ต้นไม้จากพระหัตถ์รัชกาลที่ 9 มรดกแห่งร่มเงาและพระเมตตา
ทรงริเริ่มโครงการพระราชดำริปลูกป่านานัปการ รวมทั้งพระราชทานพันธุ์ไม้เพื่อปลูกทั่วประเทศ ฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับมาสมบูรณ์อย่างยั่งยืน และเป็นแบบอย่างของการปลูกจิตสำนึกของราษฎรในพื้นที่ให้ตระหนักถึงการให้ความสำคัญกับอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ดังปรากฏในพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า
“ควรจะปลูกต้นไม้ในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง”
ประกอบกับทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ พระองค์จะทรงปลูกต้นไม้ไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งจิตใจ พสกนิกรทุกหมู่เหล่าต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ และน้อมนำพระราชดำรัสนี้มาเป็นหลักในการสร้างจิตสำนึกหวงแหนทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งในหนังสือต้นไม้ทรงปลูกในรัชกาลที่ 9 จัดทำโดยกรมป่าไม้ ออกสำรวจรวบรวมข้อมูลต้นไม้ทรงปลูกในรัชสมัยของพระองค์ที่กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตั้งแต่พุทธศักราช 2499 จนถึงพุทธศักราช 2545 นับเป็นบันทึกสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ในการสืบค้นเรื่องราวของพระราชกรณียกิจในห้วงเวลานั้น ซึ่งปัจจุบันต้นไม้ทรงปลูกเจริญเติบโตอยู่ในพื้นที่สถานที่ราชการ ศาสนสถาน สถาบันการศึกษา และหน่วยงานต่าง ๆ สื่อความหมายลึกซึ้ง ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์ประจำสถาบัน อาทิ ทรงปลูกต้นหางนกยูงฝรั่ง ณ บริเวณด้านหน้าหอประชุมใหญ่ จำนวน5 ต้น เมื่อปี พ.ศ.2506 พร้อมพระราชทานเป็นต้นไม้สัญลักษณ์ของสถานศึกษา โดยดอกสีเหลืองแดงเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบทเพลงพระราชนิพนธ์ ยูงทอง เพื่อเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2517 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรบ้านดอนขุนห้วย และเสด็จฯ ไปยังวัดดอนขุนห้วย จังหวัดเพชรบุรี โอกาสนี้ ทรงปลูกต้นมะม่วงพันธุ์อกร่องทอง โดยมีหลวงพ่อเนียน สุทันโต อดีตเจ้าอาวาส เข้าเฝ้าฯ และกราบบังคมทูลขอพระราชทานชื่อวัดเพื่อความเป็นสิริมงคล ในการนี้มีพระราชดำรัสตอบหลวงพ่อเนียน สุทันโต ความตอนหนึ่งว่า “เพิ่งปลูกมะม่วงเสร็จเดี๋ยวนี้ ก็ให้ชื่อวัดไร่มะม่วง”
รวมทั้ง เมื่อครั้งทรงติดตามความก้าวหน้า การดำเนินงานในพื้นที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ในการนี้พระราชทานบ๊วยไต้หวันแก่ศูนย์ฯ ทดลองปลูกเพื่อขยายผลเป็นพืชที่ใช้ปลูกทดแทนฝิ่น และทรงปลูกต้นบ๊วยไต้หวันไว้เป็นที่ระลึก แม้แต่จังหวัดที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีสมโภชขึ้นระวางพระเศวตสุรคชาธาร และเสด็จฯ ไปยังศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน จ.ยะลา ทรงปลูกต้นปาล์มน้ำมันไว้เป็นที่ระลึกด้วย
อีกทั้ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปลูกต้นนนทรี จำนวน 9 ต้น ณ บริเวณหน้าอาคารหอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และทรงดนตรี ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นครั้งแรก ในการนี้มีพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า
“ขอพูดอะไรสักหน่อย วันนี้ที่ได้รับเชิญให้มาปลูกต้นไม้ ก็ทำให้คิดว่า การปลูกต้นไม้ก็จำเป็นจะต้องเลือกว่าต้นอะไรจึงจะดี เหมาะสำหรับมหาวิทยาลัย ต้นไม้อะไร ๆ ก็สีเขียว ต้นนนทรีที่เลือกเป็นต้นไม้ของเกษตร ก็เหมาะสมที่มีสีเขียวด้วย เหมาะมาก และน่ายินดีมาก ที่ต้นนนทรีนั้นปลูกได้ทั่วทุกแห่งของไทย เพราะทนแล้ง ทนแดดได้ นี่เป็นความหมายที่ดี เพราะคนไทยถ้าปลูกในแผ่นดินไทย ก็เติบโตดีและเจริญดี ต้นไม้ต้องมีดิน จึงจะเจริญได้ดี ถ้าเอาไปใส่ในกระถางหรือเอาไปปลูกในน้ำ หรือปลูกในน้ำยาคุณภาพดี ๆ จากต่างประเทศ ก็จะหงอยอยู่ไม่ได้ เขาต้องการดิน
ขอฝากต้นไม้นี้ให้มหาวิทยาลัยและนิสิตช่วยกันรักษาให้ดี อย่าให้หงอย ขอฝากนิสิตทั้งหลายขอให้ช่วยกันรักษาตัวเองให้ดี และอย่าลืมว่าตัวเองนั้นจะอยู่กันได้ ก็ด้วยแผ่นดินไทย ขอให้ช่วยกันรักษาแผ่นดินไทยไว้ด้วย คนไทยถ้าไร้แผ่นดินก็จะหงอยกันหมด อยู่กันไม่ได้ เราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น”.