ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดิ่งลง14% จากระดับสูงสุดปีนี้ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนที่ให้น้ำหนักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและการส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้าของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)
ในการดิ่งลงอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นวอลล์ สตรีท นับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นไตรมาส 4 ปีนี้ โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีในดัชนี Nasdaq ที่ดิ่งลงถึง 17% ตามด้วยดัชนี S&P 500 ที่ร่วงลง 13% และดัชนีดาวโจนส์ในหุ้นขนาดใหญ่ 30 อันดับแรกนั้นร่วงลง 12% ส่งผลให้อัตรเฉลี่ยร่วงลง 13% จากจุดสูงสุดในปีนี้ ขณะเดียวกันหุ้นขนาดเล็กที่เป็น Small Cap ก็ดิ่งลงถึง 17%
ในขณะที่ตลาดหุ้นวอลล์ สตรีท ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 11 ในเดือนธันวาคม โดยดาวโจนส์ดิ่งลงถึง 507.53 จุด หรือ 2.11% มาปิดเมื่อวันจันทร์ที่ 23,592 ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,545 ร่วงลง 54.01 จุด หรือ 2.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,753 ดิ่งลง 156.93 จุด หรือ 2.27% เนื่องจากนักลงทุนได้ใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น
หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอลง รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง แต่หากว่าเฟดยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ย่อมจะลงผลต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงในปี 2019 ทำให้นักลงทุนหันมาจับตาสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่จะแถลงภายหลังการประชุมวันที่ 19 ธันวาคมเสร็จสิ้นลง
ทั้งนี้ ปัจจัยความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้านี้ โดยเฉพาะการชี้นำของของหุ้นขนาดใหญ่ 30 บริษัทของดาวโจนส์ที่ร่วงลงอย่างหนักเพียง 2 วันของการซื้อขายในวันศุกร์และวันจันทร์ถึง 1,000 จุด และ 11 สาขาภาคธุรกิจใน S&P 500 ก็ร่วงลงหนักที่สุดในรอบ 14 เดือน
ภาพของการลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์ สตรีท ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเดือนธันวาคมปีนี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด เท่าที่เคยปรากฏนับตั้งแต่ปี 1980
และในช่วงเวลาที่เฟดกำลังจะประชุมพิจารณาการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 4 ในปีนี้ รวมถึงการบ่งชี้แนวโน้มทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้านั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ทวีตข้อความที่ระบุว่า เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่เฟดจะพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง
ในขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมาก และแทบจะไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่กำลังวุ่นวาย แต่เฟดกำลังพิจารณาจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยหวังเพียงเป็นผู้ชนะ
ในขณะที่ผู้นำสหรัฐมีการทวิตเตอร์วิพากษ์วิจารณ์เฟดที่ไม่ตอบสนองกับความต้องการของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์ สตรีท นั้น ในอีกซีกโลกหนึ่ง ผู้นำจีนได้ออกมากล่าวสุนทรพจน์ที่มหาสมาคมของจีนในการประชุมครบรอบ 40 ปีแห่งการเปิดประเทศและการปฏิรูปในวันนี้
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ตอกย้ำถึงการปฏิรูป เพื่อเปิดกว้างระบบเศรษฐกิจของจีนให้ก้าวสู่ตลาดโลก และการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนตลอด 40 ปีที่ผ่านมา โดยชี้ว่า จีนได้นำประชาชนกว่า 740 ล้านคน ให้หลุดพ้นจากความยากจน โดยลดสัดส่วนความยากจนต่อหัวลงถึง 94.4%
นอกจากนี้ จีนยังได้สร้างระบบประกันสังคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ให้เงินบำนาญแก่ประชาชนสูงวัยกว่า 900 ล้านคน และให้ระบบประกันสุขภาพแก่ประชาชนกว่า 1,300 ล้านคน เพราะนอกจากจีนได้รักษาความมั่นคงทางสังคมไว้เป็นเวลานาน จนทำให้จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยมากที่สุดในโลก
โดยที่ลัทธิสังคมนิยมถือเป็นหลักชัยของการเรียนรู้ที่คืนสู่พลังของประเทศ ที่ทำให้จีนสามารถแก้ปัญหาที่เป็นภัยต่อประชาชนจีน ทั้งภาวะอดอยาก การขาดแคลน และความยากจน ที่มีมานาน
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังย้ำว่า จีนได้พัฒนาระบอบประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม โดยจีนกำลังก้าวเข้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของโลก ในฐานะประเทศที่สนับสนุนสันติภาพ มีส่วนในการพัฒนาและสนับสนุนความเป็นระเบียบเรียบร้อยของโลก รวมทั้งมีธรรมาภิบาลทางด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่มั่นคง ภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มุ่งมั่นในการสร้างความแข็งแกร่งและปราบปรามคอร์รัปชัน เพื่อฟื้นฟูภาวะผู้นำของจีน
อย่างไรก็ตาม ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับตัวลดลง 32.05 จุด หรือ 1.23% แตะที่ระดับ 2,565 ช่วงเช้าวันนี้ และเงินหยวนเคลื่อนไหวที่ระดับ 6.8949 ต่อดอลลาร์
ความเห็น 0