้อ และ มองว่า ปัจจุบันผู้ว่าแบงก์ชาติมีอิสระมากเกินไป พร้อมกับชี้ว่า ควรเปลี่ยนผู้ว่าแบงก์ชาติ
โดยข้อความระบุว่า เงินบาทแข็งมากเกินไป: รัฐบาลควรเปลี่ยนนโยบายจาก กำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ เป็นกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรมว.คลัง อดีตรมว.ศึกษา 12 มกราคม 2563
1) ทุกวันนี้แบงค์ชาติ มักบอกว่าเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเรื่อยๆ เพราะประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด หากทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง จะยิ่งเกินดุลฯ ไปกันใหญ่ จะถูกสหรัฐเล่นงานได้
2) แบงค์ชาติคิดว่า ในเมื่อเงินบาทแข็งค่ามาก การส่งออกสินค้าและบริการ (รวมท่องเที่ยวขาเข้า) จะลดลงมาก จะไปทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเปลี่ยนจากเกินดุลฯ เป็นขาดดุลฯ แล้วค่าเงินบาทก็จะอ่อนลงเอง ความคิดเช่นนี้ ดูเหมือนขาดความรู้เศรษฐศาสตร์มหภาค ความจริงคือ ค่าเงินบาทแข็ง ทำให้ส่งออกลด แต่นำเข้าลดลงมากกว่า จึงทำให้ดุลสินค้าและบริการยังเกินดุลต่อเนื่อง และเงินบาทจะไม่อ่อนค่าลง
3) ข้อแท้จริงค่าเงินบาทแข็งมากๆ เกิดจากแบงค์ชาติ ทำให้ปริมาณเงินบาท มีน้อยกว่าที่ควรในระบบเศรษฐกิจของชาติ (การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นเพียงส่วนเล็กๆ) เงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ราคาสินค้าออกและท่องเที่ยวในรูปเงินต่างประเทศแพงขึ้น การส่งออกฯ จึงลดลง ไปลด GDP (เพราะสินค้าและบริการส่งออก ก็คือส่วนใหญ่ๆ ของ GDP ประมาณ 70%) เมื่อ GDP ลดลง จะทำให้สินค้าและบริการนำเข้าลดลง แต่ค่า percentage (%) ของความยืดหยุ่นของการนำเข้าต่อ GDP (import elasticity with respect to GDP) เท่ากับ1.85 ก็คือ หาก GDP ลดลง 1% สินค้าและบริการนำเข้าจะลดลง 1.85% การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในภาวะเงินบาทแข็งค่า จึงเกิดขึ้นได้ เพราะการนำเข้าฯ ลดลงเร็วกว่าการส่งออกฯ ที่ลดลง
4) ในทางกลับกัน หากเราปล่อยให้ปริมาณเงินบาทเพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจไทย อย่างเหมาะสม เงินบาทก็จะอ่อนค่าลง การส่งออกฯจะเพิ่มขึ้น ไปเพิ่ม GDP แล้วจะทำให้การนำเข้าฯเพิ่มขึ้นมากกว่าการส่งออก ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลลดลง จนอาจขาดดุลได้ และไม่ถูกสหรัฐเล่นงาน
5) แบงค์ชาติมีหน้าที่บริหารระบบเศรษฐกิจ โดยใช้ปรัชญาความคิด ในแบบเศรษฐศาสตร์มหภาค แต่ผู้ใหญ่ในแบงค์ชาติ คิดและวิเคราะห์แบบเศรษฐศาสตร์จุลภาค คือคิดเป็นเรื่องๆ เป็นชิ้นๆ ไม่เป็นระบบเชื่อมโยงต่อเนื่อง ข้อสรุปที่ได้ จึงมักตรงข้ามอยู่บ่อยๆ ในกรณีนี้ ค่าเงินบาทแข็งมาก แทนที่จะไปแก้ที่ระบบ กลับไปแก้เรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น ให้เอกชนเก็บเงินตราต่างประเทศไว้ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆ แก้ไขปัญหาไม่ได้
6) ความคิดความเข้าใจ เช่นนี้ ทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย เติบโตต่ำอย่างต่อเนื่องมากว่า 5 ปีแล้ว และเนื่องจากนโยบายการเงินและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน เป็นกลไกราคา จึงมีผลมากต่อระบบเศรษฐกิจมากกว่านโยบายการคลังมาก ทำให้ประเทศไทยไม่เจริญเติบโต และทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยากจนลง
7) รัฐบาลควรเปลี่ยนผู้บริหารแบงค์ชาติ ไปทำหน้าที่อื่น เพราะดูแล้วไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ แล้วหาคนที่เข้าใจระบบเศรษกิจมหภาคอย่างลึกซึ้งมาทำหน้าที่แทน ผู้ว่าแบงค์ชาติญี่ปุ่นและจีน เป็นนักเศรษศาสตร์มหภาค มีประสบการณ์ และเชี่ยวชาญ มีอายุกว่า 70 ปี
8) รัฐบาลควรแก้กฎหมายแบงค์ชาติ จากการเน้นการกำหนดอัตราเงินเฟ้อ (Inflation targeting) ซึ่งมีการใช้น้อยแล้ว เพราะโลกไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ มาเป็นการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate targeting) ซึ่งหลายประเทศใช้กัน และควรแยก การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ออกจากงานแบงค์ชาติ เพราะเป็นเรื่องรายละเอียดทางบัญชีและกฎหมาย ซึ่งทำให้แบงค์ชาติคิดเศรษฐศาสตร์มหภาคไม่เป็น ไปคิดเป็นรายละเอียดหมด ตัวอย่างเช่น แบงค์ชาติไปคิดและไปทำ รายละเอียดของอัตราเงินเฟ้อเป็นรายสาขา ทั้งๆ ที่เงินเฟ้อเกิดจาก อัตราการเพิ่มของปริมาณเงินบาทโดยรวมเพิ่มเร็วกว่า อัตราการเพิ่มของรายได้ของชาติ (Monetary growth สูงกว่า Real GDP growth)
9) ปัจจุบันผู้ว่าแบงค์ชาติมีอิสระมากไป ไม่รายงานใคร ไม่ต้องรับผิดชอบผลงานของตนต่อประเทศและประชาชน ทำให้ประเทศยากจนลงมานาน รัฐบาลจึงควรแก้กฎหมายแบงค์ชาติ ให้ “การแต่งตั้งและถอดถอนผู้ว่าแบงค์ชาติ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดยการเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” และควรหาผู้ใหญ่ที่เป็น นักเศรษฐศาสตร์มหภาคจากกระทรวงการคลัง มาดูแลแบงค์ชาติ
10) ให้คิดถึงสมัยพลอ.ชาติชาย เป็นนายกรัฐมนตรี ที่เรากำหนดค่าเงินบาทกับตระกร้าเงินตราต่างประเทศ (เงินดอลล่าร์สหรัฐ มีสัดส่วน 70%) แล้วช่วงนั้น เงินดอลล่าร์สหรัฐอ่อนลงมาก เงินบาทก็อ่อนค่าตาม ทำให้การส่งออกไทย เติบโตโดยเฉลี่ยกว่า 20% ทุกปี ทำให้ GDP เฉลี่ยโตกว่า 10% (สโลแกน “การเปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า” เป็นเพียงส่วนเล็กๆ) ดังนั้น ถ้าเราเปลี่ยนจาก นโยบายจากการคุมเงินเฟ้อ มาเป็นนโยบายกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน และหากเราพยายามทำให้ค่าเงินบาทเป็น 36 บาทต่อหนึ่งดอลล่าร์สหรัฐ ระบบเศรษฐกิจไทยก็จะเติบโตได้ถึง 6-7% ต่อปี เมื่อเศรษฐกิจเติบโตได้ถึงขนาดนั้น รายได้ภาษีจะเพิ่มขึ้นมากมาย ปัญหาต่างๆ ก็จะแก้ไขได้ง่าย
ความเห็น 6
💔
เหมือนจะให้ทำ QE
แล้วจะรับมือกับอัตราดอกเบี้ยจะลดลงหลังทำ QE อย่างไร?
แล้วการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างจากพื้นฐานจะไม่เป็นการแทรกแซงค่าเงินหรือ? ถ้าใช่ จำไม่ได้หรือว่าจะต้องสูญเสียทุนสำรองไปกับการแทรกแซงอีกเท่าไหร่?
ให้กระทรวงการคลังกำกับธนาคารกลางแล้วใครจะถ่วงดุลอำนาจรัฐบาลได้? (ไม่เห็นมีประเทศประชาธิปไตยไหนทำกัน)
ถ้าให้ธนาคารกลางสนใจแต่เศรษฐศาสตร์มหภาคจะไม่ยิ่งปล่อยให้เอื้อทุนใหญ่มากขึ้นไปอีกหรือ? (ดูจุลภาคควบคู่ไปกับมหภาค ก็จะเห็นการขัดกันของผลประโยชน์ เพื่อดูแลรากหญ้าไปพร้อมกันด้วย)
18 ม.ค. 2563 เวลา 19.20 น.
Suppavich
หมอนี่เคยเปนรมว.คลัง พระเจ้าช่วยกล้วยทอด
19 ม.ค. 2563 เวลา 09.45 น.
สุรชัย
ข้อ235679เห็นด้วยทุกข้อ
18 ม.ค. 2563 เวลา 16.39 น.
mongkon(tiew)
เขาบอกเขาสอนก็ไม่ทำนี่แหละวิธีแก้ พอเขาวิจารณ์ก็โมโหบอกให้เขาช่วยบอกวิธีแก้ไขด้วย บอกแล้วทำเป่าล่ะไม่ทำตามเดิม รู้แต่ใส่ร้าย ปชช.จะล้มสถาบัน ซื้ออาวุธ ตามฆ่าไอ้ปากมาก ตั้งโจรมาปราบคนดี ถนัดนัก
18 ม.ค. 2563 เวลา 13.57 น.
Pheeraphat S. ; MJ57
เปลี่ยนรัฐบาลดีกว่าครับ เศรษฐกิจไม่แย่ไปกว่านี้แน่นอน
19 ม.ค. 2563 เวลา 12.19 น.
ดูทั้งหมด