เปิดความในใจแพทย์ผู้ช่วยชีวิตชาวกาซา

เปิดความในใจแพทย์ผู้ช่วยชีวิตชาวกาซา เผย ต้องตัดแขนขาเด็กออก โดยไม่มียาสลบให้ใช้

“หมอต้องตัดแขนขาเด็กออก โดยไม่มียาสลบให้ใช้….คุณนึกภาพออกมั้ย?”

นั่นคือสิ่งที่ Dr. Mohammed Abu Mughaisib (MSF) ให้สัมภาษณ์สื่ออังกฤษ (channel4) ไปเมื่อวันก่อน แต่ล่าสุด อัลจาซีราได้เปิดเผยว่า ยังมีคุณแม่ชาวกาซาที่ต้องผ่าหน้าท้องเอาเด็กออก (C-section) โดยไม่มียาสลบให้ใช้เช่นกัน

ผู้หญิงกาซามากกว่า 50,000 กำลังตั้งครรภ์ ประมาณ 5,500 มีกำหนดคลอดภายในเดือนนี้ แต่ไม่มีใครรู้ว่า พวกเขาจะเดินทางฝ่าฟันพื้นที่ทำสงคราม มาถึงโรงพยาบาล และได้รับการดูแลขั้นพื้นฐานที่จำเป็นได้ยังไง ในเมื่อโรงพยาบาลทั้งขาดน้ำ ขาดไฟ ขาดแคลนปัจจัยสารพัด รวมทั้งยาปฏิชีวนะบางตัวที่จำเป็นต้องใช้กับคนไข้ที่มีบาดแผลไฟไหม้หรือบาดแผลฉกรรจ์

ยังไม่รวมถึงการขาดเตียง ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ แม้แต่คนไข้หลังผ่าตัด ยังต้องถูกทิ้งไว้ให้นอนอยู่กับพื้น

แต่ที่โหดร้ายที่สุดก็คือ เมื่อปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิงได้ดำเนินมาถึงจุดพีค โรงพยาบาลที่ยังเปิดอยู่ในกาซาขณะนี้ ส่วนหนึ่งจึงต้องทำงานในโหมดไม่มีไฟ แม้แต่โรงพยาบาลหลักสองแห่งในกาซา คือ โรงพยาบาล Al-Shifa Hospital และ Indonesian Hospital ก็กำลังเข้าสู่ช่วงเวลานับถอยหลังเช่นกัน เมื่อไรก็ตามที่การหมดสิ้นเชื้อเพลิงแบบ 0 % เกิดขึ้น นั่นย่อมหมายถึงหายนะของคนไข้อีกมากที่จะตามมา โดยเฉพาะในแผนก ICU เด็ก ฟอกไต และคนไข้ที่จะต้องผ่าตัด

ล่าสุด ไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว มีรายงานว่าเครื่องปั่นไฟหลักของโรงพยาบาลอินโดนีเซียต้องหยุดทำงาน ทั้งๆ ที่นี่คือโรงพยาบาลที่เพิ่งรับผู้บาดเจ็บหลายร้อยจากค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลียเข้ารักษา หลังค่ายถูกอิสราเอลถล่มใหญ่ไปแล้วสองครั้งติดๆ กัน

ระหว่างนี้ โฆษกกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ “เตือนครั้งสุดท้าย” พร้อมกับเรียกร้องให้ชาติผู้ผลิตน้ำมันยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งอันน้อยนิดที่ผู้นำพวกนั้นจะหยิบยื่นให้กับกาซาที่กำลังพินาศย่อยยับได้ แต่พวกเขายังคงเงียบเฉย

สงครามเข้าสู่วันที่ 26 ระบบสาธารณสุขของกาซา ได้มาถึงจุดที่เกินคำว่าล่มสลายไปนานแล้ว ด้วยยอดเจ็บป่วยและบาดเจ็บล้มตายที่เพิ่มขึ้นตลอด (บาดเจ็บล่าสุด 21,543 คน) อิสราเอลยังคงแบนเชื้อเพลิงและทำลายทุกอย่างที่เป็นปัจจัยในการช่วยชีวิต ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต ของคนในคุก การเปิดด่านให้คนเจ็บในกาซาเข้าไปรักษาในอียิปต์แค่ 81 คน เมื่อวานนี้ จึงเป็นเพียงแค่งานพีอาร์ฉาบหน้าฆาตกรโหดที่ไร้ความหมาย เมื่อคนกว่า 8,805 ต้องตายไปแล้ว และอีกกว่าสองล้านกำลังตกอยู่สภาพรอวันตาย