มนุษย์แม่เป็นบุคคลที่ต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่อันหนักอึ้งไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งแม่ของลูก แม่ของบ้าน แม่ของแผนก หรือบางคนอาจเป็นถึงแม่ของบริษัท การดูแลทุกสิ่งให้แสนเป๊ะตลอดเวลา ทำให้หลาย ๆ ครั้งเหล่า Boss Mom ก็เผลอทำงานหนักจนเกินตัว รู้อีกทีร่างกายก็ทรุดเสียแล้ว
ขึ้นชื่อว่า Boss Mom ก็ต้องเป็นแม่ของทุกสิ่ง รวมถึง “แม่ของสุขภาพ” ด้วย อย่าปล่อยให้การทำงานหนักส่งผลเสียมากกว่าผลดี เช็กให้ชัวร์ คุณมีอาการของคนที่ทำงานหนักเกินไปจนเสี่ยงสุขภาพย่ำแย่หรือเปล่า?
มนุษย์แม่ระดับตัวบอสควรทำงานวันละกี่ชั่วโมง?
วิจัยจาก Finnish Institute of Occupational Health รายงานว่า ผู้ที่ทำงานเกินวันละ 8 ชั่วโมง มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจสูงถึงร้อยละ 80 เนื่องจากมีความเครียดสูง ทั้งนี้ยังเสี่ยงนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว หากไม่มีการดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเหมาะสม
วันละ 8 ชั่วโมงเนี่ยนะ?
ถ้าเหล่า Boss Mom มาเห็นคงได้แต่ส่ายหน้า
ในหนึ่งวันมนุษย์แม่ระดับตัวบอสต้องรับบทบาทหน้าที่เยอะจนคุณอาจจินตนาการความเหนื่อยไม่ไหว ตอนอยู่ที่บริษัทก็ต้องรับผิดชอบงานตั้งแต่ปัญหาเท่าเส้นผมไปจนถึงวิกฤติระดับชาติ กลับถึงบ้านก็ต้องดูแลลูก ๆ ที่รัก ทั้งสอนการบ้านและเล่นเป็นเพื่อนจนกว่าลูกน้อยจะเข้านอน
24 ชั่วโมงก็แทบจะไม่พอ จะให้ลดเหลือ 8 ชั่วโมงได้อย่างไร?
แต่คุณรู้หรือไม่ คำถามนี้แหละที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณกำลังเสพติดการทำงานหนัก และมันจะกลายเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้สุขภาพของคุณย่ำแย่ลง
3 สัญญาณเตือนว่าคุณกำลังขายสุขภาพแลกความสำเร็จ
จากการสำรวจประชากรวัยทำงานของประเทศไทยของกรมสุขภาพจิตพบว่า คนไทยร้อยละ 67 มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคบ้างานมากขึ้นและอาจเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพในระยะยาวได้ โดยโรคบ้างานเกิดจากอัตราการทำงานที่ไม่สัมพันธ์กับการพักผ่อนจนทำให้ร่างกายเกิดความเครียดและอาการผิดปกติ เช่น สมองไม่แล่น ความจำไม่ดี อ่อนเพลีย และนอนไม่หลับ เป็นต้น หากไม่ได้รับการรักษาหรือปล่อยปะละเลยก็อาจเกิดโรคหัวใจหรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ ได้
เดิมทีจะพบโรคบ้างานในผู้ชายเป็นส่วนมาก แต่ปัจจุบันนี้ก็พบในผู้หญิงเช่นกัน เนื่องจากสังคมปัจจุบันมีการแข่งขันสูง ทำให้ผู้หญิงต้องออกไปทำงาน เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวอีกแรง ผู้หญิงไม่สามารถนั่ง ๆ นอน ๆ รออยู่บ้านให้ผู้ชายเป็นฝ่ายทำงานหาเงินเข้าบ้านเพียงฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป
โรคบ้างานพบได้มากในกลุ่มคนที่มีบุคลิกสมบูรณ์แบบ ผิดนิดผิดหน่อยไม่ได้ รักการแข่งขัน และมีความทะเยอทะยานสูง ซึ่งมองเผิน ๆ อาจเป็นเรื่องดีต่อนายจ้างที่มีลูกน้องรักงานแบบนี้ แต่มันกลับส่งผลเสียต่อตัวพนักงาน เพราะบุคลิกแบบนี้มักสะท้อนการทำงานออกมาในรูปแบบ “เสพติดงาน” มากกว่ารักงาน และก่อให้เกิดอาการคิดวนเวียนและหมกมุ่นอยู่กับงานมากเกินไป
เช็กให้ชัวร์ว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็นโรคบ้างานหรือไม่ ด้วย 3 สัญญาณเตือน ดังนี้
1. ทำผิดวนไป เช็กสิบครั้งก็ดันผิดสิบหน
คุณเป็น Perfectionist แต่ดันทำงานผิดพลาดแบบซ้ำซาก นี่แหละคือสัญญาณเตือนของโรคบ้างาน! โดยงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Illinois พบว่า คนที่ทำงานหนักเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีประสิทธิภาพการทำงานแย่ลง และนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดอื่น ๆ อีกด้วย
2. ออฟฟิศซินโดรมตะโกนร้องเรียก ขยับซ้ายดังก๊อก ขยับขวาดังแกร๊ก
คุณเริ่มป่วยเป็นโรคที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นมาก่อน ปวดเนื้อ เมื่อยตัว โดยเฉพาะโรคออฟฟิศซินโดรมที่เกิดจากการนั่งทำงานในสภาพที่ไม่เหมาะสมนานเกินไป เพราะคุณไม่ยอมนอน ไม่ยอมกิน จนกว่างานจะเสร็จสมบูรณ์และเนี๊ยบที่สุด (นี่มันอาการของคุณเสพติดงานชัด ๆ)
3. เอะอะหงุดหงิด ความสัมพันธ์ติดลบ จบไม่สวย
หากคุณอยู่ในจุดที่อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ น่าหงุดหงิดไปหมด เพื่อน ๆ และครอบครัวกลายเป็นอุปสรรคที่คุณรู้สึกอยากจะสะบัดทิ้ง เพราะพวกเขาเหมือนเป็นภาระที่ทำให้คุณเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้ช้าลง
รวมถึงคุณยอมตั้งข้อแม้ต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองได้อยู่กับงาน เช่น คุณยกเลิกนัดไปสวนสนุกกับครอบครัว เนื่องจากมีงานต้องแก้ไข หรือคุณเลี่ยงที่จะไปดินเนอร์กับสามี เพราะอยากเตรียมงานที่ต้องนำเสนอในวันรุ่งขึ้น
ถ้าคุณมีข้อแม้หรือยอมให้ความสัมพันธ์ดิ่งลงเหวเพื่อให้ได้ทำงาน สันนิษฐานได้เลยว่าคุณก้าวขาข้างหนึ่งเข้ามาในโรคบ้างานแล้ว
แม้เราจะอยู่ในยุคที่การแข่งขันสูงมาก หลาย ๆ คนยอมเสียสละความสุขส่วนตัวหรือสิ่งสำคัญในชีวิตเพื่อแลกกับความสำเร็จ แต่อย่ายอมสละสุขภาพที่ดีกับความสำเร็จนั้นเลยนะ เพราะหากวันหนึ่งที่ความสำเร็จมาถึง แต่สุขภาพของคุณไม่พร้อม คุณก็ไม่อาจอยู่ฉลองความสำเร็จนั้นไปพร้อม ๆ กับคนที่คุณรักได้ คุณควรทำงานอย่างพอดี และให้ร่างกายได้พัก ก่อนจะสายเกินไป
มนุษย์แม่ผู้เป็นทุกอย่างของโลกใบนี้ แต่ไม่ต้องเป็นมนุษย์บ้างานก็ได้นะ
การทำงานหนักนั้นดี แต่การทำงานหนักเกินไปไม่เคยก่อผลดี ถ้าคุณมี 3 สัญญาณเตือนนี้ ลองถามตัวเองว่า คุณมีความสุขไหมกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน?
หากคุณตอบว่าไม่ ลองปรับนิสัยในชีวิตประจำวันเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการจัดสรรเวลาเข้านอนและตื่นนอนดูนะ ไม่ว่าคุณจะอยากนอนตื่นสายโด่งแค่ไหน แต่การตื่นนอนให้เช้าขึ้น หรือตื่นก่อนลูก ๆ จะช่วยเพิ่มเวลาชีวิตให้คุณได้อย่างมหาศาล
ช่วงเวลาก่อน 6 โมงเช้าเป็นเวลาที่เงียบสงบและยังเป็นเวลาก่อนที่บรรดาสมาชิกในครอบครัวจะตื่นอีกด้วย ทำให้คุณสามารถจัดการเรื่องส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีรายงานว่า Boss Mom ระดับโลกอย่างคุณมิเชลล์ โอบาม่าก็ตื่นนอนตอนตี 4 เช่นกัน ซึ่งกิจกรรมหลักของมิเชลล์ช่วงเช้ามืด คือ การออกกำลังกายเพื่อชาร์จพลังให้พร้อมก่อนออกไปลุยงาน
ถ้าคุณมีเวลาให้ตัวเองบ้าง และได้จัดการเรื่องส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนรับบทมนุษย์แม่ คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำงานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวันจนโรคบ้างานถามหาอีกต่อไป
Work-Life Balance ทำงานให้สุข ใช้ชีวิตให้สนุก เมื่อความสำเร็จมาถึง คุณจะกลายเป็นยอดมนุษย์คุณแม่ระดับตัวบอสที่ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องงาน และเรื่องสุขภาพได้อย่างมีความสุขที่สุด
เพิ่มช่องทางการรับข่าวสารและข้อมูลดี ๆ ผ่าน Line Official AZAYfan ที่จะช่วยทำให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ได้ที่
ความเห็น 1
สุจินต์
ปิดทุกโปรเจก. ปล่อยคุณลูกๆ รอดูวิธีคิด. อย่างอิสระ
15 ส.ค. 2561 เวลา 08.34 น.
ดูทั้งหมด