โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

อาชญากรรม

แก้ 2 เงื่อนไขนี้ ลด(ส่ง)ส่วยได้ ไม่ต้องดิ้นรนหาซื้อความมั่นคงอาชีพตร.

เดลินิวส์

อัพเดต 09 พ.ย. เวลา 11.49 น. • เผยแพร่ 09 พ.ย. เวลา 04.00 น. • เดลินิวส์
ยังต้องติดตามใกล้ชิดและจับตาต่อเนื่อง ทั้งกระบวนการสะสางข้อกล่าวหาตามขั้นตอนกฎหมาย และกระแสภาคประชาชนที่ต้องยอมรับว่าความเชื่อมั่นต่อตำรวจ กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนัก

"ตำรวจไม่ใช่ศัตรูของประชาชน แต่เป็นระบบที่ต้องปฏิรูปอย่างถึงราก ทุกวันนี้เราชินกับความชั่วจนไม่รู้ว่ามันผิด พอเห็นตำรวจเก็บส่วยจากตู้แดง โรงแรม หรือคนทำมาหากินก็เฉย คิดว่าเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่เข้าข่ายผิดมาตรา 149 โทษถึงประหารชีวิต"

“สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือ อย่าเฉยกับความผิด อย่ายอมรับว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะความชั่วที่สังคมยอมรับ คือภัยเงียบที่ทำลายประเทศได้ร้ายแรงที่สุด”

เป็นมุมมองของ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ที่สะท้อนฝากประชาชนท่ามกลางกระแสสั่นสะเทือน จากข้อกล่าวหา “ส่วยตำรวจ” ในขณะนี้

“ทีมข่าวอาชญากรรม” มีโอกาสสอบถามในฐานะอดีตตำรวจ ถึงจุดเริ่มต้นการปฏิรูปตำรวจ ควรเริ่มจากจุดไหน พ.ต.อ.วิรุตม์ มองควรเริ่มจากระบบสอบสวน เพราะคือหัวใจของความยุติธรรม ถ้าไม่มีคดี ไม่มีอายัดทรัพย์ ไม่มีการดำเนินคดีฟอกเงินแล้ว ทุกอย่างจะวนซ้ำไปเรื่อย ๆ สื่อเองก็มีบทบาทสำคัญ ต้องช่วยตรวจสอบ อย่าไปเป็นพวกเดียวกับเขา เปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรู้ ความจริงจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ “ตำรวจขัดแย้งกันเอง” เพราะเมื่อเป็นพวกเดียวกัน ความจริงจะไม่มีวันถูกเปิดเผย

การจะฟื้นความเชื่อมั่น ย้ำว่าหากไม่ปฏิรูปใหญ่ จะไม่มีทางฟื้นได้เลย เพราะประชาชนแทบไม่เชื่อถือแล้ว แม้แต่ ผบ.ตร.เองที่บางครั้งยังหลบเลี่ยงตอบคำถามสื่อ อ้าง “เป็นความลับในสำนวน” กรณีที่มีข้อมูลโยงถึงนายตำรวจระดับสูงกว่า 200 นาย ก็ยังไม่มีใครถูกพักราชการ หรือเปิดเผยชื่อ ทุกคนยังทำงานตามปกติ ปล่อยให้ประชาชนเดาเอาเอง ตั้งคำถามกลับว่าแล้วจะให้ศรัทธากลับมาได้อย่างไร

ชี้ทางออกส่วย เชิงโครงสร้าง”

เริ่มจากให้อัยการมีอำนาจควบคุมการสอบสวนในคดีสำคัญตั้งแต่ต้นเหตุ เช่น คดีฆาตกรรม หรือคดีที่ตำรวจไม่รับคำร้องทุกข์ ตำรวจที่ละเว้นหน้าที่ต้องถูกลงโทษจริง และควรปรับโครงสร้างให้ “ตำรวจขึ้นกับจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมีอำนาจสั่งการและตรวจสอบได้ เช่นเดียวกับกรุงเทพฯ ที่ควรให้ “ผู้ว่าฯ กทม.” ดูแล “ตำรวจนครบาล” โดยตรง เพราะทุกวันนี้เกิดปัญหาความรับผิดชอบซ้ำซ้อน เช่น จราจรติด ผู้ว่าฯ ก็บอกไม่ใช่อำนาจตน ผบช.น. ก็เข้าถึงยาก ไม่มีใครรับผิดชอบตรง ๆ

อนาคตควรมีหน่วยงานอิสระเทียบป.ป.ช.ปิดช่องผลประโยชน์?

เป็นแนวคิดที่ดี แต่ต้องทำอย่างรอบคอบ การกระจายอำนาจจะช่วย “ลด” การส่งส่วยได้มากกว่าครึ่ง แต่ต้องแก้ 2 เงื่อนไขใหญ่ของระบบนี้ก่อน คือ การโยกย้ายแต่งตั้งที่ไม่เป็นธรรม และ การลงโทษแบบระบบทหาร

“ตำรวจส่วนใหญ่ส่งส่วยเพราะถูกย้าย หรือกลัวถูกจับผิดทางวินัย ถ้าไม่มี 2 เงื่อนไขนี้ การส่งส่วยจะลดลงเอง ควรกำหนดหลักเกณฑ์แต่งตั้งให้โปร่งใสและชัดเจน เหมือนวงการผู้พิพากษาและอัยการ ซึ่งไม่มีระบบส่วย เพราะทุกอย่างตรวจสอบได้”

สุดท้าย พ.ต.อ.วิรุตม์ แนะต้องทำให้ตำรวจเป็นระบบพลเรือน ไม่ใช่ระบบทหาร เพราะตำรวจคือฟังก์ชันของรัฐในการรักษาความสงบ ไม่ใช่เครื่องมือของผู้บังคับบัญชา และต้องยอมรับว่า “ตำรวจแห่งชาติ” ไม่ใช่ตำรวจทั้งหมดของประเทศ ยังมีตำรวจศาล ตำรวจสภา ที่ทำหน้าที่โดยไม่อยู่ใต้ระบบส่วย

รอดอย่างไร วังวนส่วยกดดันให้ตามน้ำ

ต้องวัดเอาว่าจะติดคุกหรือเปล่า เพราะระบบตรวจสอบ–สอบสวนคดีอาญาในปัจจุบันยังไม่เป็นอิสระ คนที่รับส่วยมักเป็นคนมีอำนาจสอบสวนอยู่ในมือ ใครจะมากล่าวโทษเขา เพราะเขาเป็นคนทำสำนวนเอง พอเราพูดเรื่องตำรวจรับส่วย แล้วไปร้องเรียนให้ใครสอบ ก็ต้องร้องกับผู้บังคับบัญชา, ผู้การ, ผู้บัญชาการ หรือแม้แต่ ผบ.ตร.เอง ซึ่งคณะรับเรื่องที่ตั้งไว้ก็ไม่ได้ทำหน้าที่เข้มแข็งจริงจัง รับเฉพาะบางเรื่อง และกว่าจะ “ชี้มูล” ออกมาก็เกือบปี อย่างกรณีล่าสุด

อาชญากร-ระบบอุปถัมภ์ ใครคือศัตรูแท้จริงองค์กร

พ.ต.อ.วิรุตม์ มองสิ่งที่เรียกว่าอุปถัมภ์แท้จริง คือ การทุจริต แต่สังคมชอบใช้คำนี้เหมือนให้ยอมรับได้ว่ามี “ระบบอุปถัมภ์” เป็นกับดักทางความคิด ที่ชินมาตั้งแต่ก่อนปี 2475 ที่ยังเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่นำลูกตัวเองมาเป็นข้าราชการหรืออุปถัมภ์กันยังไงก็ไม่ผิด

“แต่วันนี้เรามีประชาธิปไตย มีกฎหมาย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ หากมีการนำคนเข้ามาเป็นตำรวจโดยไม่สอบแข่งขัน คือทุจริตทั้งสิ้น เพราะลูกชาวบ้านต้องสอบเข้า แต่บางคนกลับบรรจุได้โดยไม่ต้องสอบ แลกกับเงินหรือผลประโยชน์เบื้องหลัง นั่นคือข้อเท็จจริงในวันนี้

ย้ำทิ้งท้ายต้องรื้อระบบให้ตำรวจเป็น “ระบบพลเรือน” ไม่ใช่ระบบทหารอย่างที่เป็น เพราะตอนนี้ผู้บังคับบัญชามีอำนาจลงโทษได้ง่าย จับผิดได้ทุกเรื่อง ทำให้ตำรวจชั้นผู้น้อย “กลัว” จึงต้องส่งส่วย เพื่อไม่ให้ถูกย้ายหรือโดนลงโทษ

“ถ้าเรากำหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งโยกย้ายให้ชัดเจนและเป็นธรรม เหมือนระบบผู้พิพากษาหรืออัยการ ปัญหาส่วยจะลดลงมาก เพราะคนไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องหาทางซื้อความมั่นคงให้ตัวเอง” พ.ต.อ.วิรุตม์ ระบุ.

ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...