ยุคสมัยที่ก้าวหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างมีการพัฒนา ทั้งการสื่อสาร การเดินทาง การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ในขณะที่วัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิมอันดีงามก็ยังต้องรักษาไว้ บางครั้งทำให้คล้ายกับเป็นโลกคู่ขนานเหมือนเข้ากันไม่ได้ จนบางครั้งทำให้เกิดแนวคิดต่อต้านซึ่งกันและกัน เด็กมีความคิดความเชื่อมั่นในตัวเองที่สูงขึ้น ในขณะที่ผู้ใหญ่ก็มั่นใจในประสบการณ์ที่สั่งสมมาตามอายุ
หากแต่ทั้งหมดที่กล่าวมาในข้างต้นนี้ อาจยังไม่ใช่สาเหตุของความร้อนแรงในความขัดแย้งเสียทีเดียว หากลองมองกันให้ดีๆ หลายครั้งที่ความขัดแย้งนั้นมักจะเกิดขึ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ โดยไม่เปิดใจรับฟังความเห็นที่แตกต่าง กอปรกับการใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งแทนที่จะใช้เหตุผลเข้าหากัน และหลายๆ ครั้งที่ฝ่ายที่อารมณ์ร้อนก่อนมักจะเป็นผู้ใหญ่ เพราะแค่เด็กเริ่ม ”อธิบาย” จะกลายเป็นการ ”เถียง” ในขณะที่อีกฝ่ายอาจต้องการเพียงการอธิบาย หรืออาจเพียงแค่ถามเพื่อทำความเข้าใจเท่านั้น
การจะลดอุณหภุมิของบทสนทนาอันมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้นจึงควรเริ่มต้นที่ตัวของเราเองเป็นอันดับแรก ก่อนอื่นใดต้องทำความเข้าใจว่า เราแต่ละคนมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ในที่นี้มิได้หมายถึงฐานะทางการเงินแต่อย่างใด แต่กำลังหมายถึงสังคมที่หล่อหลอมแต่ละคนให้เติบใหญ่ขึ้นมา ย้อนไปสักห้าสิบหกสิปปีก่อน ยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตไร้สาย การหาความรู้หาข้อมูลต่างๆ ยังต้องอาศันการอ่านจากหนังสือ ห้องสมุดเป็นแหล่งความรู้ และอีกแหล่งความรู้คือเหล่าครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่สัสมการอ่านมามากกว่า เห็นโลกมามากกว่า เด็กในยุคนั้นจึงได้รับความรู้จากบรรดาผู้อาวุโสและไม่มีข้อโต้เถียงใดๆ
กลับมายังยุคสมัยนี้ที่ข้อมูลความรู้มีอยู่ในอินเตอร์เน็ตเต็มไปหมด ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปห้องสมุด หายืมหนังสือกลับมาอ่านที่บ้าน อยากรู้อยากเห็นเรื่องอะไรแค่ป้อนคำถามแล้วกด ENTER ก็สามารถหาอ่านได้มากมายราวกับย่อโลกใบใหญ่มาไว้ในอุปกรณ์เครื่องเล็กๆ เป็นการเปิดหน้าต่างโลกได้กว้างขึ้น มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าการอ่านหนังสือหรือฟังเรื่องเล่าจากคนรุ่นก่อน และเมื่อเกิดความแตกต่างที่ค่อนข้างเห็นได้ชัด จึงทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเจนเนอเรชั่นที่ยิ่งชัดและดูเหมือนจะยิ่งห่างออกไปเมื่อคนที่เป็นผู้ใหญ่เรียนรู้เทคโนโลยีได้ไม่ไวเท่ากันรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับสิ่งเหล่านี้
นั่นจึงเป็นเหตุของการมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน เมื่อเด็กได้รับฟังสิ่งที่ไม่เหมือนกับที่เขาเคยลอง 'เสิร์ช' หามา ยกตัวอย่างเช่นการเถียงกันของคู่แม่ลูกเวลาเข้าครัว ซึ่งคุณแม่ได้สืบต่อสูตรอาหารมาจากรุ่นยายแต่ลูกสาวได้สูตรเด็ดจากเชฟชื่อดังมาจากอินเตอร์เน็ต หรือจะเป็นเรื่องของเส้นทางการขับรถของคุณพ่อที่คุ้นเคยกับเส้นทางนี้มาตั้งแต่หนุ่มๆ แต่ลูกขอไปตามทางลัดที่แอปพลิเคชั่นบอกทางเพื่อความรวดเร็ว และยังมีเรื่องราวอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ได้รับข้อมูลที่แตกต่างกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร สิ่งหนึ่งที่พึงตั้งไว้ให้มั่นนั่นก็คือ 'สติ' ในการประคองอารมณ์กับบทสนทนาที่ตั้งท่าจะนำไปสู่การขัดแย้ง หากยิ่งใช้อารมณ์ในการพูด แน่นอนว่าทั้งน้ำเสียง ถ้อยวาจา ย่อมไม่น่ารับฟัง ไม่มีใครอยากเสวนากับคนเกรี้ยวกราด พูดจาไม่สุภาพใช้ถ้อยคำหยาบคาย และยิ่งหากเป็นการใช้อำนาจออกคำสั่งย่อมไม่มีใครอยากได้ยินสิ่งที่เป็นมลพิษต่อจิตใจและความรู้สึกเป็นแน่ และอีกสิ่งที่ควรมีให้มากๆ คือความรักและความเข้าใจที่ควรมีให้แก่กัน เรื่องราวที่ถกเถียงกันอยู่นั้นมันสำคัญมากกว่าความรักที่เรามีให้แก่กันหรือเปล่า คุ้มแล้วหรือไม่ที่จะแลกกับมิตรภาพความสัมพันธ์อันดีที่มีมาตลอดชีวิต
หากมองข้ามเรื่องอายุ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็คือคนที่มีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน ผู้ใหญ่อาจมากประสบการณ์ชีวิตที่เห็นมามาก ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า จึงควรเย็นให้เป็นและรู้จักที่จะเปิดใจให้กว้างเพื่อรับฟัง ขณะที่เด็กวัยรุ่นแม้เป็นวัยที่มีความรู้เท่าทันเทคโนโลยีมากกว่า รับรู้ข้อมูลต่างๆมามากกว่า แต่ก็ไม่ควรตั้งความคิดว่าผู้ใหญ่ดักดานไม่ทันสมัย ไม่ทันโลก เพราะบางอย่างก็ไม่สามารถค้นหาได้ในโลกออนไลน์เสมอไป ทั้งสองฝ่ายมีภูมิความรู้ที่แตกต่างกัน การใช้เหตุและผลในการหันหน้าเข้ามาคุยกันย่อมดีกว่าการวางอำนาจข่มอีกฝ่าย
รู้จัก “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” จะทำให้เรารู้จักยั้งคิดก่อนพูดหรือทำอะไรให้คนที่เรารักต้องช้ำใจ
และตัวเราเองอาจเป็นฝ่ายที่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง
ความเห็น 33
Eed Eed
อย่าคิดว่าผู้ใหญ่จะทำถูกเสมอไป
อย่าคิดว่าเด็กจะทำผิดเสมอไป
ทุกๆอย่างต้องดูด้วยเหตุผลค่ะ
23 ส.ค. 2563 เวลา 01.14 น.
Khunkea999
ถ้ารอเถียงผู้ใหญ่ไม่เชื่อฟังกันแล้ว
แสดงว่าโตแล้ว
ออกไปงานงานทำ
หาเงินกินเองเลยลูกเอ้ย
รึโลกส่วนตัวสูง
เก็บกระเป๋าไปเช่าบ้านอยู่เองเลย
ตามสบาย
23 ส.ค. 2563 เวลา 00.53 น.
ก็ไม่ต่างกันหรอก จะใหญ่กับใหญ่รึเล็กกับใหญ่ ถ้าสังคมรึคนเราไม่ยึดเอาเหตุผลและกฎระเบียบอันเสมอภาคถูกต้องเป็นธรรมที่เราตกลงจะใช้ในการอยู่ร่วมกันมาตัดสิน ผู้ใหญ่ก็ต้องมีวุฒิภาวะและทำตัวน่าเคารพนับถือในความเป็นผูเใหญ่สิ เด็กเขาก็จะเป็นผู้ใหญ่ไปข้างหน้าฉนั่นสิทธิในการทดลองศึกษาค้นคว้าต่างๆก็ยกให้เขาบ้าง ถ้าเด็กทำถูกผู้ใหญ่ก็ต้องยอมรับบ้างเพราะนั้นคือพฤติกรรมการสอนเด็กในตัว ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่พูดอย่างเดียว ให้เด็กทำ รึว่าผู้ใหญ่ทำอะไรถูกหมดแต่เด็กผิดหมด มันก็ไม่เข้าท่า ..เด้อ..
23 ส.ค. 2563 เวลา 02.36 น.
Suchat
ถ้าผู้ใหญ่ในประเทศเราฟังเด็กบ้างแล้วจะรู้ใม่ใช้นักการเมืองเพาะนักการเมืองมีแต่ผลประโยชทั้งๆที่รู้แต่มำป็นใม่รู้
23 ส.ค. 2563 เวลา 00.24 น.
🔶
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีเด็กสปีชี่ส์ใหม่ที่ไร้คำว่า สัมมาคาราวะ ไร้กตัญญู ไร้ความเคารพ ผู้อาวุโส
มีแต่ความยะโส ก้าวร้าวรุนแรง มองคนแก่น่าเบื่อและเป็นอุปสรรคต่อชีวิตพวกเค้า และรังเกียจ
เพราะผู้ใหญ่ทุกคนสร้างพวกเค้ามาเป็นแบบนี้ ไม่ต้องโทษใคร และนี่คือทิศทางอนาคตของชาติ..🤟🇹🇭
23 ส.ค. 2563 เวลา 13.27 น.
ดูทั้งหมด