ผ่านไปแล้วสำหรับศึกแดงเดือดครั้งที่ 204 รวมทุกรายการ และเป็นครั้งแรกในปี 2020 เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่ง ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายกำชัยเหนือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 2-0 จากประตูของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ในนาที 14 และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ นาที 90+3
จากผลดังกล่าวทำให้ “หงส์แดง” เก็บเพิ่มเป็น 64 คะแนนจาก 22 นัด พร้อมขยายสถิติไม่แพ้ใครในถิ่น แอนฟิลด์ ในเกมลีกไปเป็น 52 นัด ขณะที่ “ปีศาจแดง” อยู่ในอันดับ 5 ของลีกเช่นเดิมหลังมี 34 แต้มจาก 23 เกม ตามหลัง เชลซี อันดับ 4 อยู่ 5 แต้ม
โดยถึงแม้ว่าเกมจะจบไปแล้ว แต่ก็มีประเด็นต่างๆตามมามากมาย ซึ่งล่าสุด “สปอร์ตคีดา” สื่อกีฬาดังได้วิเคราะห์ถึง 3 จุดสำคัญที่เกิดขึ้นในเกมนี้
1.การรับลึก และเล่นบอลยาวของ ลิเวอร์พูล
แน่นอนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ทราบดีอยู่แล้วว่าทีมของเขาจะต้องรับมือกับแผนการรับ และโต้กลับของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งได้ผลอย่างมากในเกมที่ทั้งคู่พบกันเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
ทำให้เฮดโค้ชชาวเยอรมันแก้เกมมาในนัดนี้ด้วยการตั้งโซนรับแบบลึก เพื่อปิดโอกาสการเคาท์เตอร์แอทแทคของ “ปีศาจแดง” โดยเฉพาะ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ และโจ โกเมซ ที่ลงมาคุมพื้นที่ในแนวหลังแบบเบ็ดเสร็จจนในครึ่งแรก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทบไม่มีโอกาสทำประตู
โดยการตั้งรับลึกนั้นจะทำให้ ลิเวอร์พูล ขาดการพาบอลจากแดนหลังขึ้นมาทำเกมรุกแบบที่พวกเขาเคยทำในหลายๆเกมก่อนหน้านี้ ซึ่ง คล็อปป์ ก็ได้แก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการให้ทั้ง ฟาน ไดค์ และโกเมซ วางบอลยาวให้ 3 ประสานแดนหน้า ทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ วิ่งเพื่อหาช่องในการทำเกมรุก และจบสกอร์แทน
นอกจากนั้นอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ในเกมนี้เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ ก็ลงมาเล่นถึงบริเวณหน้ากรอบเขตโทษตัวเองเพื่อคอยเชื่อมบอลจากกองหลัง ฟูลแบ็ก และแดนกลาง รวมถึงช่วยเกมรับจนแทบจะยืนเป็นเซ็นเตอร์รายที่ 3
โดย ฟาน ไดค์ จับตาย ดาเนียล เจมส์ ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้แผนการจ่ายตัดหลังแบ็กของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อให้แนวรุกโฉบเข้าไปทำประตูใช้ไม่ได้ผลแต่อย่างใด
2.แมนฯยูไนเต็ด กับการเล่นเกมรับที่สับสน
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มีปัญหาในการจัดตัวพอสมควรในเกมนี้หลังขาดผู้เล่นหลักถึง 3 ราย ทั้ง มาร์คัส แรซฟอร์ด, ปอล ป็อกบา และสก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนักในการจัดทัพ
โดยพวกเขาวางแผนในศึก“แดงเดือด” ครั้งนี้ด้วยระบบ 3-4-1-2 ซึ่งพวกเขาเคยใช้มาแล้วในเกมเลกแรกที่เสมอกัน 1-1
ลุค ชอว์, วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ และแฮร์รี แมกไกวร์ ยืนเป็น 3 เซ็นเตอร์ เพื่อสู้กับ 3 ประสานเกมรุกของลิเวอร์พูล และให้ อารอน วาน-บิสซาก้า กับเบรนดอน วิลเลียมส์ เป็นฟูลแบ็กเพื่อปิดการเติมเกมของฟูลแบ็กฝั่ง ลิเวอร์พูล ทั้ง 2 ข้าง
ในช่วงแรกพวกเขายังสามารถรับมือกับการเล่นเกมบุกของ ลิเวอร์พูล ได้ดี อย่างไรก็ตามจากการประกบตัวในจังหวะเสียลูกเตะมุมที่ผิดพลาด ทำให้กลายเป็น วิลเลียมส์ ไปประกบ ฟาน ไดค์ ในจังหวะขึ้นโหม่ง ซึ่งแน่นอนว่าด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่กว่า
ทำให้กองหลังทีมชาติฮอลแลนด์เทคตัวโขกเข้าไปอย่างง่ายๆให้“หงส์แดง” ทะยานนำ และจากนั้นเกมรับของทีมเยือนก็พังแบบไม่เป็นกระบวน และน่าจะโดนประตูที่ 2 อยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ได้วีเออาร์ช่วย รวมถึงเด เคอา ที่เซฟรักษาสกอร์ให้กับทีม อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถรอดพ้นความพ่ายแพ้
3.แมนฯยู ทำได้ดีขึ้นในครึ่งหลัง-ซาลาห์ ดับฝัน
“ปีศาจแดง” เปลี่ยนมาใช้ระบบ 3-4-3 ในช่วงครึ่งหลัง ซึ่งเกมบุกของพวกเขากระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจน หลังสามารถเก็บบอลในแดนกลางได้มากกว่าเจ้าบ้าน รวมถึงมีโอกาสลุ้นประตูตีเสมอหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่ อองโตนี มาร์กซิยาล ทำชิ่ง 1-2 กับ อังเดรส เปร์ราร่า จนหลุดเดี่ยวเข้าไปในกรอบเขตโทษ ทว่า มาร์กซิยาล กลับยิงด้วยขวาแบบเต็มข้อข้ามคานไปแบบเหลือเชื่อ ซึ่งหากจังหวะนี้เป็นมาร์คัส แรซฟอร์ด ดาวยิงตัวหลักก็น่าจะได้ลุ้นสกอร์มากกว่านี้
“ในฐานะที่คุณเป็นดาวยิงตัวหลัก และมันแสดงให้เห็นว่าเขานั้นไม่ดีพอสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” รอย คีน อดีตกองกลาง “ปีศาจแดง” ออกมาจวกแข้งรุ่นน้องว่าไม่ดีพอเล่นให้ทีมหลังพลาดในจังหวะนี้
โดยหลังจากนั้น โซลชา พยายามแก้เกมด้วยการส่ง เมสัน กรีนวูด กับ ฆวน มาต้า มาเปลี่ยนมิติในเกมรุก ทว่ายังไม่มีจังหวะจบสกอร์แบบได้ลุ้นถึงประตูแต่อย่างใด เพราะ ลิเวอร์พูล ก็ปรับแผนการเล่นเกมรับแบบเต็มตัวเช่นกัน
จนกระทั่งในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้ายทีมเยือนได้ลูกเตะมุม ทำให้พวกเขาเติมเกมบุกเข้ามาในกรอบเขตโทษแทยทุกคน อย่างไรก็ตามสุดท้าบบอลไปเข้ามือ อลีสซง เบคเกอร์ ผู้รักษาประตู ลิเวอร์พูล
และแทนที่เขาจะเก็บบอลเพื่อเผาเวลา ทว่าอลีสซง ได้โยนยาวไปให้กับ ซาลาห์ ที่ยืนโล่งอยู่คนเดียวบริเวณกลางสนาม ซึ่งแนวรุกทีมชาติอียิปต์ก็ใช้สปีดสลัดหนี ดาเนียล เจมส์ ที่พยายามลงมาช่วยเกมรับ ก่อนยิงผ่าน มือ เด เคอา ให้ ลิเวอร์พูล ตอกน้ำชัยชนะ
“ผมผิดหวังที่เราเสียประตูจากลูกเตะมุม และจากจังหวะสุดท้ายของเกม”โซลชา กล่าวหลังจบเกม
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือ 3 จุดสำคัญที่เกิดขึ้นในเกม “แดงเดือด” ครั้งแรกของปี 2020 ที่สุดท้าย 3 คะแนนตกเป็นของ ลิเวอร์พูล
ความเห็น 13
จุดสำคัญคือ ไม่มีตัวไหนฝากความหวังได้สักคน ทีมเวอร์คแบบไร้ศักยภาพ แค่เล่นให้ครบ 38 นัด
21 ม.ค. 2563 เวลา 02.32 น.
พิ๊_ดุ๊กคลเดิมมD&T
เพื่อนๆอย่าลืมไปงานToYนะ ถึงแม้ว่ามันคอยจะแช่งทีมเราอยู่ตลอด ขาดมันไปก็ขาดสีสันนะ RIP ToY ลืมบอกไปเขาไม่เผานะ มันเปลืองเชื่อเพลิง เขาฝังอย่างเดียวคนแบบนี้
21 ม.ค. 2563 เวลา 04.42 น.
ชอบลูกที่พี่หมีแอสซิสให้ซาร่าห์ และได้ประตู สุดยอดเป็นกำลังให้ตลอดๆจ้า💓#YNWA#💓
21 ม.ค. 2563 เวลา 05.02 น.
Most Indie
“ทีมที่ชนะนอกจากจะพร้อมกว่าแล้วยังมีโชคชะตาคอยดูคอยกำกับ พระเจ้าได้ให้โอกาสแก่ลิเวอร์พูลในยุคปัจจุบัน
ดูทีมอื่นในลีกสิ พากันไม่เปนขะบวน
21 ม.ค. 2563 เวลา 03.27 น.
🈵✅❌😆THaNNaTHorN1️⃣5️⃣5️⃣1️⃣
ช่วงเวลาของเป็ดก้อปล่อยไปยาวๆๆๆเลยล่ะกัน
21 ม.ค. 2563 เวลา 02.42 น.
ดูทั้งหมด