ขึ้นชื่อว่าความรักก็มักจะนำพาความสุข รอยยิ้ม และความสมหวังมาให้ แต่นั่นเป็นแค่ด้านเดียวของความรักที่ใครหลายคนเห็นและอยากให้เป็นเท่านั้น
จริง ๆ แล้ว ความรักก็มีมุมมืดที่ทำให้เจ็บปวด ผิดหวัง เป็นทุกข์ด้วยเหมือนกัน เรียกว่าเป็นอีกมุมที่ใคร ๆ ก็รู้ แต่ไม่ค่อยอยากจะทำความเข้าใจกันซักเท่าไหร่ และทั้ง 7 ด้านมืดของความรักที่ว่านี้แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ยังไงมันก็คือเรื่องจริงที่เราต้องเข้าใจในทุกมุมมอง !
1. รักคือทุกข์
เมื่อรักแล้ว สิ่งที่มาพร้อมกันเสมอก็คือความทุกข์ ไม่มีทางเลยที่รักแล้วจะไม่ทุกข์ เพราะที่ใดมีรัก ที่นั่นก็มีทุกข์
เหตุที่คนเราทุกข์ก็เพราะคาดหวังไปต่าง ๆ นานา หวังว่าจะรักไปตลอด หวังว่าอีกคนจะไม่นอกลู่นอกทาง หวังจะได้รับความรักเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งสิ่งที่มาพร้อมกับความคาดหวังเหล่านี้ ก็คือความผิดหวัง
พอผิดหวังก็ทำให้ทุกข์ เป็นวงจรความรักในอีกรูปแบบหนึ่งที่ทุกคนต้องเจอ เพราะไม่มีใครที่มีรักได้ โดยไม่คาดหวัง แม้แต่พ่อแม่ที่เป็นรักอันบริสุทธิ์ก็ยังหยุดไม่ได้ที่คาดหวังกับลูก ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นที่จะรัก ก็ต้องรู้จักความทุกข์ รู้ว่ารักแล้วยังไงก็ต้องทุกข์ ต้องเจ็บปวดเข้าสักวันอย่างแน่นอน
2. ความรักทำให้คนตาบอด
ในพระราชนิพนธ์เรื่อง “มัธนะพาธา” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่พระราชนิพนธ์ขึ้นเพื่อสอนให้รู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากความรักและรู้ถึงโทษของความรัก ซึ่งมีฉันท์บทหนึ่งที่น่าจะคุ้นหูกันดี
ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล อุปะสัคคะใดใด
ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดออกจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ หวนคิดถึงเจ็บกาย
ฉันท์บทนี้เล่าถึงความรักที่ทำให้คนตาบอด แม้จะมีอุปสรรคอะไรก็ไม่อาจจะขวางกั้นได้ ก็เหมือนวัวที่มีกำลังมากแต่โดนขังอยู่ในคอกที่แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็จะต้องออกจากคอกไปให้ได้
เพราะคนเราเวลามีความรัก ความสามารถในการมองอะไรรอบด้านก็จะค่อย ๆ หายไป มองเห็นแต่ในสิ่งที่เราอยากจะเห็น ทำให้มีอคติ สูญเสียความเป็นตัวเองจนไร้สติ ขาดเหตุผล ใครเตือนอะไรก็ไม่ฟัง พูดก็ไม่เชื่อ สุดท้ายความที่ตามืดบอดเพราะไม่เคยยอมรับความจริงเลยนี่แหละที่ย้อนกลับมาทำร้ายเราเอง
แต่ไม่เฉพาะแค่ความรักเท่านั้น ความเกลียดเองก็ทำให้คนเราตาบอดได้เหมือนกัน เพราะความรักทำให้เรามองไม่เห็นข้อเสียของเขา ส่วนความเกลียดก็ทำให้เรามองไม่เห็นข้อดีของเขาเช่นกัน
3. ยิ่งรัก ยิ่งอยากครอบครอง
ไม่ผิดที่ความรักจะทำให้เราอยากเป็นเจ้าของคน ๆ นั้น แต่เพราะความอยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของนี่แหละที่ทำให้ปลายทางของความรักไม่ใช่ความสุขอีกต่อไป
ยิ่งรักมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เราอยากจะเป็นเจ้าของจนลืมไปว่าคน ๆ นั้น ไม่ใช่สิ่งของที่เราจะยึดเอามาเป็นของเราได้ อันที่จริงเราไม่อาจเป็นเจ้าของสิ่งใดหรืออะไรใด ๆ บนโลกนี้เลย แม้แต่ร่างกายของเราเอง เราก็แค่หยิบยืมมา เมื่อถึงเวลาก็ต้องคืนให้แก่โลกและธรรมชาติไป
ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืนจนเราสามารถยึดถือเป็นเจ้าของได้ ความรักก็เช่นกัน
4. ต้องมีคนหนึ่งที่รักมากกว่าเสมอ
ไม่มีทฤษฎีความรักใด ๆ ที่บอกว่าความรักของคนสองคนจะต้องมีปริมาณเท่ากัน หรือรักไปเท่าไหร่ก็ต้องได้กลับมาเท่านั้น ความรักไม่มีมาตรวัด ไม่มีเครื่องชั่ง และบางครั้งก็ไม่มีเหตุผล
ดังนั้นจึงมีประโยคที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า “คนที่รักมากกว่า ก็ต้องเจ็บมากกว่า” ซึ่งเหมือนจะเป็นกฎของความรักที่แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ยังไงผลลัพธ์มันก็ออกมาอย่างนั้นอยู่ดี
เพราะคนที่รักมากกว่า จะทุ่มเทกว่า เอาใจใส่กว่า และคาดหวังกว่า สุดท้ายถ้าไม่เป็นไปตามที่หวังก็ทำให้เจ็บปวดเจียนตาย หรือจะเรียกว่าฆ่ากันทางอ้อมก็ได้ แต่ยังไงมันก็คือเรื่องจริง !
5. เวลาเปลี่ยน ใจคนก็เปลี่ยน
ไม่มีอะไรเป็นเหมือนเดิมตลอดไป ทุกอย่างบนโลกย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ความรักก็เช่นกัน ถึงจะรักกันแค่ไหน แต่เวลาเปลี่ยน ใจคนก็เปลี่ยน
ไม่ใช่แต่เขาที่อาจจะเปลี่ยนไป เราเองก็สิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน เพราะ ‘ใจคน’ เป็นสิ่งที่เกินจะคาดเดา ดังนั้นหน้าที่ของเราก็คือมีความสุขกับปัจจุบัน เพราะอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ต่อให้รักให้ตาย ยังไงก็ไม่เหมือนเดิม
6. ไม่ได้รักแต่แค่หลง
บางคนแยกไม่ออกว่าระหว่าง ‘ความรัก’ กับ ‘ความหลง’ ทำให้แทนที่จะรักกันยืดยาวกลับใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็เลิกหลงและแยกทาง
พูดง่าย ๆ ก็คือความรักมีอายุที่ยืนยาวกว่าความหลง
ความหลงคือโมหะ คือความไม่รู้ตามที่เป็นจริง ทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามอารมณ์ และอย่างที่บอกว่าความหลงนี้มักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน สุดท้ายเมื่อความหลงหมดไป ก็กลายเป็นความมืดมน หลงผิด จนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายต้องเป็นทุกข์
7. ไม่ใคร ก็ใครที่หมดรักก่อน
ความรักเพียงอย่างเดียวไม่ได้สวยงาม ยั่งยืน และมั่นคงอย่างที่หลายคนเข้าใจ
ความรักประกอบไปด้วยองค์ประกอบมากมายจนบางทีเราเองก็นึกไม่ถึง ทั้งความซื่อสัตย์ ความอดทน ความเชื่อใจ ความเข้าใจ ฯลฯ แถมเดี๋ยวนี้ยังต้องเพิ่มปัจจัยอย่างสถานะทางครอบครัว หน้าที่การงาน และสถานะทางการเงินเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญอีกต่างหาก
นานวันเข้า.สุดท้ายไม่คนใดคนหนึ่งก็ต้องหมดรักก่อน เพราะตัวแปรเหล่านี้จะค่อย ๆ ทำให้ความรักจืดจางและหายไป
ทั้ง 7 ด้านมืดที่บอกมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าความรักเป็นสิ่งน่ากลัวหรืออยู่คนเดียวดีกว่า แต่ความรักเป็นเรื่องที่ต้องใช้ใจในการเรียนรู้มันไปเรื่อย ๆ ไม่มีถูก-ผิด ไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะรักของเรา ก็คือในแบบของเรา จะรักไปทุกข์ไป หรือรักไปเจ็บตัวไป ยังไงก็เป็นความรักของเรา ตราบเท่าที่เรายังรัก ในความทุกข์ก็ยังมีความสุขซ่อนอยู่..
ความเห็น 62
BEST
กับดักชีวิต เครื่องถ่วงรั้งทำให้เสียเวลา กว่าจะได้สติตื่นรู้กันว่าเกิดมาทำไม ต้องทำอะไร ก็จะต่องผ่านด่านเรียนรู้กัน บางคนมีปัญญาดีก็ไม่กลับไปรักโง่ๆอีก บางคนติดวังวนความหลง ก็เสียเวลาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
14 ต.ค. 2562 เวลา 02.16 น.
Rainny L.(อิมกึมบี)🌦
BEST
ใช่แล้ว ไม่รักก็ไม่ทุกข์ ไม่โลภ อยู่คนเดียวสุขใจสุดๆ
14 ต.ค. 2562 เวลา 02.26 น.
J.. E.. W🥢
7 ด้านมืด ที่ทำให้ค้นพบทางสว่าง
... ใช้ชีวิตอย่างลำพังยังจะมีความสุขกว่า
14 ต.ค. 2562 เวลา 07.27 น.
Ake
ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ
13 ต.ค. 2562 เวลา 21.33 น.
ผมคิดว่าตราบใดที่จิตใจของคนเราไม่มีความโลภเข้ามาครอบงำ และได้พิจรณาถึงในหลักของความเป็นจริงให้ดีแล้ว เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างก็ย่อมสามารถที่จะแก้ไขให้ไปในทางที่ดีและถูกต้องได้เสมอ.
13 ต.ค. 2562 เวลา 20.23 น.
ดูทั้งหมด