รายงานพิเศษ
พิษไวรัสโควิด-19 ฉุดเศรษฐกิจไทยดิ่งเหว หนักหนาสาหัสไม่แพ้วิกฤตเศรษฐกิจปี 254030 มี.ค.ที่ผ่านมา หลัง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี แม่ทัพเศรษฐกิจ เข้าห้องทำงาน“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เสนอแพ็กเกจเยียวยาเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากพิษโควิด-19 ระลอกที่ 3
“สมคิด” เอ่ยปากหลังพบนายกฯว่า เตรียมเสนอมาตรการชุดที่ 3-ชุดใหญ่ เพื่อเยียวยาระบบเศรษฐกิจไทยในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยใช้ชื่อว่า “มาตรการเยียวยา ดูแลระบบเศรษฐกิจไทย
“เพื่อ 1.เยียวยาผู้ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบจากโควิด-19 2.ดูแลเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศขณะนี้ คือ ภาคเกษตร และ 3.ดูแลและสร้างความมั่นใจให้กับระบบตลาดเงินและตลาดทุนเพื่อให้เกิดเสถียรภาพ
“งบประมาณจำนวนหนึ่ง มีทั้งงบประมาณ และเงินกู้ โดยผสมผสานระหว่างการแบ่งจากงบประมาณแต่ละกระทรวง กระทรวงละ 10% โดยออกเป็น พ.ร.บ.โอนงบประมาณมาไว้งบฯกลางให้เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี สำหรับแก้ปัญหาโควิด-19 โดยเฉพาะ และการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน ทั้งนี้จะต้องทำให้เร็วที่สุด”
เฉพาะการตรา พ.ร.ก.กู้เงิน คาดว่าจะใช้งบฯไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้าน ประคบเศรษฐกิจที่ฟุบยาวตามสถานการณ์ที่ไม่มีใครทำนายถูกว่าจะจบสิ้นกี่เดือน กี่ปี
เรื่องนี้ไม่มีใครค้าน มีแต่ยกมือสนับสนุน ฝ่ายค้านเบอร์ใหญ่ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศว่า
“ปัญหาเศรษฐกิจอันสืบเนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ก็เป็นโจทย์ใหญ่ที่หนักหนาไม่แพ้กัน ที่รัฐบาลจะต้องมีมาตรการและแผนรองรับที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งบประมาณปี 2563 ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งพวกเราพรรคร่วมฝ่ายค้านพร้อมที่จะให้ความร่วมมือหากสิ่งที่รัฐบาลต้องการสามารถช่วยเหลือประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้จมดิ่งลงไปในเหวลึกมากกว่าที่เป็นอยู่”
ในอดีตการตรา พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศมีอยู่หลายครั้ง ทั้งกู้มาเพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจ หรือกู้เงินมาเพื่อซื้ออาวุธ !
เงินกู้ยุคคณะราษฎร
ช่วงแรกที่ไทยต้อง “กู้เงิน” เกิดขึ้นในช่วงที่คณะราษฎรเรืองอำนาจ เป็นช่วงสถานการณ์โลกกำลังตึงเครียด-คาบเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม (ช่วงแรก
2481-2487) มีการออกกฎหมายกู้เงิน 6 ฉบับ 1.พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดการกู้เงินในประเทศเพื่อเกษตรกร พ.ศ. 2481 จำนวน 25 ล้านบาท 2.พ.ร.บ.จัดการกู้เงินในประเทศเพื่ออุตสาหกรรม พ.ศ. 2481 วงเงิน 20 ล้านบาท 3.พ.ร.บ.จัดการกู้เงินในประเทศเพื่อเทศบาลและการบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2481 วงเงิน 20 ล้านบาท
4.พ.ร.บ.กู้เงินในประเทศ พ.ศ. 2485 ไม่เกิน 60 ล้านบาท โดยให้เรียกว่า “เงินกู้เพื่อชาติพุทธสักราช ๒๔๘๕” 5.พ.ร.บ.กู้เงินในประเทศ พ.ศ. 2487 โดยให้เหตุผลเรื่องการกู้เงิน “เพื่อประโยชน์แก่ชาติ” ให้รัฐบาลมีอำนาจกู้เงินโดยการออกตั๋วเงินคลัง เป็นจำนวนไม่เกิน 50 ล้านบาทเพื่อการใช้จ่ายตามงบประมาณ โดยอาศัย พ.ร.บ.ตั๋วเงินคลัง พ.ศ. 2487 ที่ออกเป็นฉบับที่ 6
หลังจอมพล ป. ต้องลงจากตำแหน่ง“ควง อภัยวงศ์” ได้เข้ามาบริหารประเทศ อันเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม รัฐบาลได้ออก พ.ร.บ.กู้เงินในประเทศ พ.ศ. 2487 ขึ้นมาให้รัฐบาลมีอำนาจกู้เงินโดยการออกตั๋วเงินคลัง เป็นจำนวนไม่เกิน 50 ล้านบาท เพื่อการใช้จ่ายตามงบประมาณ
ต่อมาในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง เศรษฐกิจย่ำแย่ ข้าวยากหมากแพงไปทั่วโลก แถมยังต้องฟื้นเมืองขึ้นมาใหม่จากภัยสงคราม “ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ที่ถูกดึงมาเป็นนายกฯ บนภารกิจต้องเจรจาให้อังกฤษในฐานะแกนนำฝ่ายพันธมิตร ยอมรับไม่ให้ไทยตกเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ได้ตรา พ.ร.บ.กู้เงินในประเทศ พ.ศ. 2488 จำนวน 100 ล้านบาท เพื่อการใช้จ่ายในราชการ
ปีถัดมารัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกฯคนอยุธยา บ้านเดียวกับ “ปรีดี พนมยงค์” ได้ตรา พ.ร.บ.กู้เงินในประเทศ พ.ศ. 2489 ถึง 2 ฉบับ ฉบับแรกให้รัฐบาลกู้เงินไม่เกิน 200 ล้านบาท ฉบับที่ 2 ให้อำนาจกู้ได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท
“ป๋าเปรม” กู้ซื้ออาวุธจากสหรัฐ
ส่วนการกู้เงินในยุคถัดมา ส่วนมากเป็นการกู้เงินด้าน “ซื้ออาวุธ” เพื่อป้องกันประเทศในช่วงที่ประเทศเผชิญภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ โดยเจ้าหนี้รายใหญ่ของไทย คือ “สหรัฐอเมริกา”
16 พ.ย. 2519 ในสมัยรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร ราชกิจจานุเบกษา ประกาศพ.ร.บ.กู้เงินเพื่อป้องกันประเทศ พ.ศ. 2519 ให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีมีอำนาจกู้เงินนามรัฐบาล เพื่อใช้จ่ายในการป้องกันประเทศตามโครงการป้องกันประเทศ การกู้เงินรวมกันต้องไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท โดยให้เหตุผลตอนหนึ่งว่า “โดยที่ประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างรีบด่วนที่จะต้องปรับปรุงสมรรถนะทางด้านยุทโธปกรณ์ให้แก่กองทัพไทย”
ในวันเดียวกันนั้นมีกฎหมายอีกฉบับประกาศพร้อมกัน คือ พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศ พ.ศ. 2519 กำหนดเพดานการกู้เงินไว้ที่ กู้ได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
โดยรัฐบาลธานินทร์ให้เหตุผลว่า “เพื่อใช้จ่ายลงทุนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ” หลังจากก่อนหน้านี้ ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 53 วันที่ 24 ม.ค. พ.ศ. 2519 ได้ให้อำนาจรัฐบาลกู้เงินจากธนาคารระหว่างประเทศ รัฐบาลต่างประเทศไปก่อนแล้ว และกฎหมายกู้เงินงวดก่อนได้หมดอายุ
แต่เพื่อให้การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ดำเนินการต่อเนื่องต่อไปโดยไม่หยุดชะงัก จึงต้องตรากฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศ
เจ้าหนี้รายใหญ่คือสหรัฐ
ต่อมาสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้ออก พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากรัฐบาลต่างประเทศ เพื่อจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหาร พ.ศ. 2524 ในมูลค่าการกู้เงิน เมื่อรวมกับการกู้เงินตาม พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศ พ.ศ. 2519 ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ซึ่งเจ้าหนี้คือรัฐบาลสหรัฐ เป็นการกู้เงินในรูปแบบ“การให้สินเชื่อตามโครงการขายยุทโธปกรณ์ทางทหาร” ซึ่งหลังจากนั้น ได้มีประกาศกระทรวงการคลังเพิ่มเติมที่รัฐบาลต้องกู้จากสหรัฐ ตามสินเชื่อโครงการดังกล่าว ต่อเนื่อง 6 ปี ตั้งแต่ 2524-2529
ยุคกู้เงินเพื่อกู้เศรษฐกิจ
17 ปีต่อมา เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง รัฐบาลชวน หลีกภัย ต้องออก พ.ร.ก.กู้เงินขึ้นมาเพื่อแก้วิกฤตจำนวน 3 ฉบับ ให้อำนาจกู้เงินกว่า 1 ล้านล้านบาท
1.พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. 2541 กู้ได้ไม่เกิน 2 แสนล้านบาท ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2543
2.พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 กู้ได้ไม่เกิน 3 แสนล้านบาท ภายใน 31 ธ.ค. 2543
3.พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 กู้เงินจากแหล่งเงินกู้ในประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายและปรับโครงสร้างแหล่งเงินทุนของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้ไม่เกิน 5 แสนล้านบาท
ถัดมาอีก 4 ปี ในสมัย รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้ออกพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (ระยะที่ 2) พ.ศ. 2545 มูลค่าของการกู้เงินรวมกันต้องไม่เกิน 780,000 ล้านบาท ต่อเนื่องจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ให้เหตุผลการออก พ.ร.ก.ว่า “แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังไม่หมดสิ้น สมควรกำหนดให้กระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2”
มาร์คกู้แก้วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
ครั้นมาถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ตราพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 โดยกู้เงินให้มีมูลค่ารวมกันไม่เกิน 400,000 ล้านบาท ภายใน 31 ธ.ค. 2553 สร้างโปรเจ็กต์ “ไทยเข้มแข็ง” โดยที่ได้เกิดวิกฤตการณ์ของระบบสถาบันการเงินในต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจของไทยอย่างรุนแรง รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องใช้เงินในการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง
ยิ่งลักษณ์กู้ 3.5 แสนล้าน
และในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ตรา พ.ร.ก.ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 หลังจากเกิดวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ กทม. เมื่อปลายปี 2554 ให้มีมูลค่ารวมกันไม่เกิน 350,000 ล้านบาท กู้ภายในไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2556
วิกฤตโควิด-19 รัฐบาลประยุทธ์จึงต้องเตรียมกู้เงิน เป็นฉบับที่ 20
ความเห็น 4
จายเมิงแลง😁😁😁😁
ช่วงนี้ก็เพลาๆเรื่องอาวุธ ดูแลปากท้องประชาชนก่อน
06 เม.ย. 2563 เวลา 06.01 น.
Prateep
ถ้านายกชื่อทักษิณจะรอดพ้นทุกอย่าง
06 เม.ย. 2563 เวลา 06.25 น.
พูดไห้ตัวเองดูดีสร้างภาพ พวกบ้า คงเสียใจมากเรื่องซื้อเรือ เรื่องซื้ออาวุธมันคงฝังในสมองส่วนลึก จำขึ้นใจ ดูแลประชาชนก่อน ดีไหมสั่งนั่นนี่ แต่ไม่ช่วยเหลืออะไรเลย จะช่วยเหลือประชาชน ข้ออ้างเยอะเลย ทำประเทศ เสียหาย ถ้าโควิดหายไปจากประเทศไทย คนไทยคง จะลุกขึ้นมาจัดการพวกกินบ้านกินเมือง ทุกอย่างต้องรอไห้คนด่า หมอบอกว่าขาดอันนั้น นี่
06 เม.ย. 2563 เวลา 06.00 น.
ทกรัดกระบาล เป็นเหมือนกันหมด
เข้ามาดูหนังบู้ล้างผลาญ แล้วชัก%%%%%
กินน้ำกินขนม แล้วทิ้งขยะ
06 เม.ย. 2563 เวลา 04.32 น.
ดูทั้งหมด