กระแสต่อต้านการใช้สารกำจัดศัตรูพืช”พาราคว็อต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส” นับวันจะแรงขึ้นเรื่อยๆแต่จะได้ผลหรือไม่ในอีกไม่กี่วันก็จะรู้คงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เรื่องนี้เหมือนเรื่องง่ายๆเพราะรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องทุกพรรคต่างก็เห็นด้วยหมด แต่ วงในว่ากันว่าคนที่ต่อต้านจริงๆไม่ใช่มีแค่พวกนักธุรกิจ พ่อค้าที่หากินกับสารพิษ แต่เป็นคนที่เกี่ยวข้องและเป็นผู้ดูแลประชาชนกลายเป็นผู้เสียประโยชน์เสียเอง จึงเล่นใต้ดินยื้อไม่ให้มีการยกเลิก
การที่แรงต้านออกมาค่อนข้างแรงและชัดเจนก็เพราะกระแสคนรักสุขภาพมีความต้องการสินค้าเกษตรปลอดสารพิษมีมากขึ้นเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศประกอบกับกระแสความตื่นตัวของเกษตรกรก็หันมาปลุกพืชแนวทางเกษตรอินทร์มากขึ้นด้วย ที่หวาดวิตกว่าหากปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ต้นจะทุนจะเพิ่มผลผลิตจะไม่งามนั้นตอนนี้ในบ้านเรามีเกษตรกรไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จในการทำนาข้าวปลูกผักแบบอินทรีย์ ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งสารเคมีแม้แต่นิดเดียว
ที่ถือว่าเป็นต้นแบบของชาวนาที่ไม่ใช้สารเคมีและประสบความสำเร็จอย่างมากคือ”วิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนอุ่มแสง(เกษตรทิพย์)”ที่ทำนาข้าวอินทรีย์ แปลงใหญ่ 20,000 ไร่ รวมพันธมิตรในเครือข่ายราวๆา1แสนไร่น่าจะเป็นนาข้าวอินทรีย์แปลงใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วย
วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้เริ่มก่อตั้งครั้งแรกในปี 47โดยมีผู้นำเป็นชาวบ้านธรรมดาๆที่ชื่อ“บุญมี สุระโคตร” ที่เริ่มสังเกตเห็นว่าการปลูกข้าวที่ใช้สารเคมีชาวนาเป็นหนี้เป็นสินมาล้นพ้นตัวแถมมีปัญหาเรื่องสุขภาพเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยๆ จึงคิดหาออกทางว่าจะทำยังไง
ในที่สุดคำตอบอยู่ที่การทำนาเกษตรอินทรีย์ จึงชักชวนคนที่มีอุดมการณ์คล้ายๆกันมาตอนแรกมีแค่47รายได้เงินลงขัน 6หมื่นกว่าบาทแต่ทุกวันนี้มีกว่า 1200ครอบครัวแล้วที่บอกว่าหากไม่ใช้สารเคมีต้นทุนจะเพิ่ม ผลผลิตไม่ดี นั้น ผมได้พูดคุยลุงบุญมี แกเล่าให้ฟังว่าการทำนาข้าวอินทรีย์ช่วย”ลดต้นทุนการผลิตข้าว”อย่างเห็นได้ชัด คนในหมู่บ้านก็มีสุขภาพดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้นผลผลิตข้าวก็งอกงามกว่าแต่ก่อนที่สำคัญข้าวสารอินทรีย์ขายได้ราคาดีกว่าข้าวสารที่ใช้สารเคมีตลาดต่างประเทศต้องการมากจนผลิตไม่ทัน แต่เกษตรกรต้องอดทนเมื่อทุกอย่างลงตัวคุมยิ่งกว่าคุ้ม
ลุงบุญมียังบอกอีกว่า หัวใจสำคัญจริงๆเกษตรกรจะต้องมีความรู้”เรื่องดิน” ว่าดินที่ทำอยู่นั้นมีแร่ธาตุหรือไม่ มีความอุดมสมบูรณ์แค่ไหน ถ้าไม่มีจะทดแทนอย่างไร หรือต้องมีความรู้เรื่อง”เมล็ดพันธุ”ทั้งสองอย่างนี้สัมพันธ์กัน
ทุกวันนี้ข้าวอินทรีย์ของอุ่มแสง ส่งขายต่างประเทศ 80% ตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่สหรัฐและ ยุโรปส่วนเอเชีย มีบ้างเล็กน้อยแต่ความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆที่เหลืออีก20% ขายในประเทศ ในอนาคตลุงบุญมีบอกว่าจะขายในประเทศมากขึ้นเพราะอยากให้คนไทยบริโภคข้าวปลอดสารเคมีมากๆส่วนยอดขายเท่าไหร่นั้นลุงบุญมีไม่ได้บอกแต่แอบรู้มาว่าปีนี้ใกล้ๆ100ล้านบาทโดยที่ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางในเมืองไทย ทำให้ไม่ต้องถูกกดราคา
ลุงบุญมียังเล่าอีกว่า ส่งออกอินทรีย์ข้าวในนามชุมชนฯนั้น เป็น”เสน่ห์การตลาด”อย่างหนึ่งเพราะฝรั่งเขารู้ว่าหากซื้อข้าวไปบริโภคแล้วเงินถึงมือเกษตรกรแน่ๆทุกวันนี้ที่อุ่มแสงไม่ได้ส่งออกข้าวอย่างเดียวยังแปรรูปสินค้าที่ต่อยอดจากข้าวส่ออกมากมายหลายชนิด
ความฝันของลุงบุญมีบอกว่า อยากทำให้ศรีษะเกษบ้านเกิดเป็น”มหานครแห่งเกษตรอินทรีย์”และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเกษตรอินทรีย์ เกษตรบริการ รองรับลุกค้าต่างประเทศที่ทุกวันนี้อยากมาเยี่ยมคนที่ปลูกข้าวให้เขากิน
ครับคงอีกไม่นานเกินรอ
ความเห็น 7
Pranom
หน่วยทางราชการได้สงเสริมเปิดเผยให้ประชาชนรู้หรือเปล่าเรื่องนี้
14 ต.ค. 2562 เวลา 05.56 น.
รถตู้™👼😁😂🍉🥭🍧🍨🏊
สงสารพ่อค้าคนกลางจูง
หากินกะชาวนามาหลายร้อยปี
มาวันนี้ชาวนาคงไม่หลงกลอีกต่อไป...
14 ต.ค. 2562 เวลา 04.12 น.
chAyA
ชื่นชมจากใจเลยค่ะ.. อยากเห็นทุกพื้นที่การเกษตรทั่วไทย มุ่งมั่น แก้ไขให้ได้แบบนี้จริงๆค่ะ"ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว"(ปลอดสาร)
14 ต.ค. 2562 เวลา 03.48 น.
Aung Czesc
ขออุดหนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์ด้วยคนค่ะ
14 ต.ค. 2562 เวลา 02.41 น.
ming@ta
คนพวกนี้ขยัน อดทน มุ่งมั่น และฉลาด ลองไปถามซิเค้าเล่นหวยกินเหล้ามั้ย เผลอๆ เค้าวัดวิปัสสนาด้วยซ้ำ
14 ต.ค. 2562 เวลา 02.10 น.
ดูทั้งหมด