เพิ่งจบไปอย่างสด ๆ ร้อน ๆ กับอีเวนต์ที่สาวก Apple ทั่วโลกตั้งตารอคอยกันมาทั้งปีกับการประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ประจำปี 2019 เราเชื่อว่าทุกคนคงได้เห็นข่าวกันผ่าน ๆ ตาไปแล้วบ้าง แต่จากข้อมูลที่มีอยู่เยอะมากจนไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน LINE TODAY มีสรุปแบบง่าย ๆ เน้นเนื้อและฟีเจอร์ที่สำคัญจาก Apple Event 2019 รวบมาอยู่ในบทความนี้ให้แล้ว อ่านเร็ว ๆ เพื่ออัปเดตกันที่นี่ได้เลย!
Key Focus:
- Apple เปิดตัวโปรดักต์ใหม่ทั้งหมด 5 ตัวหลัก ๆ ด้วยกัน แบ่งออกเป็นเซอร์วิส 2 ตัว และโปรดักต์ที่เป็นอุปกรณ์ 3 ตัว
- โปรดักต์ที่เป็นเซอร์วิส ได้แก่ Apple Arcade และ Apple TV Plus ส่วนโปรดักต์ที่เป็นอุปกรณ์คือ iPad, Apple Watch และ iPhone รุ่นใหม่
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมต่อในสรุปข้อย่อยด้านล่างนี้
เปิดตัว Apple Arcade
ระบบสมาชิกแบบรายเดือนเพื่อดาวน์โหลดเกมเล่นบนอุปกรณ์ของ Apple ได้แบบไม่จำกัด มีทั้งเกมที่อยู่ใน App Store โดยทั่วไปและเกมที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟที่ไม่สามารถหาเล่นที่ไหนได้ สนนราคาค่าสมาชิกที่ 4.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 150 บาท* และแบบเป็น Family Sharing) เริ่มต้นวันที่ 19 กันยายนนี้ใน 150 ประเทศ
เปิดตัว Apple TV Plus
ทีวีออนไลน์ที่ละม้ายคล้ายคลึง Netflix จะให้บริการในวันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป โดยมีคอนเทนต์ที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟฉายเฉพาะบน Apple TV Plus นี้ ค่าสมัครสมาชิกคือเดือนละ 4.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 150 บาท*) เช่นกัน แต่ถ้าซื้ออุปการณ์ใหม่จาก Apple ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad หรือ Apple TV สามารถดูฟรีได้ 1 ปี
เปิดตัว iPad ใหม่
เป็นรุ่นที่ 7 แล้ว ซึ่งดูรวม ๆ แล้วมีหน้าตาคล้าย ๆ กับรุ่นก่อนหน้า ที่เพิ่มเติมมาคือหน้าจอเรตินาที่ใหญ่กว่าเดิม ขนาด 10.2 นิ้ว, ใช้ชิพ A10 Fusion ที่เร็วกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นขายดี, มี Smart Connector สำหรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทคีย์บอร์ดที่สะดวกมากขึ้น และทำจากอลูมิเนียมที่ผ่านการรีไซเคิลมา 100%
ราคาเริ่มต้นที่ 329 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 10,100 บาท*) และ 299 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 9,150 บาท*) สำหรับการใช้เพื่อการศึกษาเริ่มวางเริ่มพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันนี้
เปิดตัว Apple Watch Series 5
มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่
- จอเรตินาที่ Always On (ไม่ดับตามการขยับข้อมือเหมือนในรุ่นที่ผ่าน ๆ มา)
- เข็มทิศที่ฝังอยู่ในตัวนาฬิกา
- ปุ่มโทรฉุกเฉินที่สามารถโทรออกไปหาปลายทางมากถึง 150 ประเทศทั่วโลก
อย่างหนึ่งที่ไม่ได้มีการประกาศในอีเวนต์ตามที่ถูกคาดการณ์ไว้คือเรื่อง Sleep Tracker หรือฟังก์ชั่นที่แทร็กการนอนตามข่าวลือ
ราคาเริ่มต้นที่ 399 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12,200 บาท*) และเริ่มวางขายวันที่ 20 กันยายนนี้
เปิดตัว iPhone 11 และ iPhone 11 Pro
ไอโฟนที่ถูกเปิดตัวในรอบนี้มีทั้งหมด 2 รุ่นหลัก ๆ คือ iPhone 11 และ 11 Pro ด้วยกัน ซึ่งจากสเปกที่ค่อนข้างละเอียดยุบยิบ เราขอสรุปเป็นคีย์พอยต์แบบเข้าใจได้ง่ายขึ้นตามด้านล่างนี้
สรุปฟีเจอร์สำคัญใน iPhone 11
- ตัวบอดี้คล้ายกับรุ่น iPhone XR ซึ่งเป็นไอโฟนที่ขายดีที่สุดในช่วงล่าสุดของ Apple
- หน้าจอขนาด 6.1 นิ้วพร้อมรอยบากด้านบนและฟังก์ชั่น Face ID สแกนใบหน้าด้วยกล้องหน้า
- ใช้หน่วยประมวลผล A13 Bionic ซึ่งเป็นตัวที่เร็วที่สุดของ Apple และถูกรับรองให้เป็น CPU ที่เร็วที่สุดในบรรดาสมาร์ตโฟนทั้งหมด
- กระจกที่แข็งแรงมากขึ้นและแบตเตอรี่ที่อึดกว่ารุ่น XR 1 ชั่วโมง
- กล้องหลังแบบ Dual Camera โฉมใหม่พร้อม
- โหมด Ultra Wide ที่ทำให้สามารถถ่ายรูปได้ในมุมที่กว้างขึ้นและสามารถซูมแบบ Optical ได้ถึง 2 เท่า
- Night Mode การถ่ายรูปในที่ ๆ มีแสงน้อยถูกดึงมาเป็นจุดเด่นของ iPhone 11 แข่งกับโหมดกลางคืนที่เป็นจุดแข็งของ Samsung Galaxy และ Google Pixel
- กล้องหน้าถูกอัปเกรดให้มีความละเอียดมากถึง 12 ล้านพิกเซล สามารถเก็บภาพครอบคลุมมุมที่กว้างขึ้น และประสิทธิภาพของการถ่ายวีดีโอด้วยกล้องหน้าก็สามารถเก็บความละเอียดขั้น 4K และมีโหมดสโลว์โมชั่นด้วย
- มีสีเพิ่มเติมจากรุ่นเก่าคือ สีม่วง, สีขาว, สีเขียวอ่อน, สีเหลืองพาสเทล, สีดำ และสีแดง
- ราคาเริ่มต้นที่ 699 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 21,400 บาท*) เปิดพรีออเดอร์วันที่ 13 กันยายนนี้
สรุปฟีเจอร์สำคัญใน iPhone 11 Pro
- มีรุ่นย่อยทั้งหมด 2 รุ่นคือ Pro กับขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว และ Pro Max กับหน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว
- หน้าจอที่อัปเกรดเป็น Super Retina XDR คมชัดและสว่างมากขึ้นด้วย OLED แต่ประหยัดพลังงานมากขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์
- ใช้หน่วยประมวลผล A13 Bionic เหมือนกับ iPhone 11
- แบตเตอรี่ของ iPhone 11 Pro จะอึดกว่ารุ่น Xs มากถึง 4 ชั่วโมง รุ่น iPhone 11 Pro Max จะอึดกว่ารุ่น Xs Max มากถึง 5 ชั่วโมง และทั้งหมดมาพร้อมระบบ Fast Charge
- กล้องหลังเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักที่เป็นไฮไลต์ของ iPhone 11 Pro
- มีเลนส์ทั้งหมด 3 เลนส์ ไม่ใช่ 4 เลนส์ตามที่ลือกัน ซึ่งแต่ละอันทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน และมีระบบการคำนวณชอตแบบใหม่ที่เรียกว่า Deep Fusion เป็นการถ่ายทั้งหมด 9 ชอตและนำภาพมาซ้อนกันเพื่อความสมจริงของมิติภาพที่มากขึ้น
- สามารถถ่ายภาพมุมกว้างด้วยค่า f/1.8 ถ่ายภาพแบบเทเลด้วยค่า f/2.4 และภาพแบบ Ultra-Wide สโคปกว้าง 120 องศาด้วยค่า f/2.0
- สามารถซูมแบบ Optical ที่ระยะ 0.5, 1.0 และ 2.0 และ
- สามารถถ่ายวีดีโอคุณภาพ 4K60 ได้
- สามารถถ่ายภาพใน Night Mode ได้แบบดีเยี่ยม
- กล้องหน้า ถูกอัปเกรดให้มีความละเอียดมากถึง 12 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพแบบ Wide Shot ได้ ถ่ายวีดีโอด้วยคุณภาพ 4K และมีโหมดสโลว์โมชั่นเช่นเดียวกับ iPhone 11
- มีทั้งหมด 4 สีคือ มิดไนท์กรีน, สเปซเกรย์, เงิน/ขาว และทอง
- ราคาเริ่มต้นของ iPhone 11 Pro อยู่ที่ 999 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 30,600 บาท*) และ Pro Max อยู่ที่ 1,099 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 33,650 บาท*) เปิดพรีออเดอร์วันที่ 13 กันยายนนี้
*หมายเหตุ: อ้างอิงการแปลงสกุลเงินจากอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐ-เงินบาทล่าสุดของวันที่ 11 กันยายน 2562 : 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 30.61 บาท
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนได้อัปเดตข้อมูลกันอย่างเร็ว ๆ ส่วนการประกาศขายในไทยเรื่องวันที่พรีออเดอร์และราคาไฟนอล คงต้องติดตามกันต่อไป
ความเห็น 48
K🪙🆖K🆔🅰️K🍪®️N6️⃣9️⃣
BEST
รูปทรงเดิม เพิ่มกล้องมาอีกตัว อัพเกรทจอ ซอฟแวร์รุ่นใหม่ มีสีให้เลือกใช้มากขึ้น มีอะไรที่มัน ว้าว!!! กว่านี้ไห แต่Apple watch และ Ipad เป็นสินค้าที่น่าใช้จริง ตรงจุดนี้ต้องยอมรับว่า Iphone ตามหลังค่ายอื่นเเล้วจริงๆ ต่อให้เป็นรุ่นใหม่ก็เถอะ
10 ก.ย 2562 เวลา 22.46 น.
BEST
ยอมรับเรื่อง ไอแพด ว่าน่าใช้งานและคุ้มค่าที่สุด และมีราคาที่คนทั่วไปจับต้องได้ ส่วนมือถือ ตรงข้ามทุกอย่าง
11 ก.ย 2562 เวลา 00.52 น.
yothawatit
BEST
มันคือกล้องถ่ายรูป ที่ใช้โทรได้
11 ก.ย 2562 เวลา 01.21 น.
พีท 🍑
เร็วขึ้น แรงขึ้น แล้วไง? รูปทรงเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่
10 ก.ย 2562 เวลา 23.31 น.
😎🫡The Butcher🫡😎
เครื่องเก่ายังผ่อนไม่หมดเครื่องใหม่เข้าอีกละ
(ต่างที่รูปทรง ที่เหลือไม่มีอะไรต่างเลย)
11 ก.ย 2562 เวลา 01.57 น.
ดูทั้งหมด