“ปณิธาน” ชี้การสื่อสารกับนานาชาติ จำเป็นมากในภาวะสงคราม
วันนี้ (9 ธ.ค.2568) รศ.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์รายการมุมการเมือง ไทยพีบีเอส
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไทยเพลี่ยงพล้ำในการชิงความได้เปรียบบนเวทีนานาชาติแล้วหรือไม่ รศ.ปณิธานกล่าวว่า เรายังไม่ได้เปรียบในแง่พื้นที่อธิบายผ่านสื่อระหว่างประเทศ เช่น เรื่องของการพาดหัว แม้ว่าเนื้อหาของหลายสื่อมีรายละเอียดชัดเจนว่า กัมพูชาเปิดปฏิบัติการก่อน การตอบโต้ทางอากาศของไทย เป็นเพียงการตอบโต้ มีเพียงเนื้อหาสื่อภาษาอังกฤษของไทยเท่านั้น ที่ต่างจากสื่อนานาชาติอื่น
นักวิเคราะห์หลายประเทศ มุ่งเป้าไปยังภารกิจทางอากาศของไทยเป็นหลัก จุดนี้ต้องพยายามอธิบายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสำนักข่าวใหญ่ ๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นหน้าที่ของใครที่จะต้องสื่อสารไปยังสื่อนานาชาติ รศ.ปณิธานกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้สื่อสารไปแล้ว แต่บางประเด็นนั้นซับซ้อน และมีบางคำถามที่ กต.ไม่อาจตอบได้ เช่นถูกถามว่า จะติดต่อกับประธานาธิบดีสหรัฐฯหรือไม่ คำถามแบบนี้ กต.ย่อมไม่ตอบ
เมื่อถามว่า ในมุมของประชาชนตอนนี้ หลายคนรู้สึกว่า เราไม่จำเป็นต้องชี้แจงให้นานาชาติเข้าใจ อย่างนายกฯ บอกว่า เป็นเรื่องของสองประเทศ แต่ถ้าเราไม่อธิบายให้นานาชาติเข้าใจ เราจะเจอผลกระทบอะไรบ้าง
รศ.ปณิธาน กล่าวว่า ประเด็นแรกถูกต้องเลยว่า คนทั่วไปไม่มีความจำเป็นเท่าไหร่ ในการชี้แจงกับสื่อนานาชาติ กต.อาจสื่อสารกับทูตเป็นหลักก็ได้ และในทางการทหารก็สื่อสารกับทูตทหาร ประชาชนก็แลกเปลี่ยนความเห็นกับเพื่อนที่ต่างประเทศได้
การสื่อสารทางการเมือง เพื่อทำความเข้าใจโดยตรงกับสื่อต่างชาติ เป็นเรื่องจำเป็นที่สุดในภาวะสงครามแบบนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจต่อจุดยืนของไทย ในการปกป้องอธิปไตย ไม่ให้สถานการณ์บานปลาย เขามองว่าประเทศไทยได้เปรียบ ฉะนั้นต้องสื่อสารว่า เราจะไม่เกินเลยกว่าขอบเขตในการปกป้อง เท่านี้ก็พอ แต่ต้องสื่อสารโดยตรงกับฝ่ายการเมือง กระชับ ชัดเจน เพราะต่างชาติเขามองว่า ผู้ที่ตัดสินใจเรื่องนี้คือฝ่ายการเมือง ไม่ใช่ฝ่ายความมั่นคงที่ดูแลชายแดน
ผู้สื่อข่าวถามว่า อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เกิดชนวนการปะทะรอบนี้ เพราะเราก็เดินหน้าสันติภาพกันมาระยะหนึ่งแล้ว หลายคนเชื่อมโยงไปยังที่ประชุมออตตาวา หรือแม้แต่การมีบทบาทปราบสแกมเมอร์ของเรา
รศ.ปณิธานกล่าวว่า มีปัจจัยสำคัญที่น่าจะมีน้ำหนัก หรือกระตุ้นให้เขาชิงลงมือ ประการแรกเรากลับไปร่วมมือทำงานตามแนวชายแดนในบางรูปแบบ เช่น กู้ทุ่นระเบิด การปักปันหมุดชั่วคราว เรื่องเหล่านี้กัมพูชามองเห็นว่าเขาเสียเปรียบ ไทยได้สถาปนาความมุ่นคงตามแนวชายแดนได้มากขึ้น
ประการที่สอง ผู้นำกัมพูชาคงมองเห็นถึงความแปรปรวนทางการเมืองในไทย สถานการณ์อุทกภัย สแกมเมอร์ที่ซับซ้อน เกิดความกดดันทั้งสองฝ่าย
ประเด็นสุดท้าย ความเพลี่ยงพล้ำในเวทีนานาชาติก็สำคัญ การเปิดโปงเขา แม้เราไม่ได้กดดันให้มีคณะกรรมการอิสระ
เมื่อถามว่า ฮุนเซ็นโพสต์เรื่องส่วนตัวเพราะอะไร รศ.ปณิธานกล่าวว่า เขาต้องการให้การกดดันกัมพูชา ลดลงในหลายรูปแบบ ทั้งชายแดนและสแกมเมอร์ ฉะนั้นเป้าของการทำให้ผู้นำไทยตัดสินใจแปรปรวนก็เป็นเป้าสำคัญ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในทางการทูตถือว่าชกใต้เข็มขัดหรือไม่ รศ.ปณิธานกล่าวว่า ในทางการทูตแบบไม่เป็นทางการ ไม่ยอมรับกัมพูชาอย่างมากในเรื่องนี้ หลายประเทศอาเซียนก็เคยมีความเห็นที่ชัดว่า วิธีแบบนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ ปฏิเสธวิธีใต้เข็มขัดแบบนี้ ในทางการเมืองในอนาคตเป็นไปได้ว่า อาจมีการกดดันกัมพูชา
เมื่อถามว่า นักการทหารไม่กังวลสมรภูมิชายแดน แต่ในมุมอาจารย์มองว่า ไทยต้องเดินเกมแบบไหน ถึงจะชนะในสมรภูมิระดับโลกด้วย
รศ.ปณิธาน กล่าวว่า มีความกังวลบางส่วนว่า เราสามารถครองอากาศได้ก็จริง แต่ในพื้นที่สู้รบยังมีทหารกัมพูชาที่ชำนาญรบกลางคืน ต้องดูความเป็นจริงในพื้นที่ แม้เราจะครองพื้นที่ยุทธศาสตร์สูงข่มในหลายจุด จนเริ่มผลักดันได้ ต้องดูต่อไปว่า กำลังพลของเขาจะถอยจริงหรือไม่
ส่วนในเวทีนานาชาติจะมีการแทรกแซงมากขึ้น เป็นความแปรปรวนของทุกสมรภูมิ นักบินโดรนน่าจะมีผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเข้ามา
เมื่อถามว่า เรียกว่าเราอยู่ในภาวะสงครามได้หรือยัง รศ.ปณิธานกล่าวว่า ในทางปฏิบัติเข้าสู่ภาวะสงครามตั้งแต่แรกแล้ว มีกำลังทหารปะทะกัน มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เข้าภาวะสงครามโดยปริยาย
ปฏิกิริยาจากนานาชาติก็ตอบรับในทางเดียวกันว่า เกิดสถานการณ์สงครามขนาดเล็กตามแนวชายแดน และมีทิศทางบานปลายขยายตัว ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ว่าจะควบคุมสถานการณ์ด้วยการยกระดับปฏิบัติการระบุสภาวะให้ชัดขึ้น เพื่อประกอบกำลัง เบิกจ่ายงบประมาณเป็นระบบ
เรียบเรียง : อุรชัย ศรแก้ว ผู้สื่อข่าวการเมือง ไทยพีบีเอส
อ่านข่าว : ทหารไทยใช้ปืน ค. ตอบโต้กัมพูชา ยิง BM-21