ข้อมูลเบื้องต้น
美男版
เขียน: เสี่ยวอวี๋ต้าซิน (小鱼大心)
แปล: Frozen Lily
เรียบเรียง: L.Qingwen
เมื่อครั้งที่ถังปู้ชิวอายุครบสิบหกปีบริบูรณ์ ได้อำลาเหล่าผู้อาวุโส เดินทางออกจากหุบเขาไปเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์ในยุทธภพกว้างใหญ่ …ทว่าเพียงครึ่งปีถัดจากนั้น เขากลับแบกตะกร้าสานใบใหญ่กลับมายังตระกูลเสียอย่างนั้น… ที่ร้ายกว่านั้นคือในตะกร้าดัังกล่าวใส่ทารกตัวขาวอวบอ้วนเอาไว้ !!!
นับจากวันนั้นมา… มหาภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้นในตระกูลถังจนลุกลามบานปลายไปไกลทั่วทุกหย่อมหญ้าทั้งยุทธภพ ทุกสรรพสิ่งต่างล้วนอยู่ไม่เป็นสุขอีกเลย…. ด้วยน้ำมือของ สองจอมวายร้ายนาม —— ถังปู้ชิว และ —— ถังเจียเหริน
มีนมหรือไม่ ?
ตระกูลถังปลีกวิเวก ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึกมานานกว่าร้อยห้าสิบปี เดิมทีคิดอยากอยู่อย่างสงบ รบราฆ่าฟันไม่หมายมุ่ง นอกในราชสำนักไม่สุงสิง อำนาจวาสนาบารมีไม่ฝักใฝ่ แต่ไม่รู้เผลอไปสะดุดเล็บขบเง็กเซียนฮ่องเต้หรืออย่างไร เหตุไฉนสวรรค์ถึงกลั่นแกล้ง ประเคน ‘สองเดนมนุษย์’ ให้ปรากฏ สร้างความรันทดและเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า นับจากนั้นทุกสรรพสิ่งในหุบเขาและในตระกูลต่างล้วนอยู่ไม่เป็นสุขอีกเลย…
คนแรกคือนายน้อยของพวกเขา —— ถังปู้ชิว
ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นคือ —— ถังเจียเหริน
เรื่องนั้นมีอยู่ว่า…
ครั้งตอนที่ถังปู้ชิวอายุครบสิบหกปีบริบูรณ์ ก็ได้อำลาเหล่าผู้อาวุโส เดินทางออกจากหุบเขาไปเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์ในยุทธภพกว้างใหญ่ …ทว่าเพียงครึ่งปีถัดจากนั้น เขากลับแบกตะกร้าใบใหญ่ใบหนึ่งย้อนกลับมายังตระกูล
เด็กหนุ่มวัยสิบหกปี ใบหน้างดงามคมสัน ริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวเป็นระเบียบ รูปงามจนชวนให้หลงใหล แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีดำติดกระดุมเงาวับ เสื้อผ้าที่สวมใส่ถักทอจากเส้นใยชั้นดีตัดเย็บด้วยความประณีตยังคงครบอยู่บนกาย สายคาดเอวสีเดียวกับอาภรณ์คาดรอบเอวสอบ รองเท้าหุ้มข้อเท้าสีดำสนิทดูเรียบร้อย เส้นผมดำขลับเงางามประหนึ่งเส้นไหมล้ำค่าที่ถูกเกล้าเป็นมวยสูงกลางศีรษะยังคงงดงาม ไม่มีเส้นผมหลุดลุ่ยยุ่งเหยิงให้เห็นแม้แต่น้อย และถึงแม้อากาศจะร้อนมากเพียงใด แต่กระดุมเสื้อของเขาทุกเม็ดก็ยังคงติดอยู่กับรังดุมอย่างเป็นระเบียบ
เหล่าผู้อาวุโสเห็นเช่นนั้นต่างก็ปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ในใจคาดหวังว่านายน้อยถังปู้ชิวออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ในช่วงเวลาครึ่งปีมานี้ คงจะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และพัฒนาวิชาความรู้ไปไม่น้อยทีเดียว
ถังปู้ชิวเดินทางมาไกล แต่ทั้งหน้าผากและไรผมไม่เห็นเหงื่อแม้สักหยด จังหวะการย่างเท้าก็เบาราวกับสายลมที่พัดผ่าน ประหนึ่งจอมยุทธ์ผู้ฝึกฝนวิชามาจนระยะทางมิอาจเป็นอุปสรรคในการเดินทาง เขาค่อย ๆ วางตะกร้าบนหลังลงแล้วชี้นิ้วไปยังสิ่งที่อยู่ในตะกร้า
ในตะกร้าสานใบใหญ่นั้นมีทารกตัวแดงที่กำลังนอนดูดนิ้วอย่างไร้เดียงสา ดวงตากลมโตสะท้อนฟ้าทั้งผืน บุรุษหนุ่มผู้แบกตะกร้าใส่ทารกกลับมาบ้านกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “นี่คือบุตรสาวของข้า”
ตระกูลถังปลีกวิเวกเร้นกายอยู่ในสถานที่แสนห่างไกล ดีร้ายไม่ขอข้องเกี่ยวกับโลกภายนอก ปีทั้งปีติดต่อคนนอกตระกูลน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แล้วเหตุใดถังปู้ชิวออกไปหาประสบการณ์เพียงแค่ครึ่งปีก็อุ้มบุตรสาวกลับมาบ้านเสียแล้ว… นี่จะไม่…ยอดเยี่ยมเหนือมนุษย์เกินไปหรอกหรือ?!
ผู้อาวุโสใหญ่คิดไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำกึ่งสงสัยคล้ายจะแย้ง “สตรีตั้งครรภ์เก้าเดือนถึงจะให้กำเนิดได้ ?”
ผลั๊วะ!
ผู้อาวุโสรองโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ฝ่ามือใหญ่ตบฉาดเข้ากับม้านั่งหิน ก่อนตะโกนขึ้นว่า “ก็นั่นน่ะสิ สตรีล้วนแต่ชอบหลอกลวงทั้งสิ้น นายน้อย นายน้อยโดนสวมเขาเข้าแล้ว!”
ผู้อาวุโสใหญ่เหลือบมองจุดที่ม้านั่งหินถูกฟาด ก่อนปรามเสียงนิ่งแต่ดวงตาฉายแววความเจ็บปวดใจว่า “อย่าวู่วาม”
ถังปู้ชิวฟังคำแล้วถามกลับด้วยสีหน้าฉงน “เก้าเดือนหรือ? แต่อาฮวาสองเดือนก็คลอดแล้วนี่”
ผู้อาวุโสสามก้มมองสุนัขตัวเมียที่อยู่ข้างเท้าตนทันที ก่อนเงยหน้าตอบว่าที่ผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปของตนอย่างจริงจังว่า “แต่นั่นมันสุนัข”
อาฮวาที่ถูกพาดพิงถึง แลบลิ้นพร้อมกระดิกหางเหมือนอยากช่วยย้ำว่าตัวมันเป็นสุนัขจริง ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นถังปู้ชิวก็พยักหน้า ชี้นิ้วไปยังทารกน้อยในตะกร้าด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนอีกครั้ง “ข้าเก็บนางมา”
ผู้อาวุโสตระกูลถังทั้งสามถอนหายใจด้วยความโล่งอก มือพลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก …สายเลือดที่ดีของตระกูลถัง ในที่สุดก็ยังรักษาเอาไว้ได้…
ผู้อาวุโสรองก้มหน้าลงหยอกล้อกับทารกน้อย ออกปากด้วยความเบิกบานใจว่า “ตระกูลถังไม่ค่อยมีเด็กตัวเล็ก ๆ เหตุใดนายน้อยถึงไม่เก็บมาหลาย ๆ คน นับตั้งแต่นายน้อยเกิด ในตระกูลถังก็ไม่มีเด็กคนไหนเกิดอีกเลย แค่เพียงพริบตาเดียว นี่ก็ผ่านมาสิบหกปีแล้ว”
ผู้อาวุโสสามได้ฟังวาจานั้นก็ค้านทันที “แต่ตระกูลถังซ่อนตัวจากยุทธภพ ไม่เลี้ยงดูคนภายนอก”
ผู้อาวุโสใหญ่ก้มลงพินิจพิจารณาทารกน้อยในตะกร้า
เด็กน้อยตัวอวบขาวถูกห่ออยู่ในผ้าอ้อม ใบหน้าน่ารักดวงตาสดใส ริมฝีปากสีสดแย้มรอยยิ้มอวดเหงือกสีชมพู ดูราวดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ รอยยิ้มนั้นช่างขยี้ใจยิ่งนัก
ผู้อาวุโสใหญ่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เอาไปคืนเถิด นางไม่ได้เกิดในตระกูล ไม่ใช่คนร่วมสายเลือด จิตใจย่อมแตกต่าง อีกอย่างพวกเราตระกูลถังเฝ้าปกปักรักษาผลศักดิ์สิทธิ์ สวรรค์ลิขิตหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้มา จะวางตาวางใจละเลยไปไม่ได้เด็ดขาด”
ถังปู้ชิวคว้าตะกร้าขึ้นแบกทันที “ก็ดี เช่นนั้นข้าขอตัวออกไปหาประสบการณ์ ท่องยุทธภพต่อก็แล้วกัน”
ผู้อาวุโสใหญ่รีบถาม “แล้วจะกลับมาเมื่อใด ?”
ถังปู้ชิวหรี่ตายิ้มเห็นฟันขาว “ในฐานะที่ข้าเป็นนายน้อยแห่งตระกูลถัง แน่นอนว่า… ต้องกลับสู่บ้านเกิดเมื่อยามเฒ่าชรา เวลานับจากนี้อีกร้อยปี ค่อยให้นางส่งเถ้ากระดูกของข้ากลับมาก็แล้วกัน”
ผู้อาวุโสทั้งสามได้ยินคำกล่าวนั้นก็ตกตะลึง หน้าซีดเผือด
ผู้อาวุโสใหญ่กระแอมไอ รีบวางท่าลูบเคราขาวของตนพลางเอ่ยวาจาพินิจพิเคราะห์ “แต่อันที่จริง ที่ผู้อาวุโสรองว่ามาก็มีเหตุผล ตระกูลถังไม่มีเด็กตัวเล็ก ๆ มานานมากแล้ว ข้าว่าเลี้ยงนางเอาไว้ก็คงจะดีไม่น้อย อีกอย่างเมตตาธรรมค้ำจุนโลก ตระกูลถังมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์นับว่าดีงาม”
ถังปู้ชิวยังคงยืดอกโบกมือส่ายหน้าเตรียมจากลา พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่สุด “ข้าเป็นถึงนายน้อยแห่งตระกูลถัง จะฝ่าฝืนกฎของตระกูลถังได้อย่างไรกัน!”
กล่าวจบเขาก็เดินไป
ผู้อาวุโสใหญ่คว้าตะกร้าที่อยู่ด้านหลังถังปู้ชิวไว้ทันท่วงที “กฎถูกตั้งขึ้นแล้วตายไป แต่คนยังคงอยู่ นายน้อยคือนายน้อย นายน้อยคือผู้นำ”
ถังปู้ชิวหันกลับมามองหน้าผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่น ๆ ใบหน้าแต้มรอยยิ้มดวงตาหรี่เล็ก “จริงจังหรือไม่ ?”
ผู้อาวุโสทั้งสามพยักหน้าเอ่ยพร้อมเพรียง “จริงจังที่สุด”
ถังปู้ชิวก็พยักหน้าเช่นกัน เขาแย้มยิ้มกว้างขึ้นจนตายิบหยีแล้วเอ่ยปาก “ข้าล้อเล่น” ปากกล่าวไปพลางร่างกายก็ขยับตาม มือเรียวข้างหนึ่งดึงสายตะกร้าออก มืออีกข้างสะบัดตะกร้าขึ้นแรง ๆ หนึ่งครั้ง ทารกน้อยในห่อผ้าเด้งลอยขึ้นฟ้าหลุดออกจากตะกร้าสานก่อนจะถูกถังปู้ชิวรับไว้ในอ้อมแขนอย่างเหมาะเจาะพอดี
ถังปู้ชิวหันหลัง แล้วเดินกลับไปยังห้องของตนท่าทางสำราญ
ทว่าในตอนนี้เองที่ผู้อาวุโสทั้งสามได้เห็นเสื้อผ้าด้านหลังของถังปู้ชิว ชุดคลุมสีดำยาวนั้นขาดรุ่งริ่ง มีรอยผ้าไหม้ราวกับถูกเผาไฟเผา อาภรณ์ตั้งแต่กลางหลังจนถึงบั้นเอวขาดแหว่งเป็นรูขนาดใหญ่
แววตาของผู้อาวุโสทั้งสามฉายแววประหลาดใจ พวกเขาต่างมองหน้ากันก่อนเร่งก้าวเท้าเดินตามนายน้อยของตนไปทันที
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยถาม “ครึ่งปีมานี้ นายน้อยออกไปท่องยุทธภพนอกตระกูล ได้ข้อคิดใดมาบ้าง ?”
ถังปู้ชิวเงยหน้ากวาดตามองทิวเขาที่อยู่โดยรอบพลางเอ่ยตอบอย่างจริงจัง “หลังออกจากจวน เดินอยู่นานถึงสองเดือนกว่าจะออกจากภูเขาลูกนี้ไปได้ ไปถึงแม่น้ำและทะเลสาบก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นั่นอยู่เป็นเวลาครึ่งเดือน เดิมทีไม่ได้คิดจะกลับมาก่อน แต่เดินไปเดินมาก็เดินวนกลับมาถึงที่นี่ เลยใช้เวลาฝึกฝนหาประสบการณ์อยู่แถวนี้ไปอีกเดือนครึ่ง จากนั้นข้าก็ใช้เวลาอีกสองเดือนกว่าจะออกไปจากเขาลูกนี้ได้อีกครั้ง พอออกจากเขานี้ได้ ก็ได้เจอนางแล้วก็เก็บนางมา จากนั้น…”
สายตาของเขามองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ “…ข้าใช้เพียงแค่เวลาหนึ่งวันก็กลับมาถึงจวนได้แล้ว”
ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ครั้งตอนที่นายน้อยอายุครบสิบสามก็เคยออกไปท่องยุทธภพเช่นนี้ แต่ผลสุดท้ายเดินอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือนก็ยังไม่สามารถออกจากภูเขานี้ได้ แต่จากที่เล่ามา…นี่แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการแยกแยะเส้นทางของนายน้อยนั้น ยกระดับขึ้นมาก…”
ถังปู้ชิวยิ้มและกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ท่านชมเกินไปแล้ว มนุษย์ก็ต้องมีความก้าวหน้ากันบ้าง เช่นนี้ถึงจะไม่เป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์”
ผู้อาวุโสรองพึมพำอย่างอ่อนใจ “ข้าใช้เวลาสี่วันก็ออกไปได้แล้ว”
ผู้อาวุโสสามหูดีได้ยินเข้า สวนกลับเสียงเย็นชา “นายน้อยคือจอมหลงทาง แต่เจ้าไม่ใช่”
ถังปู้ชิวหันหน้าไปมองผู้อาวุโสสามพลางกล่าว “ท่านผู้อาวุโสจงจำไว้ให้ดี ปลาหมอตายเพราะปาก …และนี่ถือเป็นความลับขั้นสุดยอดของตระกูลถัง มิอาจให้คนนอกล่วงรู้ได้”
ผู้อาวุโสสามผสานมือคารวะ “ขอรับ!” สิ้นคำนั้นไม่นานใบหน้าของเขาก็ฉายแววเสมือนนึกบางสิ่งขึ้นได้
ผู้อาวุโสลำดับสุดท้ายแห่งตระกูลถังหันขวับไปมองทารกน้อยในอ้อมแขนถังปู้ชิว แล้วเอ่ยถามเสียงจริงจังหน้าเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้น ท่านต้องการให้ฆ่าคนนอกผู้นี้เพื่อปิดปากหรือไม่ ?”
ถังปู้ชิวที่กำลังหยอกล้อทารกน้อยผู้นั้นชะงักแล้วหันมองผู้อาวุโสสามชั่วครู่ ทว่าเมื่อยามเอ่ยวาจามือเขาก็กลับไปฟัดเจ้าก้อนขาวอวบตามเดิม “นางมิใช่คนนอก นางจะเป็นผู้สืบทอดของข้า นางจะสว่างแพรวพราวราวผลึกแก้วอันบริสุทธิ์อยู่ในตระกูลถัง นับจากนี้ต่อไป นางจะใช้แซ่ ถัง มีนามว่า เจียเหริน”
ผู้อาวุโสรองกล่าวถามว่า “ถังเจียเหริน …แล้วชื่อเล่นล่ะ ให้เราเรียกขานนางว่าอย่างไร ?”
ถังปู้ชิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “มีชื่อตัวที่สง่างามเช่นนี้ ก็ควรจะมีชื่อเล่นที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนผู้ใด เช่นนั้นก็เรียกว่า ‘โหมวกู’ ก็แล้วกัน”
ผู้อาวุโสรองเกาศีรษะพลางกล่าวถามว่า “โหมวกู(เห็ด) เหตุใดจึงให้นางชื่อโหมวกู ?”
ถังปู้ชิวตอบ “ก็เพราะว่าข้าเก็บนางมาจากในดงเห็ดน่ะสิ”
ผู้อาวุโสรองยิ่งสงสัยเพิ่มมากขึ้น “แล้วนายน้อยไปทำอะไรที่ดงเห็ดนั้นเล่า?”
ถังปู้ชิวตอบ “เพราะข้าหิว”
ปึก!
ผู้อาวุโสรองเอามือตบหน้าอกของตนอย่างแรงจนฝุ่นที่เสื้อคลุ้งออกมา เขาเค้นเสียงอย่างคับข้องใจว่า “ตระกูลถังของพวกเรามีวรยุทธ์ไร้เทียมทานในใต้หล้า และนายน้อยก็เป็นถึง—”
ถังปู้ชิวหันขวับไปมองผู้อาวุโสรองทันที คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม
ผู้อาวุโสรองชะงักไป ถ้อยคำที่จะกล่าวสะดุดลง ดวงตาจับจ้องถังปู้ชิวก่อนจะเอ่ยวาจาต่อราวต้องการจะหยั่งเชิงแต่น้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน “อะ เอ่อ เป็นถึง…”
ถังปู้ชิวพยักหน้า สองเท้ามุ่งมั่นเดินต่อไป ทว่าหูยังรับฟัง
ผู้อาวุโสรองเอามือตบหน้าอกอีกครั้ง แต่ครานี้ทำเพื่อให้เสียงตึก ๆ รัว ๆ จากความตื่นตระหนกภายในอกลดน้อยลง ในที่สุดเขาก็ตะเบ็งเสียงออกมาได้ว่า “ตระกูลถังของพวกเรามีวรยุทธ์ไร้เทียมทานในใต้หล้า และนายน้อยก็เป็นถึงจอมยุทธ์อัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบห้าร้อยปี แล้วเหตุใดถึงไม่ล่าสัตว์ป่ากิน ?”
ถังปู้ชิวถอนหายใจ “ทุกสรรพสิ่งล้วนแต่มีชีวิตจิตใจ มีจิตวิญญาณทั้งสิ้น จะไปทำร้ายชีวิตผู้อื่นง่าย ๆ ได้อย่างไร การที่ข้าได้ออกไปท่องยุทธภพหาประสบการณ์ในครั้งนี้ ข้าได้พบว่าหลักคำสอนของลัทธิเต๋ากับพุทธศาสนานั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก ข้าจึงคิดจะนำหลักคำสอนของทั้งสองผสานรวมกัน และก่อตั้งเป็นนิกายของตัวเอง”
ผู้อาวุโสทั้งสามตกใจจนหน้าถอดสี กล่าวอย่างพร้อมเพรียงเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่ได้เด็ดขาด!”
ถังปู้ชิวกล่าวถาม หัวคิ้วยับย่น “เหตุใดถึงไม่ได้ ?”
ผู้อาวุโสใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามกลับ “เหตุใด ท่านถึงคิดว่าทำได้ ?”
ถังปู้ชิวย้อนอีกครั้ง “แล้วเหตุใดถึงไม่ได้ล่ะ ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดเค้นเสียงโต้ไม่ลดละ “แล้วเหตุใดถึงได้ล่ะ ?”
ถังปู้ชิวเหลือบมองผู้อาวุโสใหญ่ด้วยหางตา ในอ้อมแขนข้างหนึ่งยังคงอุ้มถังเจียเหรินไว้ เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจังที่สุด “มีเพียงแค่การนำคำสอนของลัทธิเต๋ากับพุทธศาสนามาผสมผสานกันเท่านั้น ที่จะทำให้ข้าไม่บีบคอนางตายเมื่อนางฉี่ใส่ข้า”
กล่าวจบเขาก็สะบัด ‘ฉี่’ ในมือใส่หน้าผู้อาวุโสใหญ่
ผู้อาวุโสใหญ่เอามือเช็ดหน้า ปาดน้ำใส ๆ ที่ถูกสาดเข้าใส่ เขามองดูของเหลวบนมือของตนครู่หนึ่งแล้วยกขึ้นดม กลิ่นของมันทำให้คิ้วชราขมวดมุ่น
ถังปู้ชิวกล่าวต่อไป และยังคงมองผู้อาวุโสใหญ่จากหางตา “และมีเพียงแค่ได้รู้ถึงหลักคำสอนของทั้งสองเท่านั้น ที่จะทำให้ข้าไม่คิดจะเย็บปากผู้อาวุโสใหญ่ในยามที่ท่านสวมวิญญาณมารดา จู้จี้ขี้บ่น จ้ำจี้จ้ำไชให้ข้าทำหรือไม่ทำเรื่องนู้นเรื่องนี้”
ถ้อยคำที่ได้ฟังทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดรีบยกมือปิดปากทันที ทว่าเมื่อนึกถึงน้ำใส ๆ ที่ติดอยู่บนนิ้วมือนั้น เขาก็รีบเอาดึงมือออก
ถังปู้ชิวแย้มรอยยิ้มแล้วกล่าววาจาวางท่าทีสง่าผ่าเผย “ด้วยนิสัยเช่นนี้ของข้าแล้ว มีเพียงแค่การได้บรรลุธรรม เชื่อมจิตปฏิสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่งเท่านั้นจึงจะสามารถยับยั้งด้านชั่วร้ายดำมืดภายในจิตใจของข้าได้”
สิ้นคำนั้น ผู้อาวุโสทั้งสามก็นิ่งอึ้งไปก่อนจะพยักหน้าพร้อมกันอย่างเห็นพ้องตาม
ถังปู้ชิวได้ที กล่าวถามประหนึ่งเน้นย้ำ “ท่านทั้งสามคิดว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ?”
ผู้อาวุโสทั้งสามตอบกลับเป็นเสียงเดียวกัน “เป็นจริงที่สุด”
ในตอนนี้เอง มือเล็ก ๆ และแขนป้อม ๆ ของถังเจียเหรินก็ปัดป่ายไปมา เด็กน้อยเริ่มร้องไห้ ผ้าอ้อมของนางเปื้อนเลือด …ทว่าดูแล้วนั่นกลับไม่ใช่เลือดของนาง
ถังปู้ชิวเอานิ้วแหย่เข้าปากถังเจียเหริน มือเล็ก ๆ ของเด็กทารกจับนิ้วของชายหนุ่มไว้และเริ่มดูด ริมฝีปากเล็ก ๆ นั้นขยับเข้าออกส่งเสียงดังจ๊วบ ๆ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยกำลังดูดอย่างขะมักเขม้น ที่สำคัญดูแล้วนางน่าจะออกแรงดูดมากเป็นพิเศษ
ผู้อาวุโสสามกล่าว “นางคงหิวแล้ว”
ถังปู้ชิวเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องตน ก่อนจะหันหน้ากลับไปกล่าวกับสามผู้อาวุโสที่เดินตามเขามาตลอดทาง “ท่านผู้อาวุโสทั้งสามกลับไปเถิด ข้าจะให้นมเจียเหรินแล้ว”
กล่าวจบเขาก็เดินเข้าห้อง วางถังเจียเหรินไว้บนเตียง และเริ่มปลดกระดุมเสื้อตนเอง
หน้าต่างห้องของถังปู้ชิวไม่ได้ปิด ผู้อาวุโสทั้งสามจึงแอบมองเข้ามาทางหน้าต่าง ดวงตาเบิกกว้างเมื่อจ้องมองไปที่ถังปู้ชิว
ถังปู้ชิวหันหน้ามากล่าวถาม “พวกท่านมองอะไร ?”
ผู้อาวุโสรองตอบอย่างรวดเร็วว่า “ดูว่านายน้อยจะให้นมอย่างไร”
ถังปู้ชิวยิ้ม “ตอนที่ข้าออกไปท่องยุทธภพ ข้าเคยเห็นสตรีให้นมลูก คิดว่าบุรุษก็คงจะทำเหมือน ๆ กัน” กล่าวจบ เขาก็ปิดหน้าต่างและปิดม่านลง
ผู้อาวุโสทั้งสามนั่งยองลงข้างหน้าต่าง และหันมองหน้ากัน
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “หลังจากที่ฮูหยินได้ให้กำเนิดนายน้อย นางก็จากไป ผู้นำตระกูลเสียใจมาก หนึ่งปีให้หลังผู้นำตระกูลก็ตายตามนางไป พวกเราเป็นผู้ดูแลนายน้อยมาตั้งแต่เล็กจนโต แต่กลับเลี้ยงดูให้เขาไร้เดียงสาเช่นนี้ มันดีแล้วหรือ ?”
ผู้อาวุโสรองสีหน้าฉงนสงสัย “นายน้อยน่ะหรือไร้เดียงสา ?”
ผู้อาวุโสสามกล่าว “ผู้อาวุโสใหญ่เพียงเอ่ยเปรียบเปรยเท่านั้น”
ผู้อาวุโสรองพยักหน้าเห็นด้วย
ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงร้องไห้ของถังเจียเหรินก็ดังขึ้น
ถังปู้ชิวสวมเสื้อผ้าเสร็จก็ก้าวลงจากเตียง เขาผลักหน้าต่างออก “อาฮวาอยู่ไหน ?”
ผู้อาวุโสทั้งสามรีบลุกยืนขึ้นทันที
ผู้อาวุโสรองตอบไปว่า “อาฮวามันคลอดอีกแล้ว กำลังให้นมลูกอยู่”
ดวงตาของถังปู้ชิวเปล่งประกาย เขากระโดดออกมาทางหน้าต่าง และก้าวเร็ว ๆ มุ่งหน้าไปหาอาฮวา
ผู้อาวุโสทั้งสามรีบตามเขาไป
สุนัขแม่ลูกอ่อนอาฮวากำลังนอนให้นมลูกอยู่ในกรงสุนัข ทันทีที่มนุษย์หนุ่มร่างสูงใหญ่เดินเข้าใกล้ มันก็รับรู้ได้ถึงแววตาที่แฝงไปด้วยเจตนาร้ายของเขาทันที แม่หมาส่งเสียงเห่าขึ้นครั้งหนึ่ง แม้จะห่วงหาอาทรลูกน้อย แต่ก็สู้กระแสอาฆาตแสนอันตรายปนกระหายเลือดจากดวงตาที่จับจ้องมองมันคู่นั้นไม่ได้ เมื่อร่างใหญ่ใกล้เข้ามาเรื่อง ๆ สุดท้ายมันจึงต้องลุกขึ้นและรีบวิ่งหนีไป
ถังปู้ชิวตะโกนเสียงก้อง “หยุดเดี๋ยวนี้นะ เอาน้ำนมมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เขาตะโกนและวิ่งไล่ตามแม่หมาเป้าหมายไปอย่างหมายมั่น
ผู้อาวุโสทั้งสามหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จากนั้นก็ถอยหลังไปที่หน้าต่างตามเดิมไม่พูดจา หนึ่งในสามแง้มม่าน ทั้งหมดมองถังเจียเหรินที่กำลังนอนถีบขาเล่นอยู่
เป็นตอนนี้เองที่พวกเขาต่างมีความคิดตรงกันว่าการที่แม่หนูน้อยถังเจียเหรินผู้นี้มีวาสนาได้พบเจอกับถังปู้ชิวนั้น ช่างเป็นความโชคร้ายในความอับโชคเสียจริง ๆ น่าเวทนายิ่งนัก…นางคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเป็นแน่
‘ทว่าความจริงหลังจากนั้น หลายปีกลับทำให้พวกเขาทั้งสามตระหนักได้ว่าความคิดของตนช่างโง่เขลาเพียงใด’
ผู้ใดกันแน่ที่ทุกข์ทรมาน
เพื่อหนูน้อยถังเจียเหริน ถังปู้ชิวได้สร้างความเดือดร้อนทรมานให้กับตระกูลถัง จนตระกูลที่เคยเร้นกายแสวงหาความสุขสงบในหุบเขาลึกอยู่ไม่เป็นสุขอีกเลย ไม่ต้องกล่าวถึงพงไพรพนาและทิวบรรพตที่อยู่โดยรอบ แม้แต่เหล่าสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ในป่ารอบข้างก็ไม่เว้น ชะตากรรมของพวกมันแทบจะเรียกว่าพินาศย่อยยับอย่างแท้จริง
เพื่อให้หนูน้อยถังเจียเหรินได้ดื่มนม สองปีที่ผ่านมาถังปู้ชิวได้กลายเป็นจอมโจรผู้เหี้ยมโหด ไล่แย่งชิงน้ำนมจากทุกสิ่งมีชีวิตไปทั่วทั้งหุบเขา เจอสุนัขป่าก็แย่งนมสุนัขป่า เจอสุนัขจิ้งจอกก็แย่งนมสุนัขจิ้งจอก เจอมนุษย์…ก็แย่งนมมนุษย์
ทุกหนแห่งต่างมีข่าวน่ากลัวเกี่ยวกับหุบเขาที่ตระกูลถังตั้งอยู่แพร่กระจายออกมาว่า มีโจรชั่วช้ากลุ่มหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ผู้ที่เป็นหัวหน้าโจรนั้นโหดเหี้ยมป่าเถื่อนเป็นอย่างมาก หากเป็นสัตว์จะถูกจับไปทันที แต่ถ้าหากเป็นมนุษย์ด้วยกัน จะถูกมีดจี้คอก่อนตะคอกถามว่า “เจ้ามีนมหรือไม่ ?”
.
.
.
การเติบโตของทารกน้อย
เดิมทีผู้อาวุโสทั้งสามล้วนคิดว่าหนูน้อยถังเจียเหรินจะถูกนายน้อยของพวกเขาทรมานจนตาย แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเด็กคนนั้นเกิดมาเพื่อเป็นคนตระกูลถังอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะป้อนสิ่งใดให้ ปากเล็ก ๆ ก็กลืนมันเข้าไปจนหมดสิ้น
และแล้วนางก็มีชีวิตรอดปลอดภัยจนเติบโตขึ้นมาได้
ผู้อาวุโสทั้งสามคิดว่าตนเองสั่งสอนถังเจียเหรินได้ไม่ดี และไม่อาจทนเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวบนเนื้อตัวของเด็กน้อยได้อีก พวกเขาจึงถลกแขนเสื้อ รุดเข้าไปหมายจะอบรมสั่งสอนนางให้สมเป็น ‘คนตระกูลถัง’ อย่างมุ่งมั่น
ทว่าโชคร้าย สวรรค์ไม่เป็นใจ แม่นางน้อยเป็นคนพูดยากเป็นอย่างยิ่ง
….ถังเจียเหรินในวัยหกขวบนั้นน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก ตัวกลมขาวนุ่มนิ่มราวกับก้อนแป้งซาลาเปาถูกนวดพักไว้ก็มิปาน ผิวแก้มอ่อนนุ่ม ปากเล็ก ๆ สีแดงระเรื่อ จมูกน้อย ๆ มีเลือดฝาด ดวงตากลมโตสดใสราวผลึกแก้วดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา นางมักจะนั่งเล่นใต้ต้นไทร เอามือเท้าคาง มองดูลูกไก่วิ่งไปมา ท่าทางเช่นนั้นน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลถัง มีรูปร่างสูงโปร่ง หุ่นเพรียวระหง ทว่าก็ดูองอาจ และถือเป็นผู้เฒ่ารูปงามผู้หนึ่ง เขานั่งยองลงข้าง ๆ ถังเจียเหริน “เจียเหริน ลูกไก่พวกนี้น่ารักหรือไม่ ?”
เด็กน้อยพยักหน้ารับคำหงึกหงัก
ดวงตาของผู้อาวุโสใหญ่เปล่งประกาย มือกำแน่นพลางคิดในใจว่า ‘ยอดเยี่ยม เช่นนั้นก็เริ่มจากการวิ่งไล่จับลูกไก่เพื่อฝึกฝนทักษะง่าย ๆ ก่อนแล้วกัน’
ผู้อาวุโสใหญ่เผยรอยยิ้มใจดี เอ่ยด้วยน้ำเสียงชี้ชวนเล่นสนุก “นี่ เจียเหริน เรามาเล่นไล่ตามลูกไก่กันดีหรือไม่ ?”
ถังเจียเหรินส่ายหน้าทันที
ผู้อาวุโสใหญ่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วและกล่าวถาม “ไม่ดีอย่างไรรึ?”
“ลูกไก่ กินเยอะ ขยับตัวน้อย ตัวอ้วน ๆ” แม่นางน้อยเอ่ยตอบไร้เดียงสา
ความงุนงงปรากฏชัดบนใบหน้าชรา
ถังเจียเหรินพ่นลมหายใจออกช้า ๆ สีหน้าท่าทางราวกับผู้ใหญ่มากอาวุโส “ฆ่าแล้วเอาเนื้อมันมากินเลยดีกว่า”
เด็กน้อยจ้องฝูงลูกไก่ไม่วางตาพลางกลืนน้ำลายลงคอ เห็นชัดว่านางอยากกินเนื้อลูกไก่จริง ๆ
ผู้อาวุโสใหญ่ผิดหวังอย่างแรง เขาใช้มือลูบไหล่ถังเจียเหรินเบา ๆ “เราไม่กินมันได้หรือไม่?”
ถังเจียเหรินส่ายหน้าอีกครั้ง ตอบอย่างจริงจังที่สุด “ชิวชิวบอกเอาไว้ เกิดเป็นคนต้องยึดมั่นอุดมการณ์”
มือย่น ๆ ที่เคยวางเบา ๆ บนไหล่ถังเจียเหรินเปลี่ยนมากุมไว้ที่ศีรษะของผู้อาวุโสใหญ่แทน เขาลุกขึ้นยืน พ่นลมหายใจอย่างจำนนแล้วเดินจากไป ทว่าเพียงสองก้าวก็หยุดชะงักเมื่อนึกสิ่งหนึ่งได้ เขาหันไปหาถังเจียเหริน “เจ้าต้องเรียกเขาว่าท่านอาจารย์”
ถังเจียเหรินพยักหน้ารับคำ และจ้องมองลูกไก่ที่วิ่งไปมาต่อ
ผู้อาวุโสใหญ่ถอนหายใจอีกครั้งก่อนเดินจากไป
ถังเจียเหรินเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นไม้ต้นตรงข้ามที่ซึ่งมีบุรุษผู้หนึ่งอยู่บนนั้น “ชิวชิว ข้าหิวแล้ว”
ถังปู้ชิวนอนตะแคงตัวอยู่บนต้นไม้ มือข้างหนึ่งยันศีรษะไว้ ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่หลวมโคร่ง ส่วนหน้าแหวกออกเผยให้เห็นแผงอกเนื้อแน่นขาวนวล ผมเผ้ายุ่งเหยิงยาวรุงรัง หนวดเคราครึ้มเข้มราวกับคนไม่ดูแลตัวเอง หน้าตาท่าทางเกียจคร้าน ต่างไปจากเมื่อหกปีก่อนยามเขาแบกตะกร้าใส่ทารกกลับตระกูลโดยสิ้นเชิง ถังปู้ชิวลืมตาขึ้นพลางอ้าปากหาว “อยากกินอะไร ?”
ถังเจียเหรินตอบ “อยากกินน้ำผึ้ง!”
ถังปู้ชิวถามอีก “จริงจังแค่ไหน แค่ไหนเรียกจริงจัง ?”
สาวน้อยตอบอย่างไว “จริงจังที่สุด”
ถังปู้ชิวทำสีหน้าปั้นยาก “แต่อาจารย์กำลังฝึกตนอยู่ ไม่อาจละไปจากต้นไม้ต้นนี้ได้”
ชายหนุ่มพลิกตัวเปลี่ยนท่าทางเป็นเอนหลังพิงต้นไม้ แขนขาทั้งสองทิ้งห้อยลงสู่เบื้องล่างจนแกว่งไปมาดุจต้นหลิวที่โบกพลิ้วตามสายลม
“พระศากยมุนีตรัสรู้ที่ใต้ต้นโพธิ์จนกลายเป็นพุทธะ ในฐานะที่ข้าเป็นชนชั้นอาจารย์ ข้าเองก็อยากจะลองบรรลุถึงหลักธรรมบางอย่างบนต้นไม้ให้ได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สามารถเขียนคัมภีร์อี้จิง*หรือเต้าเต๋อจิง**ออกมาได้ ทว่าข้าก็อยากจะก่อตั้งนิกายของตัวเองขึ้นมาให้โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ไม่เพียงแต่ต้องสอดคล้องกับภาพลักษณ์ความเป็นอัจฉริยะของข้าที่หายากในรอบแปดร้อยปี แต่ยังต้องทำให้ผู้คนเคารพและศรัทธาจากใจจริงด้วย”
บุรุษผู้เอื้อนเอ่ยถ้อยวาจาอันเป็นปรัชญาแห่งพุทธะนิ่งไปเสมือนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “ปู้ชิวอย่างข้าจะเรียกตัวเองว่ามรรคาจารย์ปู้ชิวก็คงได้” แล้วหันไปมองถังเจียเหรินใต้ต้นไม้อีกต้น “โหมวกู เจ้าว่า…”
ถังเจียเหรินหายตัวไปนานแล้ว
ถังปู้ชิวเผยรอยยิ้มมากเล่ห์พลางส่ายหน้า เขาลุกขึ้นนั่ง แสงแห่งสายันต์สาดส่องฉาบทาทั่วหล้า ในช่วงเวลาอันแสนงดงามเช่นนี้ ใบหน้าของชายหนุ่มสะท้อนแดดอ่อนเรืองรองดั่งหยกเนื้อดี ดวงตายาวรีถูกแสงสีแดงชุบย้อมจนเป็นสีอ่อนทอดมองไปยังผืนน้ำที่กำลังล้อแสงตะวันระยิบระยับดูอ่อนโยน มุมปากที่เปลี่ยนเป็นสีอิฐยกขึ้นเล็กน้อย ท่าทีของเขาดูราวกับแมวขี้เซาแสนเกียจคร้านแต่กลับมากบารมีและมีสถานะสูงส่งตัวหนึ่ง
ถังเจียเหรินไม่ชอบฟังถังปู้ชิวพร่ำพรรณนาปรัชญายืดยาวไม่รู้จบ ดังนั้นนางจึงหลบหลีกออกมาและไปหาผู้อาวุโสรอง
ผู้อาวุโสรองนั้น เป็นบุรุษอารมณ์ร้าย โผงผางและค่อนข้างหยาบคาย แต่กับถังเจียเหรินแล้วเขากลับระมัดระวังเป็นอย่างมาก เขากำลังซาวข้าวอยู่ ทว่าเมื่อเห็นเด็กน้อยเดินเข้ามาหา เขาก็ตั้งใจโอ้อวดความสามารถต่อหน้านางทันที เขาออกแรงแสดงการซาวเม็ดข้าวกับน้ำอย่างรวดเร็วและทรงพลัง ด้วยพละกำลังมหาศาลรวมกับความเร็วสูง ไม่นานเมล็ดข้าวเล็ก ๆ ก็เปลี่ยนกลายเป็นแป้งเปียกไปเสีย ในขณะที่กำลังจัดเก็บเครื่องครัว เขาก็หันมาขยิบตาและกล่าวถามถังเจียเหรินว่า “ยอดเยี่ยมไหมล่ะ! เจ้าอยากฝึกหรือไม่ หากออกไปท่องยุทธภพโดยลำพัง ก็จำเป็นต้องพึ่งพาทักษะนี้!”
ถังเจียเหรินส่ายหน้าไปมา
ตัวของผู้อาวุโสรองเสมือนหดย่อลงทันใด เขากล่าวถามถังเจียเหรินน้ำเสียงอ่อนลง “นี่ไม่ยอดเยี่ยมอย่างนั้นหรือ?”
ถังเจียเหรินหรี่ตาแล้วเชิดหน้ากล่าวอย่างโอ้อวด “ลักษณะของวีรบุรุษที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับข้าไม่ใช่แบบนี้”
ดวงตาของผู้อาวุโสรองเป็นประกายวาบ “แล้วเป็นแบบไหน” เขาผายมือออกบอกเป็นนัยให้ถังเจียเหรินกล่าวต่อ
ถังเจียเหรินโบกมือป้อม ๆ ไปมา ดวงตาสองข้างหรี่เล็กลงอีกครั้งนางยิ้มพลางกล่าว “เขาต้องสามารถเก็บรังผึ้งรังใหญ่มาให้ข้าได้” กล่าวจบ เด็กน้อยก็หันไปมองผู้อาวุโสรองและกะพริบตากลมโตแสนสดใสคู่นั้น
ผู้อาวุโสรองตบหน้าอกตนเองดัง *ปึก* และกล่าวอย่างมั่นใจ “งั้นเจ้ารอเดี๋ยว!”
เมื่อถึงเวลาอาหารมื้อค่ำ ผู้อาวุโสรองก็ยกรังผึ้งรวงใหญ่วางไว้กลางโต๊ะ ตามองบุคคลอายุน้อยที่สุดในห้อง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง “ครานี้ เจ้าจะยอมฝึกยุทธ์กับข้าแล้วใช่หรือไม่?”
ถังเจียเหรินที่กำลังพุ้ยข้าวกินหยุดมือลงก่อนเงยหน้ามอง สองมือประคองชามข้าวสองตามองคนพูด ปากถาม “ท่านเป็นใครหรือ?”
ผู้อาวุโสรองเอามือปิดหน้าตัวเองพลางตอบอย่างเก้อเขิน “ข้าก็คือผู้อาวุโสรองตระกูลถังอย่างไรเล่า”
“แม้แต่ผึ้งก็ยังวิ่งหนีไม่ทัน แล้วข้าจะคารวะท่านเป็นอาจารย์ได้อย่างไร เฮ้อ…มา ๆ …นั่งลงกินข้าวเถอะ” เด็กน้อยเอ่ยวาจาไร้เยื่อใย
ผู้อาวุโสรองนิ่งค้าง บัดนี้ ถึงแม้ทั้งหน้าตาเนื้อตัวจะเจ็บปวดจากพิษเหล็กใน แต่นั่นกลับมิอาจเทียบได้กับความรวดร้าวในหัวใจที่เขากำลังเผชิญอยู่
ผู้อาวุโสใหญ่ยกมือหมายจะตบไหล่ผู้อาวุโสรองเป็นเชิงปลอบ ทว่าสัมผัสแห่งความเวทนายังไม่ทันถูกกาย บุรุษทรงพลังก็ส่งเสียงร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า พร้อมกระโจนหลบออกไปในทันที
ผู้อาวุโสใหญ่กระแอมไอค่อกแค่ก เปลี่ยนเป็นเอามือไขว้หลังแก้เก้อ ท่ามกลางเสียงไอประหลาด ๆ นั้นฟังได้ความว่า “ชินได้แล้ว”
ผู้อาวุโสรองหันขวับไปมอง เขายังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น ตะโกนตอบ “จะให้ข้าชินได้อย่างไรเล่า!”
ถังเจียเหรินสองมือถือชามข้าวกะพริบตาปริบ ๆ เด็กน้อยหันไปกล่าวกับผู้อาวุโสสามว่า “ผู้อาวุโสสามเจ้าขา ข้าอยากกินน้ำผึ้ง”
ผู้อาวุโสสามเป็นบุรุษปากหนักพูดน้อย และมักจะแสดงสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา ทว่าเขากลับชื่นชอบหนูน้อยถังเจียเหรินเป็นพิเศษ
เมื่อถูกอ้อน ผู้อาวุโสสามจึงตอบเด็กหญิงด้วยเสียงอ่อนหวานกว่าปกติ “เต้นก่อนมื้ออาหาร เจ้าจำได้หรือไม่?”
ถังเจียเหรินกะพริบตาปริบ ๆ ปากเอ่ยถาม “เหตุใดถึงต้องเต้นก่อนกินข้าวด้วยล่ะเจ้าคะ?”
“อืม ก็เพราะว่า…” บุรุษอาวุโสนิ่งคิด “การออกกำลัง จะทำให้กินได้เยอะอย่างไรล่ะ” ผู้อาวุโสสามรีบตอบทันทีเมื่อคิดเหตุผลดี ๆ ได้ น้ำเสียงที่ใช้ฟังดูจริงจังขึ้นหลายส่วน
ถังเจียเหรินพยักหน้าและวางชามข้าวในมือลง
ผู้อาวุโสสามกล่าวต่อ “เช่นนั้น คืนนี้เรามาเต้นท่อนที่สองกัน”
สิ้นวาจานั้น ท่าทีของเหล่าผู้อาวุโสก็เปลี่ยนไปทันใด
สามบุรุษอาวุโสแห่งตระกูลถังยืดหลังตรง แววตาจริงจังแน่วแน่ สีหน้าท่าทางสุขุม ทั่วทั้งสรรพางค์กายปลดปล่อยกลิ่นอายแข็งแกร่งทรงพลัง หยิ่งทะนงองอาจ เด็ดขาดเฉียบคม สมเป็นจอมยุทธ์แห่งตระกูลถังอันแสนยิ่งใหญ่ยืนยงในหุบเขาแห่งนี้ประหนึ่งทั่วทั้งใต้หล้าหามีผู้ใดเทียบได้
ทว่า… อึดใจต่อมา ใบหน้าชราก็ฉีกยิ้ม
เอวบิด และ…
เริ่มเต้น…
เด็กหญิงถังเจียเหรินเต้นตามพลางปรบมือหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ
ถังปู้ชิวอาศัยจังหวะไร้คนสนใจบรรจงใช้ตะเกียบสะกิดปลายรวงผึ้งหมายจะชิมรสหวานล้ำ ทว่าในจังหวะที่เขากำลังจะส่งน้ำผึ้งเข้าปาก ถังเจียเหรินก็สังเกตเห็น ชั่วพริบตาเดียวนางก็ปรากฏตัวขึ้นบนโต๊ะด้วยท่านั่งยองและจ้องเขม็งไปยังสิ่งที่กำลังจะเข้าปากผู้เป็นอาจารย์
ถังปู้ชิวถอนหายใจอย่างจำนน เขาทำได้แค่วางน้ำผึ้งลง และ…. ลุกไปเต้นกับคนอื่น ๆ
เพื่อสั่งสอนวิชาความรู้ที่หายสาบสูญไปของตระกูลถังให้แก่ถังเจียเหริน เหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลจึงต้องเค้นสมองคิดค้นทุกหนทางเท่าที่จะคิดได้ และ…มันก็เป็นเช่นที่เห็น ก็ใครใช้ให้ถังปู้ชิวเป็นคนไม่ได้เรื่องเช่นนี้กันเล่า
หลังจากเต้นเสร็จ ในที่สุดก็ได้เวลากินข้าวจริง ๆ เสียที
ทุกคนเตรียมพร้อม สายตาจับจ้อง ในมือถือตะเกียบ และเริ่มยื้อแย่งเนื้อที่มีเพียงไม่กี่ชิ้นตรงหน้า!
สงครามชิงเนื้ออุบัติขึ้นแล้ว…
ถังเจียเหรินยังเด็ก ตัวเล็กกว่าใคร ทั้งยังจับตะเกียบได้ไม่ถนัดนัก เมื่อไม่เห็นหนทางได้เนื้อมาครอง ท้ายที่สุดนางจึงใช้สองมือเล็ก ๆ ป้อม ๆ ปิดชามอาหาร และตะโกนดังลั่น “ไม่ยุติธรรม!”
ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนหยุดชะงักทันใด สายตาจับจ้องเด็กน้อยตรงหน้า
ถังเจียเหรินได้ทีรีบกล่าวต่อ “พวกท่านเป็นผู้ใหญ่ แต่โหมวกู่ยังเป็นเด็ก ตัวเล็กนิดเดียว”
ผู้อาวุโสใหญ่หรี่ตาทว่ากลับซ่อนประกายร้ายกาจ “บนโต๊ะอาหารไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ ไม่มีเด็กไม่มีผู้ใหญ่ มือตัก ปากกิน ตักได้ก็กินได้ ปากใครปากมัน” กล่าวจบ เขาก็ปัดมือเล็กป้อมออกให้พ้นชามแล้วฉกเนื้อในนั้นเข้าปากอย่างว่องไว
ถังเจียเหรินตะครุบชามอาหารอีกครั้ง ก่อนตะโกนอีกครา “ช้าก่อน!”
ทุกคนหยุดชะงักลงอีกครา สองตาจ้องมองถังเจียเหรินอีกครั้ง
‘ตุ้ย ถุ ถุ’
ถังเจียเหรินเปิดปากถุยน้ำลายลงในชามอาหารด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็รีบใช้ตะเกียบคนเนื้อที่อยู่ในชามจนทั่ว เด็กตัวป้อมหยิบเนื้อขึ้นมาหนึ่งชิ้นยัดเข้าปากเล็ก ๆ แล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ ต่อหน้าต่อตาทุกคน
กลิ่นและรสของเนื้อชิ้นนี้ยอดเยี่ยมเสียจนดวงตาสุกใสตาต้องหรี่ลง
ทว่าในขณะที่ถังเจียเหรินกำลังดื่มด่ำกับรสชาติเนื้อแห่งชัยชนะ มือยาวเรียวของถังปู้ชิวก็กวาดเข้ามา ผู้เป็นอาจารย์แย่งชามอาหารในมือเด็กน้อยไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะสวาปามทั้งผักและเนื้อในชามนั้นลงไปทั้งหมดทันที
.
.
.
-----------------------------------------------
*อี้จิง (จีน: 易經) คือวิชาที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง จากมีเป็นไม่มี ไม่มีเป็นมี บวกกลายเป็นลบ ลบกลายเป็นบวก จึงมีการแทนสิ่งเหล่านี้ด้วยเส้นเต็มและเส้นขาดสองแบบ เมื่อนำมารวมกันหกเส้นหรือฉักลักษณ์ (ฉักกะ = หก, ลักษณะ = รูปแบบ) เมื่อนำมาหาค่าความน่าจะเป็นก็จะได้รูปแบบการเปลี่ยนแปลงถึงหกสิบสี่แบบ จนกลายมาเป็นแม่แบบของวิชาฮวงจุ้ยหกสิบสี่ข่วยด้วยนั่นเอง ด้วยรูปแบบแห่งความจริง ของการเปลี่ยนแปลงหกสิบสี่แบบนี้เอง มันคือความจริงแท้ที่เดินคู่กับชีวิตคนเรา "อี้จิง" จึงสามารถชี้เส้นทางเดินที่ถูกต้องให้คนเราได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
**เต้าเต๋าจิง=คัมภีร์ที่เล่าจื๊อเป็นผู้เขียน มีเนื้อหากล่าวถึงธรรมชาติและปรัชญา คำว่า "เต้า-เต๋อ-จิง" เป็นปรัชญาในเรื่องโลกและชีวิต สามารถแยกเป็นเต้า 道 (ทาง) เต๋อ 德 (คุณธรรม; ความดี) และ จิง 经 (คัมภีร์; สูตร; วรรณคดีชั้นสูง) เมื่อนำทั้ง 3 คำมารวมกัน แปลว่า "คัมภีร์ที่ว่าด้วยคุณสมบัติของเต้า" "สูตรว่าด้วยเต้าและคุณธรรม"
เด็กไร้หัวใจกับคนไม่ได้เรื่อง
ในขณะที่ถังเจียเหรินกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ถังปู้ชิวก็วางตะเกียบลง เขากล่าวเสียงเนิบช้า “เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเป็นทารก มือเปื้อนอึ ตัวเปื้อนฉี่เจ้าตั้งมากมาย จะไปกลัวอะไรกับน้ำลายแค่นี้”
ถังเจียเหรินมองหน้าถังปู้ชิวน้ำตาคลอเบ้า ปากเล็กตัดพ้อ “ข้าต้องทำเช่นไรถึงจะทำให้เจ้าไม่กินเนื้อกันนะ!”
ถังปู้ชิวใช้หางตาจ้องมองเด็กน้อยอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนแสดงสีหน้าที่ไม่ว่าเด็กคนใดได้เห็นก็ต้องหวาดกลัว เขาเอ่ยอย่างเชื่องช้าทว่าดังสนั่น “ข้าจะกินเนื้อทุกชิ้นบนโลก ยกเว้นแต่ว่า…นั่นจะเป็นเนื้อที่แล่ออกมาจากตัวเจ้า!”
ถังเจียเหรินสะดุ้งเฮือก ตกใจกลัวจนตัวสั่น
ถังปู้ชิวหัวเราะก๊ากด้วยความชอบใจ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปไม่ไยดี
แน่นอนว่าผู้อาวุโสทั้งสามต่างรีบเข้าไปปลอบโยนถังเจียเหรินผู้น่าสงสาร “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว ผู้นำตระกูลก็แค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น”
ถังเจียเหรินมองผู้อาวุโสทั้งสามพลางกล่าวถามน้ำเสียงน่าเวทนา “พวกท่านจะไม่ทำเหมือนชิวชิวใช่หรือไม่ ที่ชอบทำให้เจียเหรินตกใจกลัวแล้วยังแย่งของกินของเจียเหรินด้วย”
สามผู้อาวุโสส่ายหน้าพร้อมเพรียง
ถังเจียเหรินล้วงเอานกย่างที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าออกมาเงียบ ๆ แล้วใช้ลิ้นเล็ก ๆ เลียนกตัวนั้นจนชุ่มน้ำลายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ละเลียดกินมันอย่างช้า ๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นสวาปามอย่างเอร็ดอร่อย สีหน้าสำราญ ขอบตาแห้งสนิท ไร้ซึ่งร่องรอยของน้ำตาที่เคยมี
มุมปากของสามบุรุษอาวุโสกระตุกอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดทุกคนก็นั่งลงบนรอบโต๊ะกินข้าวอีกครั้ง พวกเขาทั้งสามหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบผักกินหนึ่งคำ คีบข้าวกินสองคำอย่างช้า ๆ และเงียบ ๆ
ตระกูลถังปลีกวิเวก อาศัยอยู่ห่างไกลโลกภายนอก ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึ่งพาตนเอง เดิมทีด้วยจำนวนสมาชิกเพียงเท่านี้และวิถีชีวิตอันเรียบง่ายไม่ซับซ้อน นับว่าคนตระกูลถังอยู่อย่างมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์มาโดยตลอด ทว่านับตั้งแต่ได้เก็บถังเจียเหรินมาเลี้ยงดู ความมั่งคั่งที่มีก็เปลี่ยนไปแทบพลิกฝ่ามือ
..เหตุใดการจะกินเนื้อสักคำมันถึงได้ยากเย็นเพียงนี้…
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไปเล่นกับสุนัข ผู้อาวุโสรองไปให้อาหารไก่ ผู้อาวุโสสามไปขัดเงาโลงศพของตนเอง ส่วนถังเจียเหรินก็ปีนต้นไม้ขึ้นไปดูดาว
นางตะโกนขึ้น “ชิวชิว ชิวชิว รีบมานี่เร็วเข้า ดาวคืนนี้สวยมากเลย”
ถังปู้ชิวนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงเรียกไม่หยุดก็ตอบออกไปอย่างเกียจคร้าน “ข้ากำลังทำสมาธิอยู่ อย่าเสียงดัง”
ถังเจียเหรินเบะปาก แล้วพึมพำเบา ๆ “สมาธง สมาธิอะไรกัน เอามาย่างกินก็ไม่ได้ ไร้สาระน่ารำคาญจริง ๆ!”
เสียงของถังปู้ชิวสวนกลับทันควัน “เจ้าตัวเล็ก บ่นอะไรของเจ้า ข้าเป็นอาจารย์นะ คิดว่าข้าไม่ได้ยินหรือไง!”
ถังเจียเหรินเอามือกอดอก เชิดหน้าขึ้น ไม่อยากสนใจถังปู้ชิวอีกแล้ว นางกลอกตามองไปมารอบ ๆ ทันใดนั้นเด็กน้อยก็ส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น “อ๊าก!”
ถังปู้ชิวกระโดดออกทางหน้าต่างและกระโจนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างว่องไว เมื่อถึงตัวถังเจียเหรินเขาก็รีบคว้าตัวนางและอุ้มไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง สองเท้ายืนมั่นคงบนกิ่งไม้ ปากกล่าวถาม “ไหน ผีอยู่ไหน ผีอะไร? มีชื่อหรือไม่”
สายตาคมกวาดมองถังเจียเหริน เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอะไร เขาก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ถังเจียเหรินที่เกาะหนึบอยู่บนตัวถังปู้ชิวชี้นิ้วไปยังงูเขียวตัวเล็ก ๆ ที่กำลังเลื้อยอยู่บนต้นไม้ พลางกล่าวเบา ๆ ว่า “งู มีงู”
เมื่อถังปู้ชิวมองตามนิ้วเล็ก ๆ ไปยังจุดที่ถังเจียเหรินชี้ก็เห็นกับงูเขียวขนาดกระจิริดสีเขียวมรกตตัวหนึ่ง มันมีความหนาเพียงแค่ครึ่งชุ่นเท่านั้น ดวงตาของมันเป็นสีทอง และบนหน้าผากงูมีจุดสีแดงจุดหนึ่งดูเปี่ยมเสน่ห์ชวนหลงใหล
ดวงตาของถังปู้ชิวเปล่งประกายวาววับทันที เขารีบใช้มืออีกข้างจับงูเขียวตัวเล็กนั้นขึ้น แล้วกล่าวด้วยความชอบใจ “ชิงเฟิง ฮ่าฮ่าฮ่า…นี่มันของดีนี่นา!”
ถังเจียเหรินที่อยู่ในอ้อมแขนของถังปู้ชิวในตอนนี้จ้องมองงูเขียวตัวเล็กตาวาวก่อนกล่าวถามว่า “อร่อยเหรอ ?”
ถังปู้ชิววางถังเจียเหรินลง แล้วชี้ชวนนางนั่งลงบนกิ่งไม้ เขายิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้างูเขียวตัวนี้มันชื่อว่าชิงเฟิง เป็นของล้ำค่าที่หลาย ๆ คนปรารถนาอยากจะได้มาครอบครอง แต่ตอนนี้มันยังเล็ก รอให้มันโตก่อนแล้วค่อย—”
ถังเจียเหรินยังคงจ้องงูตัวน้อยตาไม่กะพริบ นางกลืนน้ำลายเอื้อกแล้วต่อคำ “ค่อยกินเหรอ ?”
ถังปู้ชิวบีบปลายจมูกถังเจียเหรินพลางบิดไปมา “อยากกินหรือไงเจ้าตะกละ แต่รู้หรือไม่ว่าเหตุใดมันถึงเลื้อยมาหาเจ้า?”
ถังเจียเหรินกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสดใสน่าเอ็นดู “เพราะมันอยากให้ข้าจับกินอย่างไรเล่า”
มุมปากของถังปู้ชิวกระตุกเล็กน้อย น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเย็นขึ้นหลายส่วน “มันไม่ได้อยากให้เจ้ากิน แต่มันอยากจะกินเจ้าต่างหาก!”
“เหตุใดถึงต้องอยากกินข้าด้วยล่ะ?” ถังเจียเหรินถามต่อด้วยความสงสัย
ถังปู้ชิวตอบ “ก็เพราะว่าา… ตัวเจ้าอร่อยยังไงล่ะ”
ถังเจียเหรินหัวเราะร่าแล้วกล่าวอย่างชอบใจ “ใช่แล้ว ชิวชิวพูดถูก!”
ถังปู้ชิวด่ากลับทันควัน “เจ้าเด็กโง่”
ผู้นำแห่งตระกูลถังคิดในใจว่า ‘ข้าพูดความจริง แต่เจ้า ‘ถังโหมวกู’ นี่กลับไม่เข้าใจ เฮ้อ.. เป็นเช่นนี้ก็ดี’
ถังเจียเหรินเกาะติดตัวถังปู้ชิว นางเรียนรู้คำด่าของเขาแล้วผสมคำขึ้นใช้เอง “เจ้าชิวชิวโง่” แม้กระนั้นดวงตากลมโตทั้งคู่ก็ยังคงจ้องมองไปที่งูเขียวชิงเฟิง เห็นได้ชัดว่าเวลานี้นางไม่กลัวงูแล้ว
เจ้างูน้อยขดตัวเป็นกองเล็ก ๆ อยู่บนฝ่ามือของถังปู้ชิว
ถังปู้ชิวกล่าวเตือนลูกศิษย์ตัวจ้อยเสียงจริงจัง “เจ้าอย่าริอ่านคิดจะเอามันไปกินเป็นอันขาด”
ถังเจียเหรินอ้าปากหาว และกล่าวว่า “เป็นงูก็ไม่ง่ายเลยนะ ขดตัวไม่ดีมันก็ดูเหมือนก้อนอึสีเขียว ๆ ก้อนอึแบบนี้ ข้าไม่อยากจะกินมันหรอก”
มือของถังปู้ชิวสั่นเล็กน้อย เขายิ้มกับชิงเฟิงก่อนสะบัดมันเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นก็กล่าวกับถังเจียเหริน “เจ้าตั้งชื่อให้มันสักชื่อสิ”
ถังเจียเหรินส่ายหน้า “ไม่เอา”
ถังปู้ชิวกล่าวถาม “ทำไมล่ะ?”
ถังเจียเหรินเงียบ
ถังปู้ชิวขมวดคิ้วพลางเอ่ยคำ “หรือว่าเจ้าจะรอให้มันโต มีเนื้อเยอะ ๆ แล้วเจ้าก็จะกินมัน ใช่หรือไม่”
ถังเจียเหรินกล่าว “ชิวชิวฉลาดจริง ๆ!”
ถังปู้ชิวถามต่อ “นี่จริงจังหรือ ?”
ถังเจียเหรินพยักหน้ารัวเร็วกล่าวตอบ “จริงจังที่สุดเลย!”
ถังปู้ชิวถอนหายใจพลางเสยผม “ไว้เจ้าเป็นชนชั้นอาจารย์อย่างข้าให้ได้ก่อน เจ้าจึงจะคู่ควรกับมัน”
ถังเจียเหรินเบะปาก คิดในใจ ‘เหอะ หลงตัวเองอีกแล้ว’
ถังปู้ชิวกลับมารบเร้าเรื่องเดิม “มา มาตั้งชื่อให้เสี่ยวชิงเฟิงเถอะ”
ด้วยเพราะกลัวว่าสักวันหนึ่ง ถังเจียเหรินจะโยนเสี่ยวชิงเฟิงตัวนี้ลงเตาเผาเพื่อเอาเนื้อมากินจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงทู่ซี้ให้นางเป็นผู้ตั้งชื่องู และอย่างน้อย ๆ การตั้งชื่อให้มันก็น่าจะป้องกันเรื่องนี้ได้บ้าง
ถังเจียเหรินเห็นถังปู้ชิวไม่ยอมล้มเลิก นางจึงทำได้เพียงเอามือกุมขมับครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายความคิดอันเฉียบแหลมก็ผุดขึ้น “เจ้าทึ่ม!”
ถังปู้ชิวเห็นด้วยในทันที “เยี่ยม!”
ถังปู้ชิวกับถังเจียเหรินมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างสนุกสนาน
สายลมยามรัตติกาลพัดชายเสื้อคลุมจนพลิ้วไหว ถังปู้ชิวอุ้มถังเจียเหรินนั่งตัก ทั้งสองพูดคุยกัน บ้างก็พูดกันคนละเรื่อง หลายครั้งตอบไม่ตรงคำถาม หลายคราวถามไม่ตรงคำตอบ แต่ก็สนทนากันอย่างมีความสุข
ถังเจียเหรินล้วงเอาถุงน้ำตาลที่บดจนละเอียดออกมา เอานิ้วป้อม ๆ จิ้มผงน้ำตาลจนติดเต็มนิ้วก่อนเอาเข้าปากดูดกินอย่างเอร็ดอร่อย
ถังปู้ชิวเห็นดังนั้นก็เอ่ยคำขู่ “กินน้ำตาลเยอะ ฟันจะผุแล้วก็จะหักหมดปาก ฟันหักกินข้าวไม่ได้ก็จะโง่ลงเรื่อย ๆ ยิ่งกว่านั้นอายุก็จะสั้นลงด้วย”
ถังเจียเหรินหยุดดูดนิ้วชั่วครู่เพื่อตอบ “ท่านผู้อาวุโสใหญ่ก็มีอายุร้อยปีกว่าแล้ว”
ถังปู้ชิวถาม “เขาก็แอบกินน้ำตาลหรือ?”
ถังเจียเหรินเล่าต่อ “ข้าไม่ว่าอะไรเขาหรอก ตอนเขาเห็นข้าแอบกิน เขาก็ไม่เคยยุ่งเรื่องของข้าเลย”
ถังปู้ชิวพยักหน้า “อ่อ…”
ถังเจียเหรินพยักหน้าอย่างเห็นชอบ ปากก็เอ่ยวาจาชื่นชม “ชิวชิวฉลาดจริง ๆ ข้ายังไม่ทันได้อธิบายเจ้าก็เข้าใจแล้ว”
ถังปู้ชิวด่ากลับ “เจ้ามารน้อย!”
ถังเจียเหรินหัวเราะคิกคัก น้ำเสียงที่นุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์ของนางนั้นทำให้จิตใจของผู้คนผ่อนคลายขึ้นได้หลายส่วน
งูน้อยเจ้าทึ่มเลื้อยออกมาจากแขนเสื้อของถังปู้ชิว มันจับจ้องไปยังถังเจียเหริน
ถังปู้ชิวรีบจับมันยัดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ
ถังเจียเหรินรีบบอก “ชิวชิว เจ้าระวังหน่อยสิ อย่าให้มันกัดเจ้าได้นะ”
ถังปู้ชิวกำลังจะซาบซึ้งอยู่แล้วเชียว ทว่าอึดใจต่อมาถังเจียเหรินก็กล่าวต่อว่า “ข้ายังต้องเลี้ยงเจ้าไปจนแก่ จนเจ้าตายนะ”
มุมปากของถังปู้ชิวกระตุกขึ้นสองครั้งก่อนปรับอารมณ์กลับมาและเอ่ยถาม “โหมวกูโตขึ้นอยากจะทำอะไร ?”
ถังเจียเหรินขมวดคิ้ว “ข้าไม่รู้ ข้าคิดแค่ว่าจะกินอะไรดี”
เด็กน้อยนิ่งคิดชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง นางกำหมัดแน่นและกล่าวสัญญาอย่างตั้งใจว่า “ชิวชิววางใจได้ วันข้างหน้าถ้าข้ามีเนื้อกิน เจ้าก็จะมีกระดูกแทะแน่นอน!”
ถังปู้ชิวลอบถอนหายใจ เขาเหล่ตามองนางจากหางตาพลางตอบกลับ “เจ้าช่างมีน้ำใจกับอาจารย์จริง ๆ”
ถังเจียเหรินเบิกตากว้างและกล่าวเสียงจริงจังเช่นเดิมว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าได้มอบหัวใจของข้าให้เจ้าไปแล้วด้วย”
ถังปู้ชิวสั่นสะท้านเล็กน้อย เขาเอ่ยถาม “ให้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าไม่เห็นจะรู้เลย”
ถังเจียเหรินหักนิ้วเล็กป้อมของตนเองพลางตอบเสียงดังฟังชัด “ท่านผู้อาวุโสใหญ่บอกเอาไว้ว่าเวลาฝึกฝนข้ามักจะสองจิตสองใจ เป็นคนไม่ได้เรื่อง ข้ามอบหัวใจให้ชิวชิวหนึ่งดวง ต่อไปข้าก็เหลือหัวใจเพียงแค่หนึ่งดวง เช่นนี้ ท่านผู้อาวุโสใหญ่ก็ต้องชื่นชมข้าว่าข้าใจเดียวแล้ว”
ถังปู้ชิวตอบรับ “อาาา เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ…เช่นนั้นเจ้าก็มอบหัวใจให้ข้าทั้งหมดเลยสิ แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นเด็กไร้หัวใจ ไร้ความคิด มีแต่สร้างปัญหาให้กับผู้อื่น”
จบคำพูดนั้น ถังเจียเหรินก็ตาวาว นางตอบกลับอย่างซาบซึ้ง “เช่นนั้นเจ้าก็จะเป็นคนไม่ได้เรื่องแทนสินะ”
ถังปู้ชิวส่ายศีรษะอยู่ภายในใจ ‘เป็นอาจารย์นี่มันไม่ง่ายเลยนะ…’
.
.
.
ความเห็น 0