เหลืออีกไม่ใกล้ไม่ไกล สำหรับวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ทั่วประเทศจะต้องยุติการใช้ 3 สารเคมี คลอร์ไพริฟอส พาราควอต ไกลโฟเซต เป็นไปตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ปรับจากวัตถุอันตรายประเภทที่ 3 เป็นประเภทที่ 4 ที่ห้ามผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง โดย มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ระบุในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ จะมีการประชุมสารวัตรเกษตรทั่วประเทศเพื่อรับทราบแนวทางในการลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับเกษตรกรและประชาชนที่มีสารทั้ง 3 ตัวในครอบครองว่าต้องไปส่งคืนบริษัทหรือร้านค้าหรือเอเยนต์สายส่ง หากหลังวันที่ 1 ธันวาคมนี้ ใครครอบครองสารทั้ง 3 ตัวจะมีความผิดตามกฎหมาย ทั้งโทษปรับและจำคุก
สาคร ปากเกร็ด ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.ทุ่งโพ อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี เป็นหนึ่งในสถานที่เพาะปลูกข้าวอินทรีย์ได้ให้ความเห็นว่าง 3 สารเคมีที่ถูกแบน เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้ไกลโฟเซตกำจัดวัชพืช แต่ก็ไม่ต้องใช้สารตัวนี้ก็ได้ โดยนำเครื่องมาตัดหญ้ามาใช้ทดแทน และส่วนที่ใช้ในเรื่องของไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด ทำได้ด้วยการพรวนหญ้าจะช่วยลดใช้สารตัวนี้ได้เช่นเดียวกัน ส่วนสารที่ใช้กับนาข้าวทั่วไปนั้นก็มีสารชีวภัณฑ์ ทางหน่วยงานราชการสนับสนุนให้เกษตรกรนำมาขยายเชื้อเอาเอง เราไม่ได้ใช้สารเคมีอะไร เรื่องของแปลงเกษตรอินทรีย์ทุกแปลงที่นี่ก็ไม่ได้ใช้สารเคมี และก็ได้รับผลกระทบคือ ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ราคาต่ำลง แต่ได้ผลดีก็คือต้นทุนการผลิตจะลดลงเช่นกัน ปกติแล้วถ้าใช้สารเคมีทั่วไปอาจจะได้ 800 กิโลกรัมต่อไร่ แต่เมื่อไม่ใช้สารเคมีและอาจจะได้ผลผลิตอยู่ที่ประมาณ 600 ต่อไร่ และต้นทุนต่ำกว่ากันครึ่ง แต่ผลกำไรก็พอกัน
ส่วนการใช้สารทดแทนในนาข้าวมีหลากหลาย อาทิ น้ำหมักจากขี้ค้างคาวสามารถเข้าไปช่วยในเรื่องฮอร์โมนและไล่แมลงได้ ทั้งสองอย่างในตัวเดียวกัน และตัวที่ 2 คือฮอร์โมนยืด การนำพืชทอดยอดทุกอย่าง อาทิ ผักบุ้ง หน่อกล้วย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทอดยอดนำมาสับรวมกันและหมักใส่
รวมไปถึงน้ำหมักขี้หมูนำไว้ใช้เป็นฮอร์โมนทางใบ และฮอร์โมนไข่ เอาไว้ใช้ช่วยเร่งแป้ง หรือช่วยให้พืชติดดอกทำให้ผลผลิตนั้นมากขึ้น
ขณะที่ ธีระชาติ เสยกระโทก นายกสมาคมชาวไร่มันสำปะหลัง จ.นครราชสีมา กล่าวว่า หลังมีมติแบนสารเคมีอันตราย 3 ชนิด ทำให้เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากยังไม่มีสารเคมีอื่นที่จะนำมาใช้ทดแทนได้ อีกทั้งสารที่ระบุว่าสามารถนำมาใช้ทดแทนได้นั้นก็มีราคาแพงกว่าของเดิมถึง 5 เท่าตัว กลายเป็นภาระอันหนักที่ทิ้งไว้ให้เกษตรกรชาวไร่มันต้องแบกรับไว้ ขณะนี้เริ่มมีเกษตรกรกักตุนสารเคมีที่ถูกสั่งห้ามกันไว้แล้ว แม้เสี่ยงกับการถูกจับก็ยอม ขณะเดียวกันก็จะส่งผลกระทบกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย หากมีการออกกฎหมายเทศบัญญัติห้ามใช้สารเคมีที่ถูกแบนมาบังคับใช้ ในพื้นที่ซึ่งมีเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังอยู่เป็นจำนวนมาก สมัยหน้าก็คงจะไม่มีใครเลือกอีกแน่นอน
“ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในการลดต้นทุนจากผลกระทบการแบนสารเคมีครั้งนี้ก็ยังไม่ชัดเจน ได้แต่โยนให้กับคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่มีมติแบนสารเคมีรับผิดชอบเท่านั้น ทางสมาคมชาวไร่มันสำปะหลัง จ.นครราชสีมา อยากเสนอให้มีการเลื่อนประกาศแบนสารเคมี 3 ชนิดนี้ออกไปก่อน ให้ตั้งคณะกรรมการศึกษาข้อดี-ข้อเสีย ออกมาให้รอบด้านมากกว่านี้”ธีระชาติกล่าว และว่า หากมีผลบังคับในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ เกษตรกรคงจะพากันเลิกปลูกอ้อยปลูกมันจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวไร่มันสำปะหลัง ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา มีพื้นที่ปลูกอยู่ประมาณ 2 ล้านไร่ ผลผลิตเฉลี่ยปีละ 8 ล้านตัน จะทยอยกันเลิกเพราะทนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นไม่ไหว
ด้าน บุญส่ง นับทอง นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวที่ จ.สุราษฎร์ธานีว่า ทางออกของเกษตรกรที่จะใช้เครื่องจักรแทนสารเคมี โดยเกษตรกรที่มีแปลงเกษตรขนาดเล็กสามารถใช้มีดพร้ากำจัดวัชพืชได้ หรือใช้เครื่องตัดหญ้าทั้งแบบสะพายหลังหรือแบบเดินตาม ส่วนเกษตรแปลงขนาดใหญ่แบบไร่ข้าวโพด ไร่มันสำปะหลัง สามารถใช้รถแทรกเตอร์ที่ออกแบบใช้โรเตอร์ให้ดายหญ้าได้ นอกจากนี้สามารถใช้วิธีฆ่าหญ้าแบบธรรมชาติ ใช้ผ้ายางคลุมบนผืนหญ้า 15-20 วัน ขยับพื้นที่ไปเรื่อยๆ เมื่อวัชพืชหรือหญ้าต่างๆ ไม่โดนแสงจะเหลืองเหี่ยวเฉาตายไปเอง วิธีนี้สิ้นเปลืองแรงงานน้อยมากถือเป็นการใช้แรงงานย่อยๆ
“ส่วนการใช้สารชีวพันธุ์สามารถใช้ได้ อยากขอร้องให้ทางรัฐลงมาดูแลอย่างเต็มที่ เพราะมีหลายตัวมากที่ผมได้ลองใช้เกลือแกงกับปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 นำมาผสมเกลือแกง อย่างละ 1 กิโลกรัม นำไปฉีดพ่นวัชพืชหญ้าตายได้ สามารถปรับใช้ตัวอื่นได้ตามความหลากหลายของวัชพืช แล้วแต่สัดส่วน เนื่องจากบริบทแต่ละพื้นที่มีไม่เหมือนกัน”
บุญส่งกล่าวอีกว่า ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ รัฐบาลต้องลงมาช่วยเหลือดูแลทั้งการลดภาษีเครื่องจักร เพื่อเข้าสู่ระบบได้เร็วขึ้น
ต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตประชาชน
“ผมทำการปรับเปลี่ยนจากสารเคมีมาเป็น 10 ปีแล้ว ก่อนนี้เคยใช้เยอะมาก จากประสบการณ์มันทำลายทุกอย่างยิ่งใช้ต้นทุนยิ่งสูงจนเป็นหนี้ ตอนนี้พิสูจน์ได้ว่า ธรรมชาติได้กลับมาในไร่นา กุ้งแม่น้ำกลับมา ปลาเล็กน้อยในท้องนากลับมา พืชที่ปลูกกินได้ปลอดสารพิษอย่างมั่นใจเพราะทำมากับมือเอง” นายบุญส่งกล่าว
ความเห็น 14
อีกหน่อยก็ยาตัวเดิมเปลี่ยนโลโก้เปลี่ยนชื่อเพิ่มราคา มาหลอกให้ใช้เชื่อผมสิ เพราะชีวภาพเอาพวกมะแลงไม่อยู่ ของพวกนี้ใช้ทางที่ดีก็มีประโยชน์
21 พ.ย. 2562 เวลา 09.07 น.
ก็มียาตัวอื่นมาทดแทน และแพงกว่า หญ้าตายเหมือนกัน นายทุน เงินเข้ากระเป๋า ใคร เคราะห์เกษตรกร อีกเต็มๆ
21 พ.ย. 2562 เวลา 09.04 น.
กลูโฟสิเนต มีพิษเหมือนกัน ราคาก็แพงกว่า3ตัวที่แบน
ทำไมไม่แบน...ใครได้ประโยชน์...
21 พ.ย. 2562 เวลา 09.00 น.
Na
เพื่อนที่บ้านทำโครงการหลวงเค้าออกคำสั่งจะทำโครงการหลวงได้ที่ดินต้องห้ามใช้สารเคมีเป็นเวลาสองปีและต้องตรวจดินเสมอ
21 พ.ย. 2562 เวลา 08.55 น.
ไร่อ้อยไร่มันถ้าจ้างคนงานดายญ้าหลายคนต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะถ้าจ้างคนฉีดยาฆ่าญ้าเสียค่าจ้างน้อยกว่าๆ
21 พ.ย. 2562 เวลา 08.48 น.
ดูทั้งหมด