โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

จุติเทพอสูรสยบบรรพกาล

นิยาย Dek-D

อัพเดต 26 พ.ค. เวลา 13.15 น. • เผยแพร่ 26 พ.ค. เวลา 13.15 น. • Kawebook
จุติเทพอสูรสยบบรรพกาล
ณ บรรพกาล อัจฉริยะผู้ดูแลหอตำราแห่งเทียนฉี สิ้นชีพด้วยน้ำมือของอสูรร้าย หากแต่ภพชาติใหม่นี้ เขานี่แหละจะเป็น ‘อสูรคลั่ง’ สยบมันให้อยู่ใต้เท้า!

ข้อมูลเบื้องต้น

จุติเทพอสูรสยบบรรพกาล
ณ บรรพกาล อัจฉริยะผู้ดูแลหอตำราแห่งเทียนฉี สิ้นชีพด้วยน้ำมือของอสูรร้าย หากแต่ภพชาติใหม่นี้ เขานี่แหละจะเป็น ‘อสูรคลั่ง’ สยบมันให้อยู่ใต้เท้า!

เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ:Guangzhou Alibaba Literature lnformation TechnologY Co., Ltd

ประพันธ์โดย:汉隶

ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยถูกต้องโดย : Glory Forever Public Co.,LTD

บรรณาธิการ:ไพสิฐ ต่วนขำ

แปลและเรียบเรียงโดย : พาณุวัชร ชนะสกุล

พิสูจน์อักษร:กฤษณพงศ์ อริยะพันธ์

“ยุคไท่กู่ตอนปลาย จอมอสูรหลินอวี่ถือกำเนิด พลังอสูรเทวะไม่มีผู้ใดหยุดยั้งได้

กวาดล้างดินแดน ทำลายฟ้าดิน เข้าสู่ความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด”

วิกฤติการณ์ครั้งนั้นทำให้ “ฉินอวี่” ผู้ดูแลหอตำราที่เยาว์วัยที่สุดแห่งสำนักเทียนฉี

ตกตายด้วยน้ำมือของศิษย์พี่ทรยศ หรือในนามอสูรคลั่งผู้ทำลายสำนักตนเอง!

ครั้นมาเกิดใหม่ในร่างของคุณชายสามแห่งตระกูลฉิน

ผู้มีสติปัญญาและพรสวรรค์อันน่าตกตะลึง ทว่าเส้นลมปราณกลับพิการ ไร้หนทางฝึกบำเพ็ญ

แต่ไม่รู้ว่านี่คือปาฏิหารหรืออย่างไร… เพราะพิษยมโลกคืนชีพที่อสูรร้ายฝากไว้ครานั้น

ได้ดูดกลืนพลังฟ้าดินมาหลายยุคสมัย จนกลั่นเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งพลัง ที่ถูกปลูกฝังไว้ในร่างใหม่นี้โดยไม่รู้ตัว!

เมล็ดพันธุ์นี้เป็นพิษร้ายคร่าชีวิต หากแต่ก็เป็นโอสถวิเศษแห่งการเป็นอมตะนิรันด์ได้เช่นกัน!

ตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบัน เกรงว่าจะมีเขาเพียงคนเดียวที่ปลูกพิษชนิดนี้ไว้ในร่างกาย!

“อสูรร้าย ตอนที่เจ้าวางยาพิษชนิดนี้ เคยคิดบ้างหรือไม่? เจ้ากำลังมอบโอกาสยิ่งใหญ่ให้กับข้า! ได้โชคดี! ได้เปลี่ยนแปลง!”

การเปลี่ยนแปลงชะตาครั้งใหญ่ของเด็กหนุ่มผู้ไร้พลังปราณทั้งสองชาติก็ได้เริ่มต้นขึ้น…

อสูรร้ายที่อยู่ข้างหน้า เขาจะเป็นผู้ฝังมันเอง!

----------------------------------

แนะนำนิยายสนุก สุดมันส์ อยากอ่านเรื่องไหน กดที่รูปได้เลย

ฉินอวี่

“หลินอวี่ ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่ชายของข้า ทำไม? ทำไมเจ้าจึงไร้ความปรานีเช่นนี้! ยมโลกคืนชีพ ยาพิษร้ายที่รุนแรง ข้าฉินอวี่ ไม่มีวันยอมได้!” ฉินอวี่ส่งเสียงตะโกนขึ้นไปบนฟ้า ใบหน้าของเขาแข็งทื่อพร้อมกระอักเลือดสีดำสนิทออกมาในทันที จากนั้นร่างกายของเขาก็ถอยหลังออกไปอย่างช้าๆ

ฉินอวี่รู้สึกเพียงผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาราอันกว้างใหญ่กำลังพลิกกลับด้าน เปลือกตาของเขาหนักอึ้งจนค่อยๆ ปิดลง ราวกับดวงดาวที่กว้างใหญ่นั้นได้ดับแสงลงเช่นกัน

“พี่ พี่เป็นอะไรไป? พี่ชาย เจ้าอย่าทำให้เสี่ยเอ๋อตกใจแบบนี้สิ พี่ชาย…ขอร้องล่ะ อย่าทิ้งเสี่ยเอ๋อไปเลยนะ…เสี่ยเอ๋อกลัว…”

ฉินอวี่ที่กำลังสับสนได้ยินเสียงร้องไห้ที่ดูวิตกกังวลดังเข้ามา

“เสี่ยเอ๋อ ไม่ต้องกลัวนะ มีพี่อยู่ตรงนี้!”

ฉินอวี่ลุกขึ้นนั่ง พร้อมพูดขึ้นเบาๆ แต่ภาพที่เห็นตรงหน้า กลับทำให้เขาต้องตกตะลึง ที่นี่เป็นห้องซึ่งตกแต่งแบบโบราณ มีกลิ่นหอมของไม้จันทน์ส่งกลิ่นจางๆ อยู่ข้างกาย แสงแดดส่องลอดเข้ามาตามช่องลวดลายแกะสลักบนหน้าต่าง ใต้หน้าต่างมีโต๊ะและเก้าอี้ที่แกะสลักจากไม้จันทน์ชุดหนึ่งจัดวางไว้ เมื่อมองผ่านแสงแดดจึงเห็นเศษฝุ่นที่เต็มอยู่บนพื้นผิวได้อย่างเลือนราง และมีเสียงพูดคุยดังมาจากภายนอก

ที่นี่ที่ไหนกัน?

ฉินอวี่เริ่มประหลาดใจ

จากนั้น ความทรงจำที่ผุดขึ้นในสมองก็ทำให้ฉินอวี่รู้สึกวิงเวียน

เขตแดนฟ้าชิงเหลียน แคว้นอู่ ตระกูลฉิน บุตรชายคนที่สามของผู้นำตระกูลฉิน ฉินอวี่ อายุสิบห้าปี มีคุณสมบัติระดับทั่วไป…

“ข้ากำลังฝันอยู่หรือไม่? หากนี่เป็นความฝัน ทำไมจึงดูเหมือนจริงเช่นนี้ล่ะ?” สีหน้าของฉินอวี่เริ่มไม่แน่ใจ เขามองไปรอบๆ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง และตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงสนทนาที่ดังมาจากภายนอก

“เฮ้อ คุณชายสามน่าสงสารจริงๆ แม้จะเป็นคุณชายตระกูลฉิน แต่ทำไมจึงได้แตกต่างกันเช่นนี้ คุณชายสองชอบรังแกคุณชายสาม คราวนี้ถึงกับเขาบังคับให้คุณชายสามคุกเข่า และยังทุบตีคุณชายสามจนหมดสติ เสี่ยวเถา เจ้าว่าควรบอกเรื่องนี้กับคุณหนูสี่หรือไม่?”

“อย่าบอกเลยจะดีกว่า ข้าได้ยินมาว่า อีกไม่นานจะมีการชุมนุมใหญ่ของแคว้นอู่ ผู้ที่เป็นลูกหลานแคว้นอู่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมได้ เมื่อถึงตอนนั้น จะมียอดฝีมือของสำนักเซียนมาคอยสังเกตการณ์ล่วงหน้า เพื่อคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าฝึกฝนในสำนักเซียน คุณหนูสี่มีความสามารถไม่ธรรมดา หากสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ ก็อาจจะได้เข้าสู่สำนักเซียน ดังนั้น ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ อย่าได้รบกวนคุณหนูสี่จะดีกว่า รอดูสักสองสามวันค่อยว่ากันอีกครั้งเถอะ”

“เสี่ยวเถา ข้าว่าถ้าคุณชายสามเหมือนกับคุณชายใหญ่ได้ก็ดีสินะ ได้ยินมาว่าตอนนี้คุณชายใหญ่ได้เป็นแม่ทัพแล้วด้วย อนาคตรุ่งโรจน์สดใส มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เป็นใหญ่เป็นโต แต่คุณชายสามนี่สิ มีคุณสมบัติธรรมดา…”

“เฮ้อ คุณชายใหญ่กับคุณชายรองเป็นลูกที่เกิดจากนายหญิง ได้ยินมาว่าคุณชายสามกับคุณชายสี่เกิดจากนางทาสคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นบุตรชายของนายท่าน แต่สถานะย่อมต่างกันมากแน่นอน…อุ๊ย เสี่ยวฮวาคารวะนายท่าน!”

ขณะที่ฉินอวี่กำลังประหลาดใจ ประตูห้องก็ถูกผลักออกอย่างกะทันหัน เงาร่างอันสูงใหญ่และแข็งแกร่งร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงประตู ฉินอวี่หันหน้ากลับไปมอง เป็นเพราะแสงแดดที่เจิดจ้าสะท้อนเข้ามาจนแสบตา จึงมองเห็นหน้าตาของบุคคลที่เข้ามาได้ไม่ชัดนัก

เขามีความสูงเจ็ดฉื่อ สวมชุดคลุมสีคราม มีรูปร่างแข็งแรง กำยำล่ำสัน ดวงตาดูกล้าหาญ คล้ายเอาแต่ใจ แต่กลับแผ่พลังของความองอาจออกมา ราวกับแม่ทัพผู้ทรงอำนาจคนหนึ่ง และมีพลังความกดดันที่แข็งแกร่งบางอย่างได้แพร่กระจายจากร่างกายของเขา ห่อหุ้มรอบร่างของฉินอวี่ ฉินอวี่หรี่ตาลง และพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ขั้นยุทธ์สวรรค์ แต่มีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ เจ้านี่เยี่ยมไปเลยนะ! เรียกเสี่ยเอ๋อมานี่เดี๋ยวนี้!”

ความคิดของฉินอวี่ในตอนนี้สับสนเป็นอย่างมาก เขาไม่แน่ใจแล้วว่ามันคือความฝันหรืออะไรกันแน่ แต่ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลหอตำราซึ่งเยาว์วัยที่สุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้งสำนักเทียนฉีมา เขาจึงมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนมาก แม้จะถูกพิษยมโลกคืนชีพ หรือแม้แต่ผู้แข็งแกร่งในขั้นทลายวิถีก็ยังไม่กล้าเสียมารยาทกับเขาเช่นนี้ นับประสาอะไรกับแค่คนขั้นยุทธ์สวรรค์? ถ้าไม่ใช่เพราะคิดว่าเสี่ยเอ๋อล้อเล่นกับตนเองอยู่ ฉินอวี่คงส่งเสียงตะโกนไล่ออกไปเสียให้พ้นแล้ว

ในแดนเซียนอู่ อาณาเขตการฝึกฝนถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับขั้น ได้แก่ ขั้นยุทธ์เก้าระดับ ขั้นปราณเสถียร ขั้นเทียนชุ่ยสามชั้น ขั้นกุมารทิพย์ ขั้นเทพสวรรค์ ขั้นกายจุติ ขั้นทลายวิถี

ลองนึกดูสิ? เมื่อมีคนระดับขั้นยุทธ์สวรรค์คนหนึ่งมากดดันฉินอวี่เช่นนี้ จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?

เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาที่กระซิบกันอยู่หน้าห้องเมื่อครู่นี้ ได้มองลอดช่องประตูไปยังฉินอวี่ที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง พวกนางต่างต้องตกตะลึง นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายสาม?

“แค่ระดับขั้นยุทธ์สวรรค์อย่างนั้นหรือ? เยี่ยม นับตั้งแต่วันนี้ไป หากไม่สามารถเข้าสู่ขั้นยุทธ์ได้ ชั่วชีวิตนี้อย่าคิดจะได้ออกจากจวนตระกูลฉิน!” ชายที่น่าเกรงขามซึ่งยืนอยู่หน้าประตู ส่งเสียงตะโกนขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม และหันกลับไปอย่างขุ่นเคือง

ฉินอวี่ขมวดคิ้วแน่น จ้องไปยังแผ่นหลังของชายผู้นั้นที่ค่อยๆ ห่างออกไป จากนั้นก็มองไปยังหญิงสาวสองคนที่มีสีหน้ามึนงง และเริ่มขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิม

“นี่ไม่ใช่ความฝันหรือ? ถ้าไม่ใช่ความฝัน ข้าก็น่าจะตายไปแล้วสิ?” ฉินอวี่เริ่มสงสัยขึ้นในใจ เมื่อเขามองเห็นมืออันขาวผ่องทั้งสองข้าง ร่างกายก็สั่นเทา และถลึงตากลมโตด้วยความตกใจ

นี่มัน…

นี่ไม่ใช่ความฝันจริงหรือ? ข้ายังไม่ตาย? ความทรงจำมากมายที่ผุดขึ้นมานั่นคือเรื่องจริง?

ข้ากลับมาเกิดใหม่หรือ?

จะเป็นไปได้อย่างไร? แม้ว่าข้าจะเป็นผู้ดูแลหอตำราแห่งสำนักเทียนฉี แต่ก็เกิดมาพร้อมกับเส้นลมปราณพิการ ไม่อาจจะฝึกฝนวรยุทธ์ได้ จึงเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง แล้วปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งจะกลับมาเกิดใหม่ได้อย่างไร?

ฉินอวี่ลุกขึ้นนั่งทันที และมองไปยังหญิงสาวสองคนนั้น ก่อนถามขึ้นเบาๆ “ที่นี่ที่ไหน?”

“คุณ…คุณชายสาม ที่นี่คือตระกูลฉิน นี่…นี่เป็นห้องของท่าน” หญิงสาวที่ชื่อเสี่ยวเถาหน้าถอดสี มองไปยังฉินอวี่ด้วยความกลัวและตอบกลับอย่างสั่นเทา

“ตระกูลฉินหรือ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้าเกิดใหม่แล้วจริงหรือ?” ฉินอวี่มีเพียงความรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ก่อนจะพูดจาตะคอกออกไป “ข้ากำลังถามเจ้าว่าที่นี่คือที่ใดของแดนเซียนอู่?”

“เซียน…เซียนอู่หรือ? เอ่อ…ที่นี่คือแคว้นอู่” หญิงสาวอีกคนที่ชื่อเสี่ยวฮวารีบพูดขึ้นด้วยความตกใจ

ฉินอวี่ลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะถามขึ้นเบาๆ “ตระกูลฉินมีหอตำราหรือไม่? พาข้าไปเดี๋ยวนี้!”

“มี…มีเจ้าค่ะ…” เสี่ยวเถาพูดอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้าอันงดงามของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางแทบจะวิ่งหนีไปอย่างไม่หันกลับมา คุณชายสามในวันนี้แปลกไปอย่างสิ้นเชิง และช่างดูน่ากลัวมากจริงๆ

“พาข้าไปเดี๋ยวนี้!” ฉินอวี่พูดอย่างเคร่งขรึม

ครึ่งชั่วยามต่อมา!

เสี่ยวเถาแอบมองฉินอวี่ที่กำลังสนใจอยู่กับตำรา สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของนางแปรเปลี่ยนไปเป็นความสงสารอย่างช้าๆ

แย่แล้ว คุณชายสามคงจะเสียสติไปแล้ว นี่คือการอ่านหนังสือหรือ? นี่มันเป็นแค่การพลิกหนังสือชัดๆ

เสี่ยวเถายังไม่รู้ นางยังไม่รู้ว่าฉินอวี่ในตอนนี้ไม่ใช่ฉินอวี่คนเดิม ฉินอวี่ในตอนนี้คือผู้ดูแลหอตำราซึ่งเยาว์วัยที่สุดแห่งสำนักเทียนฉี

หากมองดูชีวิตที่ผ่านมาของฉินอวี่ มันช่างน่าทึ่งและน่าเสียดายเหลือเกิน แม้แต่ปรมาจารย์สำนักเทียนฉีผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งแดนเซียนอู่ ก็ยังต้องรู้สึกเสียดายไปกับเขา

เขาอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่อายุหนึ่งขวบ ท่องจำตำราหลายร้อยเล่มได้ตั้งแต่สามขวบ แตกฉานตำรากว่าหมื่นเล่มตอนอายุห้าขวบ เมื่ออายุแปดขวบมันสมองของเขาก็เต็มไปด้วยความรอบรู้ด้านการเมือง อายุสิบสี่ปีได้ขึ้นเป็นหัวหน้าจัดการหอตำรา อายุสิบห้าปีก็เรียนรู้วิชาลับจำนวนมากได้ด้วยตนเอง กระทั่งอายุสิบหกปีจึงกลายเป็นผู้ดูแลหอตำราซึ่งเยาว์วัยที่สุดของสำนักเทียนฉี ได้รับแต่งตั้งเป็น ซิงเฉินจื่อ

คนที่มีสติปัญญาดีเลิศจนน่าทึ่งเช่นนี้ แม้ว่าจะมีคุณสมบัติระดับทั่วไป แต่ก็มีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด แต่ด้วยชะตาฟ้าลิขิต ฉินอวี่ผู้มีสติปัญญาอันน่าทึ่ง กลับเกิดมาพร้อมกับเส้นลมปราณพิการ แม้แต่ปรมาจารย์สำนักเทียนฉียังต้องแปลกใจกับเส้นลมปราณพิการนี้ และไม่อาจฟื้นฟูเส้นลมปราณนี้ได้

ฉินอวี่ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับตำรา มิได้ล่วงรู้ความคิดของเสี่ยวเถาเลยแม้แต่น้อย เขาพลิกอ่านตำราทุกเล่มด้วยความเร็วอย่างยิ่ง ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลหอตำราแห่งสำนักเทียนฉี แม้ว่าเขาจะมีเส้นลมปราณพิการแต่กำเนิด แต่สติปัญญาและพรสวรรค์ของเขากลับน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก เขามีความจำเป็นเลิศ กวาดสายตามองครั้งเดียวก็จดจำได้กว่าร้อยบรรทัด

หอตำราชั้นที่หนึ่ง ใช้เวลาไปเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น

หอตำราชั้นที่สอง ใช้เวลาไปทั้งหมดไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ไปถึงชั้นที่สามของหอตำรา ฉินอวี่ถือตำราโบราณที่เย็บด้วยหนังสัตว์เล่มหนึ่งเอาไว้ และออกแรงจับตำราหนังสัตว์นั้นไว้แน่น จนเส้นเอ็นที่แขนปูดโปนขึ้นมาทันที ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง รูม่านตาหดเล็กลง จ้องเขม็งไปยังข้อความที่อยู่บนตำราโบราณ

“ยุคไท่กู่ตอนปลาย จอมอสูรหลินอวี่ได้ถือกำเนิดขึ้น พลังอสูรเทวะไม่มีผู้ใดหยุดยั้งได้ กวาดล้างเทียนฉี ทำลายฟ้าดิน เข้าสู่ความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด…”

“เสี่ยตี้ ใช้พลังเวทระดับสูงสุดรวบรวมแดนเซียนอู่ที่แตกสลาย สร้างป้ายศิลาขนาดใหญ่ไว้ที่สำนักเทียนฉี สลักเป็นผืนดวงดาราอันกว้างใหญ่ เผยแพร่วิชาแห่งนิรันดร สถาปนาสำนักโบราณซิงเฉิน เมื่อถึงช่วงเวลานี้ แดนเซียนอู่จึงเปลี่ยนชื่อเป็นแดนซิงเฉิน!”

“จอมอสูรหลินอวี่! กวาดล้างเทียนฉี! หลินอวี่! ทำไม!” ฉินอวี่ส่งเสียงคำรามอย่างเบาๆ และฉีกตำราหนังสัตว์อย่างโกรธเกรี้ยว

----------------------------------

เพื่อไม่ให้พลาดทุกการอัปเดตก่อนใคร

กด'ติดตาม'ตรงนี้ไว้ได้เลยย~ _

.

.

ขอให้ทุกท่านสนุกกับการอ่านนิยายนะคะ

ได้รับพร

หลังจากฉีกตำราหนังสัตว์อย่างโกรธเกรี้ยว ฉินอวี่ก็นั่งลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล ผลึกน้ำก็คลอขึ้นมาเต็มดวงตา มองดูตัวอักษรบนตำราหนังสัตว์ที่ฉีกขาดด้วยความโกรธแค้น ราวกับถูกมีดปักแทงหัวใจเล่มแล้วเล่มเล่า จนหัวใจถูกกรีดจนเจ็บปวด

ฉินอวี่เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ถูกผู้อาวุโสเก้าแห่งสำนักเทียนฉี เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในหัวใจของฉินอวี่ สำนักเทียนฉีคือบ้านของเขา ผู้อาวุโสเก้าเป็นเหมือนพ่อบังเกิดเกล้าของเขา

แม้ว่าจะมีเส้นลมปราณพิการแต่กำเนิด แต่ผู้อาวุโสเก้าก็ไม่ทอดทิ้งฉินอวี่ด้วยเหตุผลเช่นนี้ แต่กลับดูแลเขาอย่างใส่ใจ จนทำให้เกิดฉินอวี่ที่น่าอัศจรรย์ในภายหลังขึ้นมาได้

เนื่องจากการเก็บตัวบำเพ็ญพรตอันยาวนานของผู้อาวุโสเก้า หลังจากที่ฉินอวี่อายุได้สิบสามปี เขาจึงเติบโตมาพร้อมกับศิษย์พี่คนหนึ่งนามว่าหลินอวี่ หลินอวี่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษมากมาย จนได้รับขนานนามเป็นชายหนุ่มอันดับหนึ่งแห่งสำนักเทียนฉี

ฉินอวี่ผู้มีประสบการณ์น้อย จึงได้มองว่าศิษย์พี่หลินอวี่คือบุคคลใกล้ชิดที่สุดอีกคนหนึ่งนอกจากผู้อาวุโสเก้า แม้ว่าหลินอวี่จะเอาป้ายหยกแขวนเอวที่ติดตัวเขามาตลอดไป ฉินอวี่ก็ไม่ถือสา

แต่เมื่อฉินอวี่อายุสิบสี่ปี การกระทำของหลินอวี่ก็เริ่มแปลกไปเล็กน้อย โดยเขาจะได้รับเลือดจากร่างกายของฉินอวี่หนึ่งหยด ในเกือบทุกสองวัน เป็นระยะเวลาตลอดหนึ่งปีเต็ม

แม้ว่าจะน่าแปลกใจ แต่ฉินอวี่ก็ไม่ได้สนใจอะไร และยังมอบวิชาลับแรกที่สร้างขึ้น อย่างวิชาพลังอสูรเทวะให้กับหลินอวี่

แต่การเปลี่ยนแปลงที่ตามมา ทำให้ฉินอวี่ไม่ทันระวัง และคาดไม่ถึงว่าศิษย์พี่อย่างหลินอวี่จะทรยศสำนักเทียนฉี นับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา ฉินอวี่จึงพบว่าร่างกายของตนเองเริ่มแก่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปรมาจารย์เทียนฉีได้วินิจฉัยไว้ว่า เขาถูกพิษยมโลกคืนชีพ ซึ่งเป็นพิษร้ายแรงอันดับหนึ่งของแดนเซียนอู่!

ฉินอวี่ที่ถูกพิษร้ายแรง ยืนหยัดเช่นนั้นมาได้หกปี จากชายหนุ่มที่กระฉับกระเฉง ในระยะเวลาอันสั้นเพียงหกปี กลับกลายเป็นชายชราที่ใกล้ฝั่งถึงแก่ความตาย

ในหกปีนั้น ฉินอวี่ได้ใช้ชีวิตข้ามผ่านช่วงเวลาที่แสนมืดมนที่สุด เขานำทุกสิ่งทุกอย่างมาครุ่นคิดเชื่อมโยงกัน จนในที่สุด จึงสามารถสรุปได้ว่าที่หลินอวี่ทำเช่นนี้ อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับป้ายหยกสีดำชิ้นนั้น

ป้ายหยกสีดำชิ้นนั้นอยู่ติดตัวมาตั้งแต่วันแรกที่ผู้อาวุโสเก้าพาตัวเขามา ซึ่งเป็นไปได้มากว่าจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับที่มาที่ไปของตนเอง ฉินอวี่จำได้ดี ว่าป้ายหยกชิ้นนั้นมีรูปร่างเหมือนไข่มุก มีการแกะสลักไว้อย่างหนาแน่น เป็นรูปหงส์รำมังกรเหิน และท้ายที่สุด รูปภาพเหล่านี้ได้กลายเป็นลักษณะเงาร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่

เรื่องราวในอดีตหลั่งไหลออกมาจากความทรงจำของฉินอวี่ราวกับกระแสน้ำ ฉินอวี่จ้องไปยังผืนหนังสัตว์ที่ฉีกขาดอย่างเหม่อลอย น้ำตาก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย ราวกับหัวใจที่เจ็บปวดราวถูกมีดกรีดของเขาเต็มไปด้วยความแค้นและความอำมหิตที่ไม่รู้จบสิ้น

“ข้าได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว แต่ทุกอย่างได้หายไปแล้ว สำนักเทียนฉีถูกทำลายแล้ว เกรงว่า…ท่านปู่เก้าอาจจะถูกหลินอวี่ทำร้ายอย่างไร้ความปรานี!”

ฉินอวี่รู้สึกท้อแท้ใจ แต่เมื่อดวงตาของเขาได้จดจ่อไปยังตัวอักษร “เสี่ยตี้” ที่อยู่บนหนังสัตว์ที่ฉีกขาดนั้น ม่านตาของฉินอวี่ก็หดเล็กลงทันที เขารีบประกอบหนังสัตว์มาต่อกันอย่างบ้าคลั่ง และเมื่อเขาได้เห็นถ้อยความทั้งหมดนั้น ฉินอวี่ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที

“เสี่ยตี้ ใช้พลังเวทระดับสูงสุดรวบรวมแดนเซียนอู่ที่แตกสลาย สร้างป้ายศิลาขนาดใหญ่ไว้ที่สำนักเทียนฉี สลักเป็นผืนดวงดาราอันกว้างใหญ่ เผยแพร่วิชาแห่งนิรันดร สถาปนาสำนักโบราณซิงเฉิน เมื่อถึงช่วงเวลานี้ แดนเซียนอู่จึงเปลี่ยนชื่อเป็นแดนซิงเฉิน!”

“เสี่ยเอ๋อนี่เอง!” ฉินอวี่หัวเราะเสียงดัง น้ำตาของเขาไหลริน เขานึกถึงเสียงร้องไห้ที่กำลังหวาดกลัวของเสี่ยเอ๋อที่ดังขึ้นก่อนที่เขาจะตาย

เสี่ยเอ๋อ…ได้กลายเป็นเสี่ยตี้!

เสี่ยเอ๋อที่กำลังหวาดกลัวคนนั้นจะต้องผ่านความยากลำบากและความผิดหวังกี่ครั้ง กว่าที่เขาจะได้ก้าวเดินขึ้นสู่การเป็นเสี่ยตี้?

ฉินอวี่ตื่นเต้นขึ้นทันที แต่ในใจก็ยังรู้สึกเศร้าอยู่เล็กน้อย

เสี่ยวเถาที่อยู่ด้านข้าง กำลังมองดูฉินอวี่ที่ร้องไห้พลางหัวเราะด้วยน้ำตาคลอเบ้า และมองดูฉินอวี่ด้วยความหวาดกลัวแต่ก็รู้สึกสงสารอยู่ในใจ ในสมองก็ครุ่นคิดปนเปกันเป็นชามโจ๊ก หากคุณชายสามเสียสติไปแล้ว เช่นนั้นตนเองและเสี่ยวฮวาจะเป็นอย่างไรต่อไป?

ฉินอวี่ลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรง และเดินออกจากหอตำราอย่างโซเซ เสี่ยเอ๋อไม่ตาย นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก

“หลินอวี่ ข้าจะให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยเลือด!”

เมื่อกลับถึงที่พำนัก ฉินอวี่ก็นั่งลงขัดสมาธิ และค่อยๆ รื้อฟื้นความทรงจำในร่างก่อนอยู่อย่างเงียบๆ แต่ในขณะนี้ ประตูห้องก็ถูกผลักออก พร้อมเสียงตำหนิที่ดังขึ้นมา

“ท่านพี่ แค่เจ้าเห็นฉินเฟิงก็ถอยหนีเก้าสิบลี้แล้ว เจ้าไม่ยอมฟังกันเลย บอกว่าไม่ให้เจ้าไปแอบดูองค์หญิงสิบสาม เจ้าก็ไม่เชื่อฟัง บอกให้เจ้าฝึกให้หนัก เจ้าก็ไม่ฟัง หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ ต่อไปเสวี่ยเอ๋อจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว เจ้าอายุสิบห้าปีแล้ว ท่านพ่อเคยบอกแล้วว่าก่อนจะอายุสิบหกปี หากเจ้ายังไม่สามารถได้ขั้นยุทธ์ใดๆ ชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่ได้ออกจากจวนตระกูลฉิน”

ฉินอวี่จ้องไปยังเด็กหญิงใบหน้าขาวที่วิ่งเข้ามาด้วยความตกตะลึง ดวงตาของเขาหยุดนิ่ง

เสี่ยเอ๋อ? เสวี่ยเอ๋อ?

แม้ว่าความทรงจำในร่างก่อนจะบอกฉินอวี่ ว่านี่เป็นเพียงน้องสาวของร่างก่อนที่ชื่อฉินเสวี่ย แต่เมื่อมองไปยังฉินเสวี่ยที่ผอมบาง ฉินอวี่ก็มีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกเกิดขึ้นมาในใจ

ฉินอวี่มองไปอย่างมึนงง ก่อนจะมองกลับมาที่ตนเอง ฉินอวี่เริ่มเม้มปาก อยากจะตำหนิออกไปแต่กลับทนตำหนิเขาไม่ไหว จึงได้แต่พูดออกไป “หากเจ้าไม่ชอบการฝึกยุทธ์ก็ช่างเถอะ อย่างนั้นเจ้าก็ท่องตำราเอาไว้มากๆ ศึกษาหนทางทำการค้า ต่อไปเจ้าจะได้มีตำแหน่งในตระกูลกับเขาบ้าง จะได้ไม่ถูกคนอื่นรังแก แต่เจ้าก็ดันไปแอบดูองค์หญิงสิบสาม องค์หญิงสิบสามเป็นหงส์บนต้นอู๋ถง ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะสามารถปีนขึ้นไปได้นะ”

“เรื่องของเมื่อวาน เสี่ยวฮวาบอกข้าหมดแล้ว เจ้าถูกฉินเฟิงบังคับให้ต้องคุกเข่า แม้ว่าเสวี่ยเอ๋อจะโกรธมาก แต่เสวี่ยเอ๋อก็ไม่คิดจะไปแก้แค้นให้เจ้าหรอกนะ นี่ก็เพราะต้องการให้เจ้าจดจำเอาไว้ ไม่เช่นนั้นละก็ ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไร…” ฉินเสวี่ยพูดออกไปพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา ตรงเข้าไปโอบกอดฉินอวี่พร้อมร้องไห้โฮออกมาทันที “ท่านแม่ก็จากไปแล้ว นอกจากท่านพ่อ เจ้าคือญาติคนเดียวของข้า หากเจ้าต้องตายไปอีกคน เสวี่ยเอ๋อจะทำอย่างไรล่ะ? เจ้าคือพี่ของข้า อย่างไรเจ้าก็ต้องดูแลเสวี่ยเอ๋อให้ดีนะ แต่เจ้าทำไมจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยเช่นนี้ ยังชอบทำตัวให้เสวี่ยเอ๋อต้องเป็นห่วง เสวี่ยเอ๋อต้องยอมฝึกฝนอย่างน่าเบื่อนี้อยู่ทุกวัน เป็นเพราะอะไรล่ะ? ก็เพื่อจะปกป้องเจ้าไม่ใช่หรือ…ฮือๆ…”

คุณสมบัติและความสามารถของฉินเสวี่ยน่าทึ่งมาก อายุเพียงแปดขวบก็สามารถเข้าถึงขั้นยุทธ์ระดับที่หนึ่งได้แล้ว เข้าสู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์ระดับสามได้ตอนอายุสิบปี และสำเร็จจุดสูงสุดของขั้นยุทธ์ระดับหกเมื่ออายุสิบสามปี

ภายใต้พรสวรรค์อันฉายแววนั้น ฉินเสวี่ยก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง

หลังจากร้องไห้อย่างขมขื่น ฉินเสวี่ยก็รีบปาดน้ำตาของนาง ก่อนจะลุกขึ้นและหันหลังเดินออกไป แต่เมื่อเดินไปถึงประตู นางก็หยุดลงอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้น “พี่ชาย เสวี่ยเอ๋อไปฝึกต่อแล้วนะ อีกสักสองสามวันจะมาหาเจ้าใหม่ เจ้าลองไตร่ตรองดูให้ดี อย่าให้เสวี่ยเอ๋อต้องกังวลใจกับเจ้าอีกเลย ได้ยินไหม?” เมื่อเห็นว่าฉินอวี่ยังคงจ้องมองตนเองอย่างงุนงง นางก็กัดฟันและเดินออกไปทันที

ฉินอวี่จ้องไปยังแผ่นหลังอันผอมบางของฉินเสวี่ย จิตใจของเขาก็เริ่มกระวนกระวาย คำพูดแต่ละคำของฉินเสวี่ยกระแทกใส่จิตใจของเขาอย่างหนักหน่วง

เสี่ยเอ๋อในชาติก่อน กับเสวี่ยเอ๋อในชาตินี้?

ชาติก่อนดูแลเสี่ยเอ๋อได้ไม่ดี ในชาตินี้ ข้าฉินอวี่จะต้องดูแลเสวี่ยเอ๋อให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้เสวี่ยเอ๋อต้องทนทุกข์เช่นเดียวกับเสี่ยเอ๋ออีก

“แต่ก่อนอื่น ข้าจำเป็นจะต้องเข้าถึงขั้นยุทธ์ให้ได้เสียก่อน! จึงจะมีสิทธิ์ที่จะออกจากตระกูลฉิน” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง และลุกขึ้นไปปิดประตูห้อง

จากนั้นฉินอวี่สงบจิตใจรวบความคิดทุกอย่างเอาไว้ และเริ่มสำรวจสภาพของร่างกายนี้ทันที สิ่งที่ทำให้เขาต้องจนใจคือร่างกายนี้มีสภาพที่ย่ำแย่จริงๆ ไม่ต้องพูดถึงรากฐานในระดับธรรมดา เส้นลมปราณในร่างกายยังเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สักวันหนึ่งก็จะต้องหมดหนทางในการฝึกฝนตนเองเช่นเดียวกับร่างในอดีต

ฉินอวี่ค่อยๆ หลับตาลง และเริ่มปรับความรู้สึกให้เข้าสู่ความว่างของจิตวิญญาณ และดูเหมือนว่าตัวอักษรโบราณจำนวนนับไม่ถ้วนของตำราโบราณในหอตำราสำนักเทียนฉี จะลอยวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว เย่เฉินก็เลือกกลวิชาที่ไม่สมบูรณ์มาเล่มหนึ่ง และทักษะการต่อสู้ระดับเซียนเล่มหนึ่งออกมาจากทะเลตำรา

แม้ว่าตำราทั้งสองเล่มจะไม่สมบูรณ์ แต่ฉินอวี่ก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถทำให้เป็นกระบวนวิชาที่สมบูรณ์ได้ในอนาคต ตำราทั้งสองเล่มนั้นได้แก่ วิชาเซียนมรรคาสวรรค์ และวิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรต

วิชาเซียนมรรคาสวรรค์เป็นวิชาฝึกฝนกำลังภายในที่เก่าแก่มากวิชาหนึ่ง แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่อาจปกปิดความแข็งแกร่งของมันได้ หากสามารถฝึกถึงขั้นสูงสุด ก็จะอยู่บนมรรคาแห่งสวรรค์ เข้าสู่ขั้นเซียนได้!

“ข้าจะใช้วิชาเซียนมรรคาสวรรค์เข้าสู่ขั้นยุทธ์ในระยะเวลาอันสั้น! ส่วนปีศาจคลั่งหกปริวรรต การเปลี่ยนแปลงลำดับที่หนึ่งคือเลือดลม และขั้นยุทธ์ระดับหกจะสามารถควบรวมเลือดลมได้ แต่ก็เป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ”

“ขั้นยุทธ์เก้าระดับ ต้องฝึกฝนเน้นความแข็งแกร่งของร่างกาย ว่ากันว่า ในขั้นเริ่มต้นจะต้องเสริมสร้างร่างกายที่แข็งแกร่ง หลังจากมีร่างกายที่แข็งแกร่งแล้วก็จะสามารถแสดงพลังปราณออกมาได้ เมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นพลังปราณแล้ว ขั้นยุทธ์ชั้นที่หนึ่ง เส้นลมปราณ และเส้นลมปราณหลักในร่างกายก็จะถูกเปิดออก!”

ฉินอวี่มีความเข้าใจที่ชัดเจน จากนั้นจึงหลับตาลง และเริ่มใช้วิชาเซียนมรรคาสวรรค์

ในอดีต ฉินอวี่มีเส้นลมปราณที่พิการมาแต่กำเนิด แม้ว่าเขาจะดึงดูดพลังวิญญาณของฟ้าดินได้ แต่พลังวิญญาณของฟ้าดินก็ไม่อาจจะอยู่ในร่างกายได้และกลับคืนสู่ฟ้าดินในที่สุด ในตอนนี้ แม้ว่าจะมีรากฐานที่ธรรมดา แต่เส้นลมปราณกลับสมบูรณ์ และรวมเข้ากับพลังวิญญาณของฟ้าดินได้

เพียงแต่ การจะทำความสะอาดเส้นลมปราณให้หมดจดจะต้องใช้เวลาสามวัน

ในวันที่ห้า ฉินอวี่ก็ได้สำเร็จเข้าสู่ขั้นยุทธ์ระดับที่หนึ่ง และทำการกรุยเปิดเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกาย

ต้องบอกเลยว่า วิชาเซียนมรรคาสวรรค์นี้มีความทรงพลังเหนือความคาดหมายยิ่งนัก พลังวิญญาณฟ้าดินที่ดูดซับมานั้นมีความดุร้ายมากกว่าวิชาวิเศษชนิดอื่นยิ่งนัก หากเป็นวิชาวิเศษชนิดอื่น เกรงว่าคงต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนจึงจะสามารถกรุยทางเปิดเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างได้สำเร็จ

เมื่อรู้สึกว่ามีสิ่งสกปรกสีดำสนิทที่เหนียวและมีกลิ่นเหม็นอยู่ทั่วร่างกาย ฉินอวี่ก็เมินเฉย และมองจ้องลงไปยังจุดตันเถียนที่ช่องท้องของตนเอง เขารู้สึกถึงความอบอุ่นที่ส่งออกมาจากจุดตันเถียน เขาฉีกเสื้อผ้าของตนเองออก และลูบหน้าท้องของตนเอง ฉินอวี่มองเห็นรอยพิมพ์ที่มีลักษณะเป็นวงรีคล้ายเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งอยู่ต่ำกว่าช่องท้องลงไปสามนิ้วอย่างไม่ชัดเจน

เมล็ดสีดำนี้มีลักษณะที่แปลกมาก มันมีสีดำสนิทเป็นส่วนใหญ่ และมีเส้นสีขาวอยู่ด้านบนเส้นหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนเป็นเส้นลมปราณสีขาวเส้นหนึ่ง

“นี่คือ…” ฉินอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาอ่านตำราโบราณเล่มนั้นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่ก้าวเข้าสู่ขั้นยุทธ์ชั้นที่หนึ่ง แล้วจะมีรอยรูปเมล็ดเช่นนี้ปรากฏอยู่บนจุดตันเถียน

“ไม่สิ ข้าเพิ่งได้รับการเกิดใหม่ไม่น่าจะมีสัญลักษณ์ที่แปลกเช่นนี้อยู่ หรือว่าจะเป็นสิ่งที่มีติดตัวมาอยู่แล้ว? เป็นไปไม่ได้ หากมีอยู่จริง ตอนอยู่ในร่างเดิมคงจะต้องเข้าสู่หนทางของขั้นยุทธ์ได้ตั้งแต่อายุสิบห้าปีแล้ว”

“เดี๋ยวนะ!”

“หรือว่า…จะเป็นเพราะพิษยมโลกคืนชีพ?”

“หากเป็นเช่นนี้ละก็ เมล็ดพันธุ์นี้อาจจะเป็น…เมล็ดพันธุ์ของยมโลกคืนชีพ?” ฉินอวี่มีสีหน้าที่แปลกไปทันที

หลังจากถูกพิษยมโลกคืนชีพ ฉินอวี่ได้ค้นพบบันทึกที่เกี่ยวข้องกับพิษยมโลกคืนชีพในตำราโบราณ

แม้ว่าจะมีบันทึกเกี่ยวกับพิษชนิดนี้อยู่เพียงเล็กน้อย แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเพียงการคาดเดา พิษยมโลกคืนชีพนี้เกือบจะจัดว่าเป็นหนึ่งในพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงในตำนาน และเคยได้ยินเพียงคนถูกพิษนี้เท่านั้น แต่กลับไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของมันเลย

แต่!

ฉินอวี่เคยอ่านพบประโยคหนึ่งในตำราโบราณ “ในฟ้าดินมีเมล็ดพันธุ์ที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง ชื่อว่าเมล็ดพันธุ์แห่งการคืนชีพ เมื่อสะสมพลังของฟ้าดิน เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ก็จะแตกต่างชนิดได้ ร่ำลือกันว่า พิษยมโลกคืนชีพก็กำเนิดมาจากเมล็ดพันธุ์คืนชีพที่แตกต่างชนิดกันเหล่านี้ และยังมีบอกไว้อีกว่า เมื่อเมล็ดพันธุ์ต่างชนิดมารวมกันหกชนิดผสานพลังสูงสุดของฟ้าดิน เมล็ดคืนชีพนี้ก็จะกลายเป็นโอสถวิเศษของฟ้าดิน ซึ่งยาชนิดนี้มีชื่อว่า โอสถอมตะ!”

กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า เมื่อวันเวลาผ่านไป ร่างกายของฉินอวี่จะเป็นส่วนบ่มเพาะโอสถเป็นพิษในร่างกายของเขา และมีโอกาสมากที่โอสถชนิดนี้จะกลายเป็นโอสถทิพย์อมตะในตำนาน!

“หลินอวี่ ตอนที่เจ้าวางยาพิษชนิดนี้ เคยคิดบ้างหรือไม่? เจ้ากำลังมอบโอกาสให้กับข้า! ได้ยิ่งใหญ่! ได้โชคดี! ได้เปลี่ยนแปลง!”

----------------------------------

เพื่อไม่ให้พลาดทุกการอัปเดตก่อนใคร

กด'ติดตาม'ตรงนี้ไว้ได้เลยย~ _

.

.

ขอให้ทุกท่านสนุกกับการอ่านนิยายนะคะ

จื่อซวินเอ๋อ

เมล็ดพันธุ์ของการคืนชีพ รวบรวมพลังสูงสุดของฟ้าดิน และพลังสูงสุดของฟ้าดินเป็นพลังที่สุดขั้วที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในโลกธาตุ ดั่งเช่น ยอดแห่งหยิน ยอดแห่งหยาง ยอดแห่งความชั่วร้าย ยอดแห่งพิษ เป็นต้น

อาจกล่าวได้ว่า หลังจากดูดซับพลังอันสุดขั้วของฟ้าดินแล้ว จะแปรสภาพเป็นสิ่งทรงพลังในระดับขั้นสูงสุด เช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์ของการคืนชีพซึ่งเป็นยอดแห่งพิษที่ได้ดูดซับพลังฟ้าดิน และกลายไปเป็นพิษยมโลกคืนชีพ!

แม้ว่าเมล็ดพันธุ์นี้อาจจะกลายเป็นพิษที่ร้ายแรง แต่ก็อาจจะกลายเป็นโอสถวิเศษแห่งความเป็นอมตะได้เช่นกัน!

โอสถวิเศษแห่งความเป็นอมตะ คือโอสถวิเศษที่มีอยู่ในตำนาน เล่ากันว่า หากได้กลืนกินโอสถชนิดนี้ จะมีชีวิตที่เป็นอมตะ และได้รับพลังแห่งความเป็นอมตะอันเป็นนิรันดร์

“ถึงแม้จะเป็นไปได้ที่จะรวบรวมพลังสูงสุดของฟ้าดินทั้งหกชนิดเพื่อแปลงเป็นโอสถวิเศษแห่งความอมตะ แต่หากดูดซับยอดพิษแห่งฟ้าดินที่รวมกัน ก็จะกลายเป็นพิษยมโลกคืนชีพได้ เช่นนั้นแล้ว ตั้งแต่บรรพกาลมาถึงปัจจุบัน เกรงว่าคงมีข้าเพียงคนเดียวที่ปลูกพิษชนิดนี้ไว้ในร่างกาย!” ฉินอวี่ดีใจอย่างคาดไม่ถึง และไม่นึกเลยว่าเขาจะได้รับความโชคดีมากมายเช่นนี้หลังจากได้รับชีวิตใหม่

ในภายภาคหน้าหากมีเวลาค่อยสำรวจเมล็ดพันธุ์ของการคืนชีพ แต่ตอนนี้สิ่งที่เร่งด่วนที่สุด คือการก้าวเข้าสู่ขั้นยุทธ์เก้าระดับ และเปิดจุดตันเถียนขึ้นมา ถึงเวลานั้นก็จะเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเมล็ดพันธุ์แห่งการคืนชีพ

หลังจากนั้น ฉินอวี่จึงเริ่มทำการสำรวจร่างกายของตนเอง และเริ่มพิจารณา

“แม้ว่าวิชาเซียนมรรคาสวรรค์จะสามารถทำให้การฝึกฝนขั้นเริ่มต้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว แต่รากฐานและพลังล้วนแต่ไม่เปลี่ยนแปลง ข้ายังต้องใช้วัตถุดิบของยาเป็นจำนวนมากเพื่อใช้หลอมร่างกาย ด้วยหนทางนี้เท่านั้น จึงทำให้รากฐานมีความมั่นคง และพัฒนาระดับการฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว” เมื่อคิดถึงจุดนี้ วิชาของการฝึกกายนับร้อยในจิตใจของซิงเฉินจื่อก็รวบรวมกันขึ้นมา ท้ายที่สุด เขาก็เลือกวิชาที่เหมาะสมออกมาชนิดหนึ่ง ที่เป็นวิธีการหลอมกายที่เหมาะสมกับร่างกายในปัจจุบัน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินอวี่ก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปเปิดประตูห้อง

เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาที่เฝ้าอยู่นอกประตูรีบหันหน้ามาอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของพวกนางคือมนุษย์ที่ดำสนิทคนหนึ่ง ที่ส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง

“โอ๊ย…เหม็นจะตายอยู่แล้ว…” เสี่ยวฮวาใช้มือบีบจมูกไว้แน่น พลางพูดด้วยความประหลาดใจ

“คุณชายสาม…” เสี่ยวเถาวิ่งเหยาะๆ ออกไปทันที มองดูฉินอวี่ด้วยความประหม่า หากไม่ใช่เพราะในหลายวันมานี้ไม่มีผู้ใดเข้าไปในห้อง เสี่ยวเถาอาจจะคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่คุณชายสาม

“เตรียมน้ำดื่มกับของกินไว้ให้ข้าด้วย” ฉินอวี่กล่าวอย่างเรียบเฉย

“รับทราบ…รับทราบ…” เสี่ยวเถารีบตอบรับอย่างรวดเร็ว และลากตัวเสี่ยวฮวาออกไปตระเตรียม

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม

เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาจ้องไปทางฉินอวี่ที่กำลังกินอย่างตะกละตะกลาม พวกนางไม่ได้มีท่าทางเช่นนี้เพราะการกินของฉินอวี่ แต่เป็นเพราะหลังจากฉินอวี่เปลี่ยนเสื้อผ้าและหวีผมเรียบร้อยแล้ว บุคลิกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

ประการแรก ผิวทั่วทั้งร่างของเขาดูบอบบางราวกับเด็กทารก มีความเปล่งปลั่งอยู่เล็กน้อย หน้าตาดูเคร่งขรึมจริงจังราวกับเป็นคนละคน ผนวกกับความเย่อหยิ่งที่เยือกเย็น ทำให้เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาต่างต้องตกตะลึง นี่คือคุณชายสามที่เป็นคนธรรมดาคนนั้นหรือ? แม้แต่อารมณ์ที่น่ากลัวของคุณชายรองก็ยังไม่เท่าหนึ่งในสิบส่วนของคุณชายสาม

ฉินอวี่เมินเฉยต่อสายตาของทั้งสองคน ในตอนนี้เขากำลังหิวมาก ก่อนหน้านี้ตอนทำการสำรวจเมล็ดพันธุ์ของการคืนชีพยังไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจากลุกขึ้นมา เขาก็รู้สึกหิวเป็นอย่างมาก

หลังจากกินล้างกินผลาญไป ฉินอวี่ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ฉินอวี่ใช้ผ้าขาวเช็ดคราบน้ำมันที่มุมปาก จากนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และมองไปทางเสี่ยวเถา ก่อนจะพูดว่า “ข้ามีศิลา…ศิลาวิญญาณอยู่เท่าไร?”

เสี่ยวเถารู้สึกตัวจากความตกใจเป็นคนแรก ใบหน้าของนางแดงก่ำ และพูดด้วยความสับสนเล็กน้อย “คุณชายสาม…พวกเรามีศิลาวิญญาณที่ไหนกัน มีเพียงเศษของเงินสองร้อยตำลึงเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินที่คุณหนูสี่แอบขโมยมาให้ท่าน…”

เมื่อได้ยินชื่อของคุณหนูสี่ ดวงตาของฉินอวี่ก็เริ่มเปล่งประกายเล็กๆ และเมื่อหวนนึกถึงเสี่ยเอ๋อ ดวงตาของเขาก็เริ่มอ่อนโยน และพูดอย่างเย็นชา “ตระกูลต้องให้เงินข้าทุกเดือนมิใช่หรือ?”

ถึงเสือจะร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง แม้ว่าผู้นำตระกูลฉินจะผิดหวังอย่างไรกับร่างก่อน แต่ในทุกเดือนเขาก็ยังให้เงินกับตนเองมิใช่หรือ?

“เอ๊ะ? คุณชายสามลืมไปแล้วหรือ? ท่านและคุณชายรองพนันกันเอาไว้ว่าเมื่อไม่รับเงินจากตระกูลจะมีโอกาสใช้ชีวิตรอดได้หรือไม่? ดังนั้น นับตั้งแต่นั้นมาทางตระกูลจึงไม่เคยส่งเงินมาให้คุณชายสามอีกเลย” เสี่ยวเถากล่าวอธิบายพลางมองฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจ

ดวงตาของฉินอวี่หรี่ลงเล็กน้อย ร่างก่อนหน้านี้คงจะดูโง่เกินไปมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาไม่สามารถก้าวสู่ขั้นยุทธ์ได้ เส้นทางของการฝึกฝน ถ้าขาดทรัพยากรก็ยากที่จะเดินต่อไป

หลังจากนั้น เขาจึงลุกขึ้นและเดินออกจากที่พำนักไปทันที “นำเงินมาให้ข้า ข้าจะไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง พวกเจ้าไม่ต้องตามมาล่ะ”

“เดี๋ยวก่อน คุณชายสาม…นายท่านมีคำสั่ง ว่าหากท่านไม่สามารถเข้าสู่ขั้นยุทธ์ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์จะออกจากจวน…” เสี่ยวเถาพูดอย่างกังวล หากฝ่าฝืนอีกครั้ง เสี่ยวเถาก็ไม่รู้เช่นกันว่านายท่านจะทำโทษคุณชายสามอย่างไร

“ใครบอกว่าข้ายังไม่ก้าวเข้าสู่ขั้นยุทธ์?” ฉินอวี่ย้อนตอบโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะเดินออกไปจากที่พำนัก

เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาหันมองหน้ากันและกัน หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวเถาก็พูดอย่างตะกุกตะกัก “เสี่ยวฮวา…ข้า…ข้าได้ยินไม่ผิดใช่ไหม คุณชายสามบอกว่า…บอกว่าเข้าเข้าสู่ขั้นยุทธ์แล้วหรือ?”

ใบหน้าของเสี่ยวฮวาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “แย่แล้ว…คุณชายสามคงจะเสียสติไปแล้ว…”

เมืองหลักเทียนอู่คือเมืองหลวงของแคว้นอู่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการทหาร การค้า และเศรษฐกิจของแคว้นอู่ ในแต่ละวันมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างหลั่งไหลเข้ามายังเมืองหลักเทียนอู่

นอกจากนี้ ในครึ่งปีหลังแคว้นอู่จะจัดงานชุมนุมครั้งใหญ่ขึ้น เมืองหลักเทียนอู่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มีการหมุนเวียนของผู้คนอย่างถึงที่สุด ซึ่งมีจำนวนมากถึงหนึ่งล้านกว่าคน

ขณะที่เขาเดินมาถึงถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน ฉินอวี่ก็มองไปโดยรอบด้วยความอยากรู้ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ดูแลหอตำราของสำนักเทียนฉี แต่ก็น้อยครั้งที่เขาได้ออกจากสำนักเทียนฉี และไม่บ่อยที่เขาจะได้เดินทางไปยังเมืองใหญ่เหล่านั้น ความเข้าใจเรื่องเมืองใหญ่ของเขาจำกัดอยู่เพียงในตำราเท่านั้น

ท้องถนนเชื่อมโยงกันราวกับใยแมงมุม ถนนทุกสายเต็มไปด้วยความวุ่นวายของรถม้าและผู้คนจำนวนมาก สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย มีทุกสิ่งทุกอย่างครบครัน ฝูงชนเดินไปมาราวกับก้อนเมฆ คนจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่สองข้างถนน กำลังจัดเรียงของแต่ละชิ้นที่ตนเองนำมาขาย ทั้งเสียงเรียก เสียงตะโกน และเสียงสนทนาที่ดังก้องไปทั่ว จึงเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าเมืองหลักเทียนอู่นั้นมีความเจริญอย่างชัดเจน

ฉินอวี่ยังไม่รีบร้อนไปตามหาวัตถุดิบยาสำหรับหลอมกาย แต่เขามองไปยังร้านค้าที่อยู่รอบๆ และมีบางครั้งที่เขาลองชิมอาหารเลิศรสที่ริมทาง และสัมผัสได้ถึงวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น

ครึ่งวันผ่านไป

ฉินอวี่หันกลับไปมองทางด้านหลัง และยิ้มเย้ยขึ้นมาที่มุมปาก ก่อนจะเดินเข้าไปยังร้านค้าแห่งหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ใบหน้าของฉินอวี่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมเย็นชาดูหยาบขึ้นทันที และเปลี่ยนเสื้อผ้าชั้นดีของตนเองเป็นเสื้อผ้าธรรมดาอย่างเหล่าบัณฑิตทั่วไป

ฉินอวี่เหลือบมองคนสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล จากนั้นจึงก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ออกมาจากจวนตระกูลฉิน ฉินอวี่ก็สังเกตเห็นว่ามีคนกำลังติดตามเขาอยู่ จึงเดินหลบเลี่ยงไปรอบๆ เพื่อสลัดคนทั้งสองนั้นออกไป

หลังจากกำจัดคนที่สะกดรอยตามเขาได้แล้ว ฉินอวี่ก็เดินเตร็ดเตร่ต่อไป จนเข้าไปถึงร้านขายยาร้านหนึ่งของเมืองหลักเทียนอู่ ที่มีชื่อว่า “หมื่นสรรพสิ่ง”

หลังจากสำรวจดูสิ่งของทั้งหมดที่ขายอยู่ในร้านขายยาอย่างคร่าวๆ ในใจก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ฉินอวี่จึงตรงเข้าไปหาคนงานในร้านทันที

“สหายท่านนี้ ไม่ทราบว่าต้องการอะไรหรือ?” หญิงสาวที่ออกมาต้อนรับฉินอวี่เป็นคนสวยที่มีรูปร่างผอมเพรียว เสียงของนางชัดเจน รอยยิ้มบนใบหน้า ทำให้ผู้คนที่ได้พบเจอต่างรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง

“มอบสิ่งนี้ให้กับผู้ดูแลที่นี่ บอกเขาว่าข้ารออยู่ที่นี่” ฉินอวี่หยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่งออกมา ที่เขียนตัวอักษรสามตัวขนาดใหญ่ซึ่งดูกระฉับกระเฉง ยื่นส่งให้กับคนงานคนนี้ทันที

คนงานในร้านยิ้ม หลายวันมานี้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลย ได้แต่เพียงให้ฉินอวี่รออยู่ตรงนั้น ก่อนนางจะเดินจากไป

ไม่ทันถึงหนึ่งในสี่ชั่วยาม ผู้อาวุโสในชุดธรรมดาก็รีบเดินเข้ามา ฉินอวี่มองดูอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะพูดขึ้น “คำสามคำเมื่อครู่นี้ เป็นของสหายผู้นี้หรือ?”

ฉินอวี่พยักหน้าเล็กน้อย

“สหาย นักปรุงยาจื่อเชิญเข้าพบ” สีหน้าของผู้อาวุโสอดไม่ได้ที่จะเผยความตื่นเต้นออกมา

ผู้อาวุโสเดินนำฉินอวี่เข้าไปยังอาคารชั้นบนของร้านขายยา

“สหาย เชิญ!” ผู้อาวุโสผายมือเชิญฉินอวี่เข้าด้านใน

ฉินอวี่เปิดประตูออกและเดินเข้าไป ทันทีที่เข้าไปด้านใน ฉินอวี่ก็รู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างกายของเขา ฉินอวี่แอบพูดจาเย้ยอยู่ในใจ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และกล่าวอย่างเย็นชา “สหาย นี่คือวิธีต้อนรับแขกหรือ?”

เมื่อเขาเห็นคนที่นั่งอยู่ในห้อง ฉินอวี่ไม่เพียงแต่ตกใจเท่านั้น

เขามองเห็นเพียงหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีม่วงกำลังนั่งอยู่ในห้องอย่างสง่างาม หญิงสาวคนนั้นม้วนผมเกล้าเป็นมวยสูง เผยให้เห็นคอสวยระหง เมื่อมองดูรูปร่างหน้าตาของนางอีกครั้ง ยิ่งทำให้คนตกใจคิดว่าเป็นชาวสวรรค์ นางดูอ่อนโยนและขาวผ่องราวกับจะดีดให้หักด้วยนิ้วได้ จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากที่ไร้การย้อมแต่งแต่แดงดั่งผลพลัมสีแดง ประกอบกับความเย่อหยิ่งเยือกเย็น ทำให้หญิงสาวคนนี้ไม่เพียงแต่มีรูปลักษณ์ที่น่าทึ่งแต่ยังรวมถึงอารมณ์ของนางด้วย

ต้องบอกเลยว่า ฉินอวี่เคยพบเจอกับหญิงงามในสำนักเทียนฉีมาแล้วมากมาย แต่หญิงสาวคนนี้สามารถจัดไว้ในอันดับแรกๆ ได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้น คือหญิงสาวคนนี้ได้บรรลุถึงขั้นเทียนชุ่ยขั้นที่หนึ่งแล้ว ด้วยคุณสมบัติระดับนี้อายุเช่นนี้ หากอยู่ในสำนักเทียนฉี จะต้องเป็นบุคคลสำคัญที่ถูกดูแลเป็นอย่างดีแน่นอน

“สหาย เจ้าบอกว่าเจ้ามีเม็ดยาพลังปราณหรือ?” หญิงสาวคนนั้นพูดกับฉินอวี่อย่างเฉยเมย บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ น้ำเสียงของนางดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์

“ไม่มีหรอก” ฉินอวี่ละสายตาจากหญิงสาวคนนั้น และพูดอย่างเย็นชา เกี่ยวกับอักษรที่เขาเคยเขียนไปก่อนหน้านี้ “เม็ดยาพลังปราณ”

หญิงคนนั้นเบิกดวงตางดงาม และระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างไร้เหตุผล ดวงตาสีดำสนิทของนางจ้องตรงไปทางฉินอวี่ และเริ่มขยับริมฝีปากสีแดงของนาง ก่อนจะพูดขึ้น “เช่นนั้นสหายคงจะมาล้อเล่นกับคนอย่างข้า จื่อซวินเอ๋อหรือ?”

ฉินอวี๋กล่าวต่อไปอย่างเย็นชา “ข้ามีใบปรุงยา”

“อะไรนะ?” รูม่านตาของจื่อซวินเอ๋อหดลงอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ดูแข็งทื่อ หลังจากผ่านไปไม่นาน จื่อซวินเอ๋อก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มมีรอยยิ้มบนใบหน้าที่มากยิ่งขึ้น จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

ผืนผ้าไหมสีม่วงลากไปกับพื้น เดินตรงเข้าไปหาฉินอวี่ เมื่อนางเข้ามาใกล้ก็วางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของฉินอวี่ทันที มือข้างซ้ายที่อ่อนโยนเหมือนรากบัวได้โอบรอบคอของเขาไว้ราวกับงูน้ำ ร่างกายของนางเอียงเข้ามาใกล้ หันข้างไปทางใบหน้าของเย่เฉิน และดูเหมือนมีอะไรในใจ ลมหายใจเหมือนดั่งกล้วยไม้ที่มีกลิ่นหอมอย่างธรรมชาติ เมื่อริมฝีปากสีแดงเข้ามาใกล้หูของเขา ก็มีเสียงพูดเบาๆ “เจ้าบอกว่า…เจ้ามีใบปรุงยาของเม็ดยาพลังปราณหรือ?”

----------------------------------

เพื่อไม่ให้พลาดทุกการอัปเดตก่อนใคร

กด'ติดตาม'ตรงนี้ไว้ได้เลยย~ _

.

.

ขอให้ทุกท่านสนุกกับการอ่านนิยายนะคะ

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น