ความเก่งวัดง่าย ความดีวัดยาก
เคยคิดแบบนี้ค่ะ เลยคิดว่าเราสนใจแค่ทำงานให้ดีก็พอ ไม่ต้องสนใจคนอื่นหรอก
ถ้าเค้าไม่ช่วย เราก็ทำเองให้มากขึ้น ก็มาทำงานเพื่อให้ได้เงินนี่นา ก็สนใจเฉพาะคนที่จ่ายเงินเราก็พอ
เคยเป็นคนที่ไม่สนใจความสุขในการทำงานเลย เพราะไม่เคยคิดว่าเราจะหาความสุขได้จากการทำงานอยู่แล้ว
………. แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อประสบการณ์ในชีวิตมากขึ้น ได้รู้จักความผิดหวังมากขึ้น เราก็เลยได้เรียนรู้ว่า แค่คิดว่าเก่งอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องดีกับคนอื่นๆด้วย !!!
ไม่ใช่แค่ทำเพื่อคนอื่นนะ แต่ทำเพื่อตัวเราเองด้วยนี่แหละ เมื่อมาถึงจุดนึง เงินไม่ใช่คำตอบเดียวในการทำงานแล้ว แต่ความรู้สึกดีที่ได้จากการมีสังคมการทำงานที่ดี มันช่วยเยียวยาและเติมพลังในการทำงานได้มากจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องเกิดจากตัวเราเองด้วย ไม่ใช่แค่คาดหวังว่าคนอื่นต้องทำให้เรารู้สึกดีเท่านั้น
เคยสำรวจตัวเองนะว่าอินเนอร์ความร้ายกาจในการทำงานเนี่ยะเกิดขึ้นจากความคิดประเภทไหน ก็พอจะสรุปได้ว่า
• ต้องทำให้คนกลัว ถึงจะเชื่อฟัง บางคนใช้ความร้ายเพื่อสร้างอาณาจักรของตัวเอง ถ้าไม่ยอม #เดี๋ยวจะโดน เป็นความคิดแบบสั่งการไม่ใช่ร่วมมือ เกิดจากความเชื่อมั่นในตัวเองเกินไป ไม่คิดว่าความคิดของคนอื่นจะมีประโยชน์ เพราะฉะนั้นเลยชอบสั่งการ มากกว่าสอบถามความคิดเห็น แต่พอตัวเองไม่ได้มีบารมี หรือได้รับการยอมรับนับถือมากพอ ก็ต้องทำตัวเองให้ร้ายๆ เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่กล้า (หรือไม่อยาก) ขัดแย้งด้วย ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืนโดยสิ้นเชิง เพราะอย่างน้อยที่สุด เราไม่สามารถเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในลำดับขั้นการบริหารได้ตลอดเวลา และความน่าตลกคือคนประเภทนี้จะคิดว่าตัวเองข่มคนอื่นได้ แต่ไม่ยอมรับการถูกกดขี่ สั่งการจากคนที่มีอำนาจมากกว่า
• เวลามีค่ามากกว่าความรู้สึก เป็นความเชื่อของคนร้ายๆบางกลุ่มที่คิดเข้าข้างตัวเองว่าเราจำเป็นต้องร้ายเพื่อให้งานเสร็จเร็ว ถ้ามัวแต่เอาใจทุกคนงานก็คงไม่เสร็จทันเวลา แต่ในความเป็นจริงคือการคิดแบบนี้มักจะทำให้งานเดินไปข้างหน้าได้ใน step สั้นๆ เพราะคนที่ถูกกระทำก็คิดแค่ว่าทำๆไปเพื่อให้ผ่านสถานการณ์แย่ๆนั้น แต่ในระยะการทำงานด้วยกันที่ยาวขึ้น ความร่วมมือจากคนที่มีประสบการณ์รู้สึกไม่ดีต่อกัน มันยากมากๆที่จะเรียกพลังความร่วมมือแบบเกินร้อยเพื่อให้ภารกิจใหญ่ๆประสบความสำเร็จได้
• เราทำได้ เธอก็ต้องทำได้ เป็นการคิดแบบเอามาตรฐานตัวเองไปยัดใส่คนอื่น ที่ร้ายกว่าคือตัวเองก็ไม่ได้ทำได้ดีนะ แต่คิดว่าคนอื่นต้องทำได้ จึงทำให้ขาดกระบวนการสำคัญในการทำงานร่วมกันนั่นคือ “ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา” มีแต่เอาใจเราไปใส่ใจเขาให้ทำอย่างที่ตัวเองต้องการ เราคาดหวังให้คนอื่นเก่งขึ้นได้นะ แต่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และถ้าเราอยากให้คนอื่นเก่ง ก็ต้องช่วยทำให้เค้าเก่งด้วย
• ความสุขไม่มีตัวตน เลยไม่ต้องสนใจ แต่ในความจริงคือคนกลุ่มนี้สนใจแค่ความสุขของตัวเอง ไม่ได้สนใจความสุขของคนอื่น ทำให้ละเลยที่จะสนใจว่าบรรยากาศในการทำงานร่วมกันเป็นอย่างไรบ้าง สนใจแค่เป้าหมายของตัวเองจนทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสำเร็จ บางคนก็ไม่ได้เจตนาจะทำลายความสุขของคนอื่นนะ แต่แม้กระทั่งการสร้างสภาวะตึงเครียดแบบไม่จำเป็นอ่ะก็เป็นการสร้างมลพิษในการทำงานให้คนอื่นแล้ว ในความเป็นจริงแล้วมีหลายคนที่คาดหวังบรรยากาศในการทำงานที่ผ่อนคลายเพื่อบรรเทาความตึงเครียดของงาน คนที่ไม่สนใจความสุขของคนอื่นในขั้นที่ร้ายแรงที่สุดคือคนที่นอกจากจะไม่สนใจแล้วยังมองว่าคนที่ดูมีความสุข ดูไม่เครียด เป็นคนไม่ตั้งใจ ไม่จริงจังกับการทำงานไปอีก 555 เป็นตรรกะแบบ #พังในพัง
• ไม่อยากร้ายแล้ว แต่ก็ไม่อยากเสียฟอร์ม กลุ่มนี้เริ่มมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นละ แต่ยังไม่สุด ประมาณว่าก็เคยร้ายแล้วไม่มีใครกล้ามีเรื่องด้วย พอร้ายแล้วดูเหมือนมีอำนาจ ถ้าจะเปลี่ยนมาเป็นคนดีก็กลัวคนจะหาว่าไม่แน่จริงนี่นา ทำไมไม่ไปให้สุดล่ะ 55 หรือกลัวคนอื่นจะคิดว่าสงสัยไปโดนดุมาแน่ๆถึงได้เปลี่ยนเป็นคนดี ใดๆ ก็ตามมมมมม คือการคิดไปเองทั้งนั้นนนนน หลายครั้งที่เราไม่กล้าทำเรื่องดีๆ เพราะกลัวคนอื่นจะมองแปลกๆ เราเลยไม่กล้าเปลี่ยนตัวเองไปทำในแบบที่ไม่เคยทำ เพราะคิดไปเองจึงทำให้ต้องติดอยู่ในความร้ายกาจนั้นไปเรื่อยๆ
ข้อความที่ง่ายๆ แต่มันคือความจริงหลายข้อความนะ ที่ถ้าคิดให้ดีๆ ก็ช่วยดึงสติคนร้ายๆ ได้พอสมควรนะ
• ชีวิตคนเรามันสั้น เราไม่รู้หรอกว่าวินาทีต่อไปในชีวิตจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นอย่าทุ่มเททั้งชีวิตไปเพื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเลยนะคะ และที่สำคัญคืออย่าทำให้ชีวิตเรายิ่งสั้นลงเพราะความร้ายกาจเลยนะคะ 55 ไม่ได้หมายถึงเรื่องการทำร้ายร่างกายอะไรกันนะ แต่หมายถึงความเครียดที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ของตัวเราเองอ่ะค่ะ มันบั่นทอนสุขภาพกายและใจเราไม่น้อยไปกว่าคนที่เราไปทำร้ายเค้าเช่นกันนะ ความจริงคือมีคนมากมายที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งเรื่องงาน และสังคม มีหลายคนที่ได้รับทั้งการยอมรับในผลงาน และนับถือในนิสัย เราไม่จำเป็นต้องเอาความสุขของตัวเองไปแลกกับความสำเร็จที่อาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้นะคะ
• โลกกลม มากกว่าที่เราคิดค่ะ ความจริงที่ว่าเราไม่อาจจะอยู่ได้ด้วยการมีชีวิตคนเดียว ซึ่งก็เช่นกันว่าเราจะมีชีวิตที่ดีกว่าถ้าได้รับการสนับสนุนจากคนอื่นๆ เราร่ำเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม คือเราอาศัยอยู่เป็นชุมชน เป็นกลุ่มก้อน จะกลุ่มเล็กหรือใหญ่ เราก็ต้องพึ่งพากันในทางใดทางหนึ่ง โดยเฉพาะในการทำงาน คนที่เราเคยร้ายด้วย วันนึงโลกอาจจะเล่นตลกกับเราด้วยการเหวี่ยงคนเหล่านั้นกลับเข้ามาในชีวิตเรา ความน่าสะพรึงก็จะแตกต่างกันตามสถานะของคนๆ นั้นที่วนกลับมา อาจจะกลับมาเป็น เพื่อนร่วมงานของเรา เป็นคนที่เราต้องไปขอความร่วมมือด้วย เป็นหัวหน้าเรา หรือมาเป็นลูกค้าเรา ก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้คิดถึงวันนี้ ก็คิดเผื่อวันข้างหน้านิดนึงนะคะ
• เหนือฟ้ายังมีฟ้า ซึ่งฟ้าก็ไม่ได้มีแค่ชั้นเดียวด้วยนะ เราร้ายได้ คนอื่นก็ร้ายได้เช่นกัน แล้วชีวิตเราจะเป็นอย่างไรถ้าต้องต่อสู้กันไปเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดนึงที่เราเหนื่อยๆมากๆ จะมีอะไรดีไปกว่าความสงบสุขในแบบที่ไม่ต้องหวาดระแวงหรือกังวลอะไร เพราะฉะนั้นการไม่สร้างศรัตรูเป็นอะไรที่ปลอดภัยกับความรู้สึกที่สุดแล้ว และที่สำคัญคือหลายครั้งที่ผลงานอาจจะไม่ใช่เครื่องมือชี้วัดความสำเร็จในชีวิตเสมอไป เมื่อเราตำแหน่งสูงขึ้น ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพเป็นหนึ่งในความคาดหวังจากผู้ใหญ่ที่มองกลับมายังหัวหน้าทุกคนในองค์กร ในฐานะหัวหน้าเราไม่สามารถบอกได้เลยว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าทีมงานของเราไม่ได้สำเร็จไปด้วยนะคะ
พอผ่านอะไรต่างๆ มามากมาย ก็เริ่มเข้าใจและเรียนรู้แล้วว่า เราไม่จำเป็นต้องร้ายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหานะคะ แต่การรับมือกับสถานการณ์ต่างๆอย่างมีสติ และปัญญาต่างหากที่จะพิสูจน์ว่าเราเก่งจริงๆ
เป็นกำลังใจให้คนที่เคยร้ายกาจทุกคนนะคะ ปีใหม่ ก็มาเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกันนะคะ
มาเริ่มสะสมคะแนนจากการสร้างความรู้สึกดีๆให้คนรอบข้าง และตัวเองกันนะคะ
แล้วจะรู้ว่าชีวิตมีความสุขขึ้นมากเลยค่ะ
#รักนะคะ
#เจ้าหญิงแห่งวงการHR
ความเห็น 7
เรซูเม่ ไม่น่าสนใจ ก็ไม่เรียกสัมภาษณ์
นี่คือด่านแรกที่ HR เองต้องปรับปรุง
09 ม.ค. 2563 เวลา 23.15 น.
... Nut.Ch
อย่าไปใช้คำว่าทเจ้าหญิง กับ hr เลย มันไม่เหมาะสม วุฒิภาวะยังไม่ถึง ไม่ควรเรียกว่าเจ้าหญิง
09 ม.ค. 2563 เวลา 22.49 น.
papon
ข้อคิดที่ดีครับ สิ่งสำคัญคือผู้บริหารหรือหัวหน้าควรมีบุคลิกเปิด และไม่สร้างอาณาจักรแห่งความเคร่งครัดมากเกินไป ส่วนเพื่อนร่วมงานผู้น้อยก็ควรให้เกียรติผู้อาวุโส และควรมีน้ำใจต่อกัน การขอความช่วยเหลือเอื้อเฟื้อต่อกัน มิควรให้ยากเย็น
09 ม.ค. 2563 เวลา 13.33 น.
ในการคิดพิจารณาถึงในปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างรอบครอบ ย่อมสามารถที่จะช่วยทำให้มีวิธีทางที่จะแก้ไขกับปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อให้ไปในทางที่ดีและถูกต้องได้เสมอ.
09 ม.ค. 2563 เวลา 11.46 น.
อิสระ ธนะบรรณ์
ใช่ถูกต้องนะครับ.. ทำงานให้มีความสุขนั้นต้องมีทั้งพระเดชบ้างแค่บางครั้งและก็ต้องมีคู่แน่นอนคือ.. พระคุณต้องมีให้มากๆคนรอบข้่งก็มีความสุขเรา็สบายใจด้วยเอื้อเฟื้อกันในการทำงานสอนด้วยใจปลูกฝังให้ลึกลงในใจเค้า.. ไม่ใช่ใช้แต่อำนาจบารมีแค่อย่าง.. คงไม่นานจริงๆถ้ามุ่งเอาแต่งานมองเป้าหมายแค่.. ว่าให้งานตัวเองเสร็จโดยไม่สนใจใครจะเป็นยังคง.. จบเห็นด้วยนะครับกับข้อความบทนี้ เอาใจเค้ามาใส่ใจเราบ้างสิ.. ง่ายลองคิดมุมกลับกันถ้าคุณเป็นเค้าคุณจะคิดยังไงและถ้าเค้าเป็นคุณ.. คุณจะคืดยังไง
09 ม.ค. 2563 เวลา 11.29 น.
ดูทั้งหมด