โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

โพลชี้ชัด!! คะแนนเสียง "ไม่นิ่ง" คนไทยเลือกพรรคที่แก้เศรษฐกิจจริงและเข้าใจ ปชช.มากที่สุด

สยามรัฐ

อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา

">

ซูเปอร์โพล เผยคะแนนเสียง “ยังไม่นิ่ง” คนไทยเลือกพรรคที่เข้าใจประชาชนมากกว่านโยบายสวยหรู

วันที่ 7 ธ.ค.68 สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลการสำรวจ เรื่อง "โพลเลือกตั้งพรรคการเมือง ใจคนยังไม่นิ่ง" จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,085 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 3 - 6 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา

สำนักวิจัยซูเปอร์โพลเผยให้เห็นภาพรวมของสังคมไทยในห้วงเวลาทางการเมืองที่เปราะบางและเปลี่ยนแปลงเร็วอย่างยิ่ง การสำรวจครั้งนี้มิได้สะท้อนเพียง "คะแนนนิยมของพรรคการเมือง" หากแต่สะท้อนสภาพจิตวิทยาทางสังคม เศรษฐกิจ และโครงสร้างความคิดทางการเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้นท่ามกลางกระแสข้อมูลข่าวสารที่หมุนเร็วและความไม่มั่นใจต่ออนาคตของประเทศ ผลลัพธ์ของโพลชุดนี้จึงบ่งบอกความเป็นจริงสำคัญอย่างหนึ่งว่า แม้ประชาชนจำนวนมากจะมีพรรคที่ "ชอบ" อยู่แล้ว แต่ใจของเขาเหล่านั้นกลับไม่เคยนิ่งและพร้อมจะขยับไปตามผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ เม็ดเงินที่ถึงมือประชาชน ความช่วยเหลือเยียวยา ข้อเสนอเชิงนโยบายใหม่ ๆ แบรนด์ทางการเมืองใหม่ ๆ หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

รายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า เมื่อตรวจสอบการรับรู้ด้านเศรษฐกิจของประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดการตัดสินใจทางการเมืองในปัจจุบัน พบว่า พรรคภูมิใจไทยได้รับการระบุว่า "กระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีที่สุด" สูงถึง 72.8% ตามด้วยพรรคเพื่อไทยที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกันคือ 69.2% ขณะที่พรรคประชาชนตามมาในระยะห่างที่มากกว่า คือ 42.3% ตัวเลขทั้งสามชุดนี้บ่งชี้ชัดเจนว่าประชาชนกำลังใช้ "ผลงานด้านเศรษฐกิจ" เป็นเข็มทิศสำคัญของความเชื่อมั่นทางการเมือง การที่สองพรรคใหญ่ได้รับคะแนนสูงเกือบเท่ากัน สะท้อนการแข่งขันด้านนโยบายเศรษฐกิจที่เข้มข้นและการช่วงชิงพื้นที่ในจิตใจคนไทยอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี การที่ประชาชนร้อยละ 68.2 ระบุว่ามีพรรคการเมืองที่ชอบแล้ว ไม่ได้หมายความว่าการตัดสินใจนั้นถูกปิดผนึก ตรงกันข้าม การที่ยังมีอีก 31.8% ที่ "ยังไม่มีพรรคที่ชอบ" สะท้อนขนาดอันใหญ่โตของกลุ่มคะแนนลอยตัว (floating votes) ซึ่งเป็นกลุ่มที่พร้อมจะเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ และแม้ผู้ที่มีพรรคในใจก็ยังมิได้มั่นคงอย่างแท้จริง เพราะเมื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ในการ "เปลี่ยนใจในอนาคต" ถึง 70.6% ของประชาชนระบุชัดว่าตนเอง "อาจเปลี่ยนใจไปเลือกพรรคใหม่ได้" ขณะที่มีเพียง 29.4% เท่านั้นที่หนักแน่นว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง สัดส่วนนี้คือหลักฐานสำคัญของภาวะทางการเมืองแบบใหม่ - ภาวะที่คะแนนเสียงเคลื่อนที่สูง ความเชื่อมั่นผันผวน และประชาชนพร้อมจะโยกย้ายจุดยืนเมื่อพบข้อเสนอหรือนโยบายที่ตอบโจทย์ชีวิตของพวกเขาอย่างแท้จริง

ที่น่าสนใจคือ เมื่อมองโครงสร้างความคิดเชิงอุดมการณ์ พบภาพที่น่าสนใจยิ่งกว่า ประชาชนเพียง 20.6% ที่จัดตัวเองอยู่ในกลุ่มพรรคแนวเสรีนิยม ขณะที่ 38.9% ระบุว่ามีแนวคิดโน้มไปทางอนุรักษ์นิยม แต่กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดกลับมิใช่สองขั้วนี้ หากเป็นกลุ่มที่ "อยู่กลาง ๆ" สูงถึง 40.5% ตัวเลขนี้สะท้อนการลดลงของความคิดแบบแบ่งขั้วและการผงาดขึ้นของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับ "นโยบายที่ทำได้จริง" มากกว่าอุดมการณ์หรือวาทกรรมทางการเมือง พรรคการเมืองใดสามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มกลางนี้ด้วยข้อเสนอที่มีเหตุผลและแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม ย่อมมีโอกาสคว้าคะแนนเสียงจำนวนมากในช่วงเวลาสำคัญก่อนวันเลือกตั้ง

ที่น่าพิจารณา คือ เมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาสังเคราะห์ร่วมกัน จะเห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าความไม่นิ่งของคะแนนเสียงมิได้เกิดจากความลังเลเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากบริบททางเศรษฐกิจที่บีบคั้น ความเร็วของข้อมูลข่าวสารที่ทำให้ทัศนคติเปลี่ยนแปลงได้ภายในเวลาไม่นาน และความต้องการ "ความหวังรูปธรรม" ของประชาชนในช่วงเวลาที่พวกเขารู้สึกว่าประเทศกำลังอยู่บนทางแยกสำคัญ ผลสำรวจชุดนี้สะท้อนว่าประชาชนพร้อมจะขยับตามพรรคที่เสนอทางแก้ปัญหาปากท้องได้จริง เชื่อมโยงนโยบายเข้ากับชีวิตประจำวัน และสื่อสารอย่างตรงประเด็น เข้าใจง่าย และน่าเชื่อถือ

รายงานของซูเปอร์โพล ระบุด้วยว่า ในมุมเชิงนโยบาย พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องกลับไปทบทวนยุทธศาสตร์ของตนอย่างจริงจัง เพราะคะแนนนิยมในเวลานี้มิใช่การต่อสู้ของ "พรรคใดพรรคหนึ่ง" หากเป็นการต่อสู้ของ "ความเชื่อมั่น" ที่ประชาชนมีต่อผู้ที่สามารถทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้อย่างจับต้องได้ พรรคใดที่ยังสื่อสารเชิงภาพลักษณ์โดยไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจน จะถูกกลืนหายไปในยุคของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่พร้อมจะเปลี่ยนใจถึงกว่าเจ็ดในสิบคน การเมืองไทยจึงกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคใหม่ที่พรรคจะต้องยืนบนฐานของข้อมูล นโยบายที่พิสูจน์ได้ และการสื่อสารที่จับหัวใจของประชาชนจริง ๆ มิใช่เพียงการประกาศสัญญาที่ลอยอยู่บนอากาศ

ท้ายที่สุด ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า หัวใจของการเลือกตั้งในปีนี้ ไม่ใช่การช่วงชิงอุดมการณ์ แต่เป็นการช่วงชิงความหวังของประชาชน พรรคใดเข้าใจประชาชนได้ลึกกว่า มองเห็นความกังวลด้านเศรษฐกิจได้ชัดกว่า และเสนอทางออกที่ตรวจสอบได้มากกว่า พรรคดังกล่าวจะสามารถเปลี่ยน "ใจที่ยังไม่นิ่ง" ให้กลายเป็น "คะแนนเสียงที่มั่นคง" ได้ในที่สุด และจะเป็นผู้ขับเคลื่อนทิศทางอนาคตของประเทศหลังการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญที่สุด

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...