การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 ส่งผลให้ เจ้านายฝ่ายใน หรือ เจ้านายสตรี สามารถสมรสกับสามัญชนได้ หลังจากนั้นจึงมี เจ้านายสตรี กราบบังคมทูลพระกรุณาขอลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อสมรสอย่างต่อเนื่อง “การแต่งงาน” ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมีหลายกรณีที่น่าสนใจ
การเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากแนวคิดประชาธิปไตย ที่ให้สิทธิและเสรีภาพแก่ทุกชนชั้นและทุกเพศมากขึ้น แม้ว่าเสรีภาพสำหรับเจ้านายผู้หญิงนั้นอาจต้องแลกกับฐานันดรศักดิ์อันสูงส่งก็ตาม บทความเรื่อง “บันทึกรักท่านหญิง : ความรักและการแต่งงานของเจ้านายสตรีหลัง พ.ศ. 2475” ของวีระยุทธ ปีสาลี ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม (มิถุนายน 2559) อธิบายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่าด้วยการแต่งงานไว้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็น เจ้านายสตรี แต่งงานกับเจ้านายฝ่ายหน้า, สามัญชน หรือคนต่างชาติ
แต่ก่อนจะพูดถึงการแต่งงานของเจ้านายสตรีที่เปลี่ยนแปลงไป อาจต้องทำความเข้าใจบริบทความรักและการแต่งงานของเจ้านายสตรีสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 วีระยุทธ บรรยายว่า การดำเนินชีวิตของเจ้านายผู้หญิงถูกกำหนดจากกฎมณเฑียรบาลประหนึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสม และบัญญัติบทลงโทษไว้ในกรณีที่ประพฤติผิดขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณี
ส่วนสาเหตุที่การเสกสมรสของเจ้านายผู้หญิงไม่เป็นที่นิยมก็เพราะว่า เจ้านายผู้หญิงต้องสมรสกับเจ้านายฝ่ายหน้า ที่มีฐานันดรศักดิ์สูงกว่าหรือเท่ากันเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าหญิง และพระองค์เจ้าหญิงมักสมรสไม่ได้ เว้นแต่ว่าได้สมรสกับกษัตริย์หรือเจ้านายพี่น้องชั้นที่ใกล้ชิดสนิทกัน ดังเช่นพระธิดาของพระอนุชาในรัชกาลที่ 5 เสกสมรสกับพระราชโอรสในรัชกาลที่ 5
แต่สำหรับ เจ้านายสตรี ที่ประทับอยู่นอกพระบรมมหาราชวัง ซึ่งมีกฎระเบียบไม่เคร่งครัดมากนัก ก็มีโอกาสขัดต่อกฎมณเฑียรบาลไปมีสามีที่สกุลต่ำกว่าได้ ดังที่เกิดขึ้นกับเจ้านายผู้หญิงชั้นหม่อมเจ้าและเจ้านายวังหน้าหลายพระองค์ อาทิ หม่อมเจ้าหญิงสวัสดิ์ ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านิลรัตน กรมหมื่นอลงกฎกิจปรีชา ซึ่งปรากฏข้อความในบันทึกเอกสารรัชกาลที่ 7 กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (ร.7 ค. 16/17) เรื่องหม่อมเจ้าหญิงสวัสดิ์ขอพระราชทานเงินเลี้ยงชีพ (27 ก.ค.-29 ส.ค. 2471) มีข้อความตอนหนึ่งว่า
“เมื่อยังสาวนั้นกระทำตนให้เป็นที่โปรดปรานของเจ้านายฝ่ายหน้าหลายพระองค์ ต่อมาได้ลดตัวลงคบกับนายฉันเปีย (ซึ่งภายหลังเป็นพระยาราชานุประพันธ์) จึ่งเกิดความขึ้น นายฉันเปียต้องรับพระราชอาญา”
ขณะที่เจ้านายผู้หญิงชั้นลูกหลวงและหลานหลวงบางพระองค์ถูกหมายมั่นให้เป็นพระภรรยาเจ้าของกษัตริย์ เพื่อผดุงพระเกียรติยศแห่งพระราชโอรสธิดา ตามแนวคิด “อุภโตสุชาติสังสุทธเคราหณี” หมายถึง การเป็นผู้บริสุทธิ์ มีชาติกำเนิดดีทั้ง 2 ฝ่าย กล่าวคือ มีบิดาและมารดาเป็นเจ้าด้วยกันทั้งคู่
ส่วนการหย่าร้าง อันเนื่องมาจากความล้มเหลวของการสมรสในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ยังไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่พระราชวงศ์
ความคิดเรื่อง “การแต่งงาน” ในหมู่เครือญาติของกลุ่มเจ้านาย เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อสยามได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตก ประกอบกับการที่เจ้านายบางพระองค์ได้เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศตะวันตก แล้วนำเอาแนวคิดเรื่องการแต่งงานและการเลือกคู่ครองมาเป็นแนวปฏิบัติกับตนเอง
เจ้านายบางพระองค์เริ่มตระหนักว่า การสมรสกันในหมู่พี่น้องนั้นเป็นเครื่องแสดงถึงความล้าหลัง อีกทั้งยังอธิบายด้วยเหตุผลทางการแพทย์สมัยใหม่ ส่วนเจ้านายผู้หญิงที่ได้รับการศึกษาจากโลกตะวันตกอย่าง หม่อมเจ้าฤดีวรวรรณ วรวรรณ ก็ตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ที่จะเสกสมรสกับผู้ชายที่ทรงรักเท่านั้น แม้เจ้านายรุ่นเก่าก็เริ่มคล้อยตาม และเปลี่ยนความคิดเรื่องการแต่งงานของเจ้านายผู้หญิงกับสามัญชน
แต่มโนทัศน์เหล่านี้ เป็นเพียงกรอบแนวคิดที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกรอบของกฎหมาย การแต่งงานระหว่างเจ้านายผู้หญิงกับสามัญชนยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หลังจากนั้น รัฐบาลคณะราษฎรก็ประกาศแก้ไขกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเสกสมรสของเจ้านาย
แต่ก่อนที่คณะราษฎรจะออกประกาศ “กฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสมรสพระราชวงศ์แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475” ย้อนกลับไปในช่วงก่อนหน้านี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงออกประกาศ “กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเสกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์” เมื่อ พ.ศ. 2461 เนื่องจากทรงพระราชดำริว่า การเสกสมรสของเจ้านายในพระราชวงศ์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนั้น บ้างก็นำความขึ้นกราบบังคมทูล บ้างก็กระทำการเสกสมรสกันเองโดยมิได้กราบบังคมทูล ทรงเกรงว่าจะกระทำไปอย่างไม่สมพระเกียรติยศ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎมณเฑียรบาลขึ้น
โดยมีใจความหลักคือ ให้เจ้านายในพระราชวงศ์ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป เมื่อจะเสกสมรสกับผู้ใด ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงจะกระทำการพิธีนั้นได้
เมื่อคณะราษฎรออกประกาศ “กฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสมรสพระราชวงศ์แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475″ ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2475 เพียง 1 เดือนครึ่งหลังการประชุมสภาครั้งแรก ใจความสำคัญที่เพิ่มเติมเข้ามาอยู่ในมาตรา 3, 4 และ 5 คือ
“มาตรา 3 พระราชวงศ์ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป ถ้าจะทำการสมรสกับผู้ใด ท่านว่าต้องนำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสียก่อน
มาตรา 4 เจ้าหญิงองค์ใด ถ้าจะทำการสมรสกับผู้อื่น ซึ่งมิใช่เจ้าในพระราชวงศ์ อันเป็นการไม่ต้องด้วยพระราชประเพณีนิยม ดังนั้นไซร้ ท่านว่าต้องกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์เสียก่อน
มาตรา 5 ถ้าพระราชวงศ์องค์ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 3 และมาตรา 4 ไซร้ ท่านว่าให้ถอดเสียจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์”
หลังจากประกาศแล้ว หม่อมเจ้าพรรณเพ็ญแข เพ็ญพัฒน์ พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒน์พงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม เป็นเจ้านายฝ่ายในพระองค์แรกที่ลาออกจากฐานันดรศักดิ์ เพื่อสมรสกับหม่อมราชวงศ์บรรลือศักดิ์ กฤดากร เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2475 และตามมาอีกหลายพระองค์
บทความของวีระยุทธ แบ่งลักษณะการแต่งงานของ “เจ้านายสตรี” หลังการออกประกาศ “กฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสมรสพระราชวงศ์แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475” เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ การแต่งงานกับเจ้านายฝ่ายหน้าดังเดิม การแต่งงานกับสามัญชน และการแต่งงานกับชาวต่างชาติ โดยทั้ง 3 ลักษณะแสดงให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมประเพณีการแต่งงานของเจ้านายผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงไปในโลกสมัยใหม่
การแต่งงานของเจ้านายสตรีกับเจ้านายฝ่ายหน้า
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ยังมีเจ้านายผู้หญิงบางส่วนแต่งงานกับเจ้านายฝ่ายหน้าเช่นเดิม ทำให้ไม่ต้องลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ แต่ที่น่าสนใจคือได้มีการเปลี่ยนแปลงขนบจารีตเกี่ยวกับการแต่งงานของชนชั้นเจ้านายบางประการ ตามบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป 2 ประการ คือ
ประการแรก เจ้านายผู้หญิงสามารถแต่งงานกับเจ้านายฝ่ายหน้า ที่มีพระอิสริยยศต่ำกว่าได้ เช่น สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเสกสมรสกับพระองค์เจ้าชาย ดังกรณี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสกสมรสกับ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช
ประการที่ 2 เจ้านายผู้หญิงสามารถแต่งงานกับเจ้านายฝ่ายหน้า ที่มีอายุน้อยกว่า และอยู่ในลำดับชั้นเครือญาติต่ำกว่าได้ เช่น หม่อมเจ้าหญิงที่มีฐานะอยู่ในชั้นอา แต่งงานกับหม่อมเจ้าชายชั้นหลาน ดังกรณีการเสกสมรสของ หม่อมเจ้าผ่องผัสมณี สวัสดิวัตน์ กับ หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ที่ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7
ข้อสังเกตที่น่าสนใจอีกประการคือ การเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ที่แต่เดิมในช่วงสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เจ้านายฝ่ายในมีโอกาสพบปะกับเจ้านายฝ่ายหน้าในงานพระราชพิธี งานเทศกาลประจำปี งานประกวดหรือออกร้านต่างๆ โดยมีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่คอยเป็นธุระเปิดโอกาสให้ได้พบพูดคุยกัน แต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว งานพระราชพิธีและงานเทศกาลประจำปีของเจ้านายเสื่อมความนิยมลง จึงเกิดพื้นที่ใหม่ให้เจ้านายฝ่ายในและเจ้านายฝ่ายหน้า รวมถึงราชนิกุลชายหญิง เช่น หม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวง ได้มาทำความรู้จักกัน นั่นคือ งานช่วยเหลือสังคม ที่รัฐบาลเป็นผู้จัดขึ้นตามวาระต่างๆ ที่สำคัญคืองานอาสาสมัครกาชาดที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อคราวเกิดสงครามอินโดจีนใน พ.ศ. 2482 ต่อเนื่องไปจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2484
เจ้านายและราชนิกุลหลายคู่ที่ได้รู้จักและแต่งงานกันในครั้งนั้น อาทิ หม่อมเจ้าเราหินาวดี ดิศกุล กับ หม่อมหลวงฉายชื่น กำภู และ หม่อมเจ้ากุมารีเฉลีมลักษณ์ ดิศกุล กับ หม่อมเจ้าเพลารถ จิตรพงศ์
ท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี กิติยากร (หม่อมเจ้าพันธุ์สวลี ยุคล) ก็ได้พบกับ หม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร ที่งานเลี้ยงสังสรรค์ในหมู่นักเรียนไทยในประเทศอังกฤษ จนเป็นจุดเริ่มต้นของสัมพันธภาพแห่งรัก
การแต่งงานของเจ้านายสตรีกับสามัญชน
เป็นอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ กล่าวคือ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้านายผู้หญิงที่ลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อสมรสกับสามัญชนนั้น ได้สมรสกับสามัญชนหลากหลายฐานะและอาชีพ เช่น ข้าราชการ แพทย์ ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ พนักงานบริษัท หรือแม้แต่ศิลปิน ซึ่งวีระยุทธ อธิบายว่า เป็นผลมาจากมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับชายหนุ่มนอกพระราชวงศ์มากขึ้น
การแต่งงานระหว่างเจ้านายผู้หญิงกับสามัญชน ส่วนใหญ่เป็นการแต่งงานระหว่างหม่อมเจ้าหญิงกับคนสามัญ ส่วนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าหญิง ที่แต่งงานกับสามัญชนมีเพียง พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทุรัตนา พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เพียงพระองค์เดียว
ผู้เขียนบทความยังตั้งข้อสังเกตว่า “นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เจ้านายผู้หญิงที่แม้ว่าจะเป็นเจ้านายชั้นสูงระดับเจ้าฟ้าก็ดูเหมือนว่าจะมีอิสระในเรื่องความรักความรู้สึกและการเลือกคู่ครองมากขึ้น นอกจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะจำนวนเจ้านายที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ จึงยากที่จะหาคู่ครองเป็นเจ้านายในระดับเดียวกันได้”
การแต่งงานของ “เจ้านายสตรี” กับชาวต่างชาติ
กรณีนี้ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสมัยแรกเริ่มประชาธิปไตย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีปรากฏการณ์ลักษณะนี้คือ เจ้านายผู้หญิงมีโอกาสเสด็จไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ มากกว่าที่จะเป็นการพบรักกันในประเทศไทย ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ หม่อมเจ้าอุบลพรรณี วรวรรณ
หม่อมเจ้าอุบลพรรณี วรวรรณ พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นเจ้านายผู้หญิงพระองค์แรก ที่ทรงเสกสมรสกับชาวต่างชาติ หลังจากที่ทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เพื่อเสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษใน พ.ศ. 2472
หม่อมเจ้าอุบลพรรณีทรงพบรักกับ นายแฮรี่ แครบบ์ พนักงานบริษัท Union Western Telegraph Ltd. ในระหว่างที่ประทับอยู่ในประเทศอังกฤษ ทั้งสองได้สมรสกันใน พ.ศ. 2477 โดยมิได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสียก่อน ถือว่าละเมิดกฎมณเฑียรบาล หม่อมเจ้าอุบลพรรณีถูกถอดออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ในเวลาต่อมา
อีกปรากฏการณ์คือ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเสกสมรสกับนายปีเตอร์ แลดด์ เจนเซน (Peter Ladd Jensen) ชาวอเมริกัน หลังจากนั้นได้เสด็จไปพำนักอยู่กับพระสวามีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงใช้ชีวิตสมรสแบบสามัญชนอยู่นานถึง 26 ปี และใน พ.ศ. 2541 ทรงประกาศหย่า และเสด็จกลับมาพำนักที่ประเทศไทยเป็นการถาวรใน พ.ศ. 2544
เรียกได้ว่า “การแต่งงาน” กับชาวต่างชาติเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้เจ้านายผู้หญิงในยุคประชาธิปไตยเผชิญโลกใหม่ เป็นการเปลี่ยนขนบธรรมเนียมที่สำคัญของเจ้านายในราชวงศ์ อย่างไรก็ตาม การแต่งงานข้ามวัฒนธรรมระหว่างเจ้าหญิงกับชายต่างชาติในช่วงนั้น ก็ยังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และคำครหามากกว่าเจ้าชายแต่งงานกับหญิงต่างชาติ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ สมรสกับ นางสาวคัทริน เดสนิตสกี (Catherine Desnitski) (หม่อมคัทริน ณ พิษณุโลก) สตรีชาวรัสเซีย) กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไป จึงพบเจ้านายผู้หญิงแต่งงานกับชาวต่างชาติมากขึ้น
อ่านเพิ่มเติม :
- พระดำรัสสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ต่อ “แคทยา” พระสุณิสาต่างชาติคนแรกก่อนตรัสขอแต่งงาน
- ปฏิวัติ 2475 ส่งผลต่อแนวคิด “ผัวเดียวหลายเมีย” และ “ความเสมอภาค” ของผู้หญิง อย่างไร?
- การศึกษา-ความรัก-อาชีพของ “เจ้านายสตรีไทย” หลัง 2475 ทำไมรุ่งยุคร.5 ซบเซาในร.6
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาจากบทความ “บันทึกรักท่านหญิง : ความรักและการแต่งงานของเจ้านายสตรีหลัง พ.ศ. 2475” เขียนโดย วีระยุทธ ปีสาลี ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับมิถุนายน 2559
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 19 มีนาคม 2562
ความเห็น 6
BW
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ
19 มี.ค. 2562 เวลา 17.09 น.
PIMNADA💚💚
แสดงให้เห็นว่าแม้แต่เจ้านายเองก็ยังไม่ชอบและเบื่อหน่ายกฎบ้าบอคอแตกที่ริบเรือนสิทธิของผู้คนไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นสูง
01 ก.ค. 2563 เวลา 08.04 น.
Nichapon
ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอ
01 ก.ค. 2563 เวลา 08.04 น.
tum
ไม่ชอบพวก ศักดินา
06 ก.พ. 2564 เวลา 05.41 น.
555. คนเราก็ กินขี้ปี้นอน นั่นแหละ คนพวกนี้เกิดมา ยิ่งมืด เพราะไม่เคยลำบาก. ก็เลยคิดแต่เรื่องกามารมย์
01 ก.ค. 2563 เวลา 07.58 น.
ดูทั้งหมด