*คำเตือน ภาพประกอบในบทความนี้อาจทำให้ผู้อ่านบางท่านรู้สึกหวาดเสียว สำหรับเด็ก ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ
ภาพชายและหญิงที่ใช้เหล็กแหลมหรือศาสตราวุธทิ่มแทงร่างกายตัวเองร่วมเดินขบวนแห่รอบเมือง เป็นส่วนหนึ่งของประเพณี “เทศกาลกินเจ” หรือ “เทศกาลกินผัก” (เจี๊ยะฉ่าย) ในจังหวัดภูเก็ต ส่วนใหญ่จะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุก ๆ ปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 29 กันยายน - 7 ตุลาคม
โดยเทศกาลกินผักเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่หมู่บ้านไล่ทู หรือ หมู่บ้านกะทู้ ของจังหวัดภูเก็ตในปัจจุบัน ทั้งนี้ คนไทยเชื้อสายจีนมีความเชื่อและศรัทธาในเรื่องเทพเจ้าที่คุ้มครองประจำหมู่บ้าน จึงได้มีการอัญเชิญเทพเจ้ามาคุ้มครอง ให้อยู่เย็นเป็นสุขโดยทั่วกัน ผ่านตัวกลางอย่างสื่อบุคคลที่เรียกว่า “ม้าทรง” นั่นเอง
จากพิธีกรรมทรมานตนของม้าทรงด้วยวิธีต่าง ๆ นานา เป็นต้นว่าใช้เหล็กแหลมแทงทะลุกระพุ้งแก้ม เดินลุยไฟ หรือปีนบันไดมีด ทำให้หลายคนอาจยังคลางแคลงใจว่า ม้าทรงนั้นมีเทพเจ้าประทับอยู่ในร่างจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงกลหลอกตาที่ใช้เทคนิคของการแสดงมายากลเข้าช่วย
เหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาที่ยากจะหาเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์มาอธิบายปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้!
“ม้าทรง” คือใคร?
"ม้าทรง" เป็นร่างทรงของเทพเจ้าจีน เป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของเทพเจ้าเพื่อช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากหรือกำลังเดือดร้อน เช่น คนป่วยหนักด้วยโรคร้าย คนที่กำลังดวงตกอย่างสาหัส พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก หรือคนที่กำลังมีปัญหาด้านจิตใจ
บางความเชื่อถูกบอกเล่าสืบทอดกันมาว่า ผู้ที่จะเป็นม้าทรงได้นั้น พระจีนหรือเทพเจ้าจะเลือกสรรจากบุคคลที่ชะตาใกล้จะขาด ทว่ายังมีคุณงามความดีอยู่ในตัว เทพเจ้าจึงลงมาประทับร่างบุคคลนั้นเพื่อต่ออายุขัยให้ยืนยาวออกไป
ดังเช่น คุณสถาพร พรหมชัย-ม้าทรงประจำศาลเจ้าท่าเรือ ที่ตอนอายุ 17 ปี เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนเกือบถึงแก่ชีวิต แต่กลับรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์เนื่องจากพระจีนได้ลงมาประทับร่างต่อชีวิตเขาไว้ตามคำบอกเล่าของญาติ
โดยมีเงื่อนไขว่านับแต่นี้ไปเขาจะต้องถือศีลกินเจและเข้าร่วมในพิธีกรรมงานประเพณีถือศีลกินผัก
ทำไม “ม้าทรง” ต้องเอาของมีคมแทงปาก แทงตัว?
ว่ากันว่า "ม้าทรง" จะมีการแสดงบุคลิกลักษณะของเทพเจ้าแต่ละองค์ซึ่งจะแตกต่างกันออกไป การแสดงอิทธิฤทธิ์เมื่อเข้าทรงแล้ว บางครั้งก็จะคว้าอาวุธออกมาร่ายรำ ฟาดฟัน ทิ่มแทงร่างกายตนเอง โดยผู้ที่เป็นม้าทรงจะไม่รู้สึกตัว ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
เหตุที่ม้าทรงต้องแสดงอิทธิฤทธิ์นั้นเนื่องจากมีความเชื่อว่ามนุษย์นั้นสอนยาก เทพเจ้าจำต้องสำแดงอิทธิฤทธิ์เพื่อสร้างความเชื่อความศรัทธา และเมื่อมนุษย์ศรัทธาในตัวม้าทรง ก็จะปฏิบัติตามคำสอนต่าง ๆ ที่มีพื้นฐานมุ่งหมายสอนคนให้เป็นคนดี
นอกจากนี้ การทรมานตนของม้าทรงยังถือเป็นการช่วยเหลือมนุษย์ โดยเชื่อว่าเป็นการรับเคราะห์แทนประชาชนที่มาร่วมพิธีกรรมนั่นเอง
ทำไม “ของ” ที่นำมาแทงร่างกายของ “ม้าทรง” จึงมีความหลากหลาย?
ในอดีตม้าทรงจะใช้เข็มขนาดย่อมหรือตะขอแทงตามร่างกาย ขณะที่ปัจจุบันเรามักจะเห็นว่ามีการใช้เหล็กแหลมขนาดใหญ่ยาวมาแทงปากหรือบางครั้งอาจเป็นวัตถุแปลกตาเหนือความคาดหมาย เช่น ปืน จักรยาน อมยิ้มขนาดใหญ่ ฯลฯ เนื่องจากมีชาวบ้านนำของนั้นมาถวายแก้บนกับเทพเจ้า ส่งผลให้ม้าทรงต้องยอมรับวัตถุเหล่านั้นไปใช้ประกอบพิธี
อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้เลยคือเรื่องสุขอนามัย เมื่อใกล้ถึงเทศกาลกินผัก ศาลเจ้าต่าง ๆ จะมีการนำอาวุธหรือวัตถุที่จะใช้แทงตามร่างกายมาทำความสะอาด โดยการใช้กระดาษทรายขัดสนิมออก จากนั้นนำแอลกอฮอล์มาล้างฆ่าเชื้อ พร้อมชโลมด้วยน้ำมันพืชเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสนิมซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายของผู้ทำหน้าที่ม้าทรง
“ม้าทรง” ที่ดี ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร?
ก่อนเทศกาลถือศีลกินผักจะเริ่มขึ้น ม้าทรงจะต้องเตรียมกายและใจให้พร้อม ด้วยการถือศีลกินเจล่วงหน้า 1 เดือน ต้องรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ถ้าเป็นม้าทรงหญิง หากอยู่ในช่วงมีประจำเดือนจะห้ามทรงเด็ดขาด
ที่สำคัญ การเป็นม้าทรงนั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากเทพเจ้ามาประทับร่างทรง จะต้องเป็นผู้ที่ถูกเทพเจ้าเลือกไว้แล้วเท่านั้น มิใช่ว่าใครจะเป็นก็ได้!
เคยมี “ม้าทรง” พลาด บาดเจ็บ หรือถึงแก่ความตายหรือไม่?
คำตอบคือ “มี” บางรายเคราะห์ดีแค่เลือดโทรมกาย บางรายถูกไฟลวกตามร่างกาย บางรายหนักกว่านั้น เช่นเหตุการณ์หนึ่งใน จ.ระนอง ที่จู่ ๆ ม้าทรงก็ทิ้งตัวจากบันไดมีดสูงกว่า 10 เมตร ลงมาเสียชีวิต
ลักษณะนี้เชื่อกันว่าเป็นอาการของการ “ถูกเจ้าทิ้ง” หรือ “ถอยทรงกลางอากาศ” ซึ่งคนในวงการม้าทรงจะเข้าใจกันว่า ร่างม้าทรงดังกล่าวอาจไปกระทำผิดคำพูด ผิดสัจจะวาจา หรืออาจจะไปกระทำอะไรบางอย่างที่ไม่ดี หรือไม่ถูกต้องตามหลักปฏิบัติของร่างม้าทรงจนถูกเจ้าทิ้งกลางอากาศ
คำกล่าวที่ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ยังคงใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย ความลี้ลับของ “ม้าทรง” ในเทศกาลกินผักยังคงทำหน้าที่ต่อไป ตราบเท่าที่ลมหายใจของวัฒนธรรมที่มีชีวิตอยู่ (lived culture) ยังคงไหลเวียนเข้าออกผ่านวิถีชีวิตของคนไทยเชื้อสายจีน
อ้างอิง:
หนังสือ “เรื่องจีนหลายเรื่อง หนึ่งเรื่องมีหลายตำรา” โดย จิตรา ก่อนันทเกียรติ
“กินเจ… เพิ่มพลังชีวิต อุทิศผลบุญสู่สรรพสัตว์” กรุงเทพธุรกิจ ฉบับพิเศษ
ความเห็น 60
BEST
ทํา บุญ กุศลกลับ พ่อแม่ ประเสริฐสุด ไม่จําเป็นต้องเข้าวัด ไม่ต้องกินเจ
30 ก.ย 2562 เวลา 12.10 น.
r-taung
เคยมีคนเอามาออกรายการทีวีนี้ว่าไม่จริง
มีการฉีดยาชาเเล้วทำ บางคนทำเเเรงไปพราะอยากเก่ง พอยาชาหมดเเทบตาย
30 ก.ย 2562 เวลา 12.51 น.
ไร้สาระงมงายควายมันยังไม่เชื่อเลย
30 ก.ย 2562 เวลา 12.50 น.
มาแล้วรวมกลุ่มกันส่ายหน้า
30 ก.ย 2562 เวลา 11.11 น.
โจ บารมี ครับ
มั่ว
30 ก.ย 2562 เวลา 12.31 น.
ดูทั้งหมด