พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ที่ประชาชนยอมรับน้อยที่สุดในสังคมไทย
และขณะที่อดีตนายกฯ หลายรายมีคนไม่ชอบจนถึงชังด้วยหลายสาเหตุ ประชาชนที่ชัง พล.อ.ประยุทธ์นั้นมีมากจนพรรคที่มี ส.ส.ในสภาสูงสุดในการเลือกตั้งได้แก่พรรคต่อต้านคุณประยุทธ์ ส่วนคุณประยุทธ์ก็ได้เป็นนายกฯ เพราะวุฒิสภาซึ่งตัวเองตั้งเอง
คุณทักษิณ ชินวัตร กับคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจมีคนบางกลุ่มต่อต้านอย่างรุนแรง
แต่ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนได้แสดงออกอย่างเท่าเทียมกันทุกคน ผลก็คือทั้งสองท่านชนะเลือกตั้งทุกครั้งตั้งแต่ปี 2554
ซ้ำยังเป็นชัยชนะที่ประชาชนเลือกพรรคของทั้งคู่ 14-16 ล้าน ส่วนพรรคคู่แข่งมีแต่คะแนนนิยมถดถอยลง
ในยุคที่ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยยังไม่กล้าเขียนรัฐธรรมนูญสกัดพรรคที่ชนะเลือกตั้งจากการตั้งรัฐบาล ความนิยมต่อคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์มีมากจนประชาธิปัตย์เปลี่ยนหัวหน้าสามคนก็ยังแพ้
และแม้แต่วิธีตั้งม็อบยึดทำเนียบ, ยึดสนามบิน และยัดข้อหาร้ายแรงอื่นๆ ก็ไม่ทำให้ความนิยมของประชาชนเปลี่ยนไป
ถ้าคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์เป็นตัวอย่างของผู้นำที่ประชาชนเลือกมากจนคู่แข่งพังพินาศอย่างย่อยยับ คุณประยุทธ์ก็เป็นตัวอย่างของคนที่ประชาชนยอมรับน้อยจนต้องสร้างรัฐธรรมนูญล็อกสเป๊กให้ตัวเองเป็นนายกฯ ให้ได้ ต่อให้คนส่วนใหญ่จะไม่เอาด้วยจนเลือกพรรคที่หนุนคุณประยุทธ์แค่ 8 ล้านเท่านั้นเอง
ด้วยเป้าหมายในการยึดทำเนียบให้เป็นของผู้นำที่ประชาชนไม่ต้องการ องค์ประกอบในการตั้งรัฐบาลจึงมาจากพรรคการเมืองซึ่งมีปัญหาความยอมรับทั้งสิ้น
พลังประชารัฐถูกโจมตีว่าเป็นพรรค “พลังดูด” จนมี ส.ส.แค่ 116 เท่านั้น, ประชาธิปัตย์ถดถอยจน ส.ส.เหลือแค่ 53 ส่วนชาติไทยพัฒนามี ส.ส.เหลือแค่ 10 คน
แม้ภูมิใจไทยจะไม่มีปัญหาเรื่องความยอมรับเท่าพรรคอื่นในรัฐบาล ภูมิใจไทยก็มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้พรรคอุ้มความถดถอยของรัฐบาลได้น้อยมาก แม้คราวนี้ประชาชน 3.7 ล้าน จะลงคะแนนเลือก ส.ส.ของพรรคถึง 51 คน เท่ากับหนึ่งเท่าจากการเลือกตั้งปี 2554 ที่มีผู้ลงคะแนนเลือกพรรคแค่ 1.2 ล้านคน
ขณะที่รัฐบาลประยุทธ์ 1 จรรโลงอำนาจรัฐประหารโดยตั้งพวกพ้องและลูกสมุนไปดำรงตำแหน่งการเมืองต่างๆ ใน “แม่น้ำห้าสาย” รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้อำนาจโดยผสมผสาน พล.อ.ประยุทธ์กับพรรคการเมืองและวุฒิสภาที่แปรรูปลูกสมุนในแม่น้ำห้าสายเป็น 250 ส.ว. ซึ่งมีปัญหาเรื่องความยอมรับพอๆ กัน
ด้วยต้นทุนทางการเมืองซึ่งจากคนหลายกลุ่มที่มีปัญหาดังที่กล่าวมา คุณประยุทธ์ไม่มีทางสถาปนาอำนาจซึ่งประชาชนยอมรับอย่างกว้างขวางได้แน่ๆ คณะรัฐบาลบนส่วนผสมนี้จึงมีโอกาสสร้างคะแนนนิยมในประชาชนได้น้อยมาก ทำได้ก็แค่พยุงไม่ให้ความนิยมถดถอยจากระดับที่ต่ำมากอยู่แล้วในปัจจุบัน
โดยปกตินั้นรัฐบาลที่ประสบความสำเร็จจะต้องทำงานสามส่วนให้ได้ผลอย่างดี
หนึ่งก็คือ การสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่เปิดกว้างจนประชาชนไม่รู้สึกว่าถูกอำนาจรัฐคุกคามตลอดเวลา
สองก็คือ การทำมาหากินของประชาชนจะต้องดีขึ้น
และสามก็คือ การทำให้ประเทศเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
อย่างไรก็ดี ห้าปีแรกของประยุทธ์ 1 ผ่านไปโดยไม่มีผลงานอะไรน่าประทับใจนัก
การปกครองแบบเผด็จการทำให้การจับกุมและการข่มขู่ประชาชนลุกลามถึงขั้นพลเรือนถูกจับเพียงเพราะโพสต์เฟซหรือคุยแชต, การอุ้มประชาชนเข้าค่ายทหารกลายเป็นเรื่องปกติ และทหารดำเนินคดีเห็นต่างจนเป็นเรื่องธรรมดา
ภายใต้การบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์หลังรัฐประหารปี 2557 อำนาจรัฐของรัฐบาลและลูกสมุนคือภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตประชาชนต่อเนื่องมาครึ่งทศวรรษ ความรู้สึกว่าทหารจะอุ้มทุกคนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทั้งในชีวิตจริงและใน “โซเชียล” เป็นสำนึกที่แพร่หลายกว้างขวางจนปัจจุบัน
เฉพาะในเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์แสดงท่าทีว่าจะไม่หยุดพฤติกรรมการใช้อำนาจรัฐแบบนี้แน่ๆ การลงนามยกเลิกคำสั่ง คสช.ในช่วงก่อนปิดฉากรัฐบาลประยุทธ์ 1 จึงไม่ได้ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 และ 13/2559 ที่ให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจอุ้มประชาชนโดยอ้างว่าเอาตัวไป “ปรับทัศนคติ” ได้ต่อไป
ไม่ว่าจะในระบอบการปกครองแบบใด รัฐบาลที่เขียนกฎหมายให้ตัวเองมีอำนาจจับประชาชนโดยอ้างว่า “ปรับทัศนคติ” ล้วนเป็นรัฐบาลที่เฮงซวยทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่ารัฐบาลเฮงซวยคือรัฐบาลที่กะล่อนจนทำเรื่องแย่ๆ ด้วยวิธีมดเท็จว่าคนจับไม่ใช่ทหาร แต่คือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)
คุณประยุทธ์ที่ตั้งตัวเองเป็นนายกฯ ในปี 2557 และสืบทอดอำนาจในปี 2562 คือคนที่ต้องถูกตำหนิที่สุดในการประกาศกฎหมายซึ่งเปิดทางให้เจ้าหน้าที่รัฐคุกคามประชาชน
แต่คนที่อัปยศยิ่งกว่าคือ คุณวิษณุ เครืองาม ที่บิดเบือนว่าคำสั่งนี้ไม่ใช่ “ทหารอุ้มประชาชน” ทั้งที่ผู้บัญชาการทหารบกคือรองผู้บังคับบัญชา กอ.รมน.
คุณประยุทธ์ชอบเพ้อเจ้อว่าการเป็นนายกฯ ที่รัฐสภาเลือกในปี 2562 ทำให้ “ประยุทธ์ 2” เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ไม่มีระบอบประชาธิปไตยที่ไหนอนุญาตให้รัฐจับประชาชนแบบที่คุณประยุทธ์ทำอย่างที่ทำมาห้าปีแล้ว การเสพติดอำนาจทรราชข้อนี้คือหลักฐานว่าคุณประยุทธ์เป็นเผด็จการไม่มีเปลี่ยนแปลง
เมื่อคำนึงว่าคุณประยุทธ์ตั้งผู้บัญชาการทหารบกเป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีอำนาจเลือกนายกฯ, ร่วมอภิปรายนโยบาย และผลักดันกฎหมายปฏิรูปต่างๆ การที่ ผบ.ทบ.เป็นรองผู้อำนวยการ กอ.รมน. ทำให้น่ากังวลว่า ผบ.ทบ.จะมีการใช้อำนาจนี้เพื่อข่มขู่หรือจับกุมคนที่วิพากษ์วิจารณ์ ส.ว.และนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน
จริงอยู่ว่าการมีสภาผู้แทนฯ และพรรคการเมืองเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลนั้นดีกว่าไม่มี แต่ภายใต้กติกาที่ พล.อ.ประยุทธ์ธำรงอำนาจในการคุกคามประชาชนไว้อย่างครบถ้วน ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าทหารจะไม่จับ ส.ส.หรือพรรคการเมืองซึ่งทำหน้าที่ตรงไปตรงมาจน พล.อ.ประยุทธ์และเครือข่ายไม่พอใจ
คนทุกกลุ่มเห็นตรงว่า “ประยุทธ์ 1” ล้มเหลวทางเศรษฐกิจจนเป็นฉันทานุมัติของสังคม ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคทำให้ประเทศมีปัญหาการลงทุนภาคเอกชนต่ำติดต่อกันห้าปีแล้ว เศรษฐกิจที่ฝืดเคืองจนการหากินติดขัดและเงินในกระเป๋าประชาชนหดหายคือเรื่องที่คุณประยุทธ์แก้ไม่ได้จนปัจจุบัน
ห้าปีของ “ประยุทธ์ 1” คือห้าปีที่เศรษฐกิจเดินหน้าเพราะเอาเงินภาษีประชาชนมากระตุ้นเศรษฐกิจไทย แต่ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจในช่วงนี้รุนแรงจนวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เห็นผลนัก ไม่ต้องพูดว่านโยบายกดค่าแรงของ “ประยุทธ์ 1” ทำให้ผลทางเศรษฐกิจกระจายสู่คนส่วนใหญ่น้อยมากเหลือเกิน
“ประยุทธ์ 2” รับช่วงความล้มเหลวทางเศรษฐกิจจาก “ประยุทธ์ 1” โดยคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งไม่มีน้ำยาฟื้นเศรษฐกิจไทยมาแล้วหลายปี ส่วนรัฐมนตรีเศรษฐกิจคนอื่นๆ ล้วนไม่ใช่คนที่ได้ยินชื่อแล้วมีความหวังมากนัก คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ใช่ชื่อที่สังคมเชื่อว่าจะทำอะไรกับเศรษฐกิจภายในอย่างลึกซึ้งได้แน่นอน
คุณประยุทธ์และคุณสมคิดโวยตลอดห้าปีว่าภาคเอกชนไม่ยอมลงทุน และด้วยคณะรัฐมนตรีแบบนี้ โอกาสที่เอกชนทั้งภายในและภายนอกจะควักเงินลงทุนเพื่อทำกำไรมีไม่มากนัก
“ประยุทธ์ 2” คงเลือกวิธีกดค่าแรงเพื่อสังเวยภาวะลงทุนต่ำแน่ๆ จนความฝืดเคืองของเศรษฐกิจรากหญ้าจะเป็นปัญหาต่อไป
สำหรับการฟื้นสถานะของประเทศในเวทีโลกทั้งด้านเศรษฐกิจและวิเทศคดี ความถดถอยที่เกิดขึ้นโดย “ประยุทธ์ 1” ติดต่อกันห้าปีนั้นไม่มีแววว่า “ประยุทธ์ 2” จะแก้ได้ในระยะอันใกล้
บรรษัทข้ามชาติมองเวียดนามเป็นเป้าหมายของการลงทุนก่อนไทยหลายปีแล้ว และอีกนานกว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
พล.อ.ประยุทธ์พยายามอ้างว่าไทยประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาการบิน, ประมง, การค้าเสรี ฯลฯ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำจริงๆ คือการแก้ปัญหาที่เกิดในสมัยตัวเองแทบทั้งสิ้น การวางยุทธศาสตร์เชิงรุกให้ประเทศเป็นเรื่องที่ “ประยุทธ์ 1” ทำไม่ได้ในห้าปีนี้ และยังไม่เห็นว่า “ประยุทธ์ 2” จะทำได้แต่อย่างใด
พฤติกรรมพูดข้างเดียวของพล.อ.ประยุทธ์เป็นเรื่องที่คนทั้งสังคมเอือมระอา เพราะเมื่อใดที่ผู้มีอำนาจพูดข้างเดียว เมื่อนั้นก็หมายความว่าผู้มีอำนาจกำลังโกหกประชาชนอยู่ และคำแถลงวันปิดฉาก คสช.ก็เป็นอีกครั้งที่ความเท็จจากปากผู้มีอำนาจแพร่ระบาดสู่ประชาชนโดยผู้พูดไม่ได้แสดงอาการละอายแม้แต่นิดเดียว
พล.อ.ประยุทธ์สดุดีตัวเองว่า “ประยุทธ์ 1” ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างดี และจากนี้ “ประยุทธ์ 2” ซึ่งมีรัฐบาลและสภาผู้แทนจากการเลือกตั้งจนเป็นประชาธิปไตย 100% จะทำให้ประเทศเจริญยิ่งขึ้นไปอีก แต่ข้อเท็จจริงคือ “ประยุทธ์ 1” ทำให้ประเทศถดถอยจน “ประยุทธ์ 2” ไม่มีทางฟื้นประเทศได้เลย
ความหวังเดียวในระบบการเมืองตอนนี้คือพรรคการเมือง แต่กติกาของประเทศทำให้พรรคฝ่ายค้านทำอะไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ได้
พรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยจึงต้องมีบทบาทในการช่วยให้ประเทศไม่ย่อยยับไปกับ “ประยุทธ์ 2” ไม่ใช่เป็นรัฐมนตรีเพื่อสายสะพายบนคราบน้ำตาประชาชน
ความเห็น 60
รู้สึกมั๊ย ว่า พ่อแม่ เป็นผู้มีพระคุณ หรือ วันๆ คิดแต่หาเรื่องพูดให้เป็น ลบ อย่างเดียว
20 ก.ค. 2562 เวลา 14.25 น.
วรกร
พูดเรื่องดีๆไม่เป็นหรือไง เอาเป็นว่าในบ้านคุณมีกี่คน เคยทะเลาะกันบ้างเปล่า และตัวคุณเองทำอะไรถูกใจคนในบ้านทุกคนเปล่า คุณคิดเอาละกัน
20 ก.ค. 2562 เวลา 08.25 น.
จริงทุกคำเขียน
เผด็จการขี้โม้
ชอบแต่ชะเลีย
คิดสั้น
ลอกนโยบายคนที่โค่นล้มเขา
จะประยุดไหนก็ล้าหลัง
เพราะคนนำขี้ขลาด
แถมขี้โกง
20 ก.ค. 2562 เวลา 08.17 น.
chamnan.c
อาจารย์แกคิดเอง เออเอง แล้วเหมาเองว่าความคิดของแกเป็นความคิดของประชาชน ปล่อยให้แกเพ้อไปเถอะอย่าไปขัดคอ แค่นี้ก็แสนจะเวทนาแล้ว
20 ก.ค. 2562 เวลา 08.11 น.
🐩listen🐩
เป็นอาจารย์เป็นนักวิชาการอิสระที่ไม่เป็นกลางดูพูดหลายๆครั้งก็รู้เข้าข้างฝ่ายไหน
20 ก.ค. 2562 เวลา 08.08 น.
ดูทั้งหมด