เมษา พฤษภา 2553 บาดแผลจากถนนราชดำเนิน ตกค้างมายังแยกราชประสงค์
ยุทธการแดงเดือด
เมษา พฤษภา 2553
บาดแผลจากถนนราชดำเนิน
ตกค้างมายังแยกราชประสงค์
บทที่ 3 ของหนังสือ “ความจริงเพื่อความยุติธรรม : เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 53” ซึ่งดำเนินการโดย “ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เมษายน-พฤษภาคม 2553” (ศปช.)
เป็น “ข้อเท็จจริงและการเสียชีวิตและความรุนแรง พฤษภา 53” เริ่มต้นในการให้ภูมิหลังสั้นๆ
ปลายเดือนเมษายนต่อเนื่องถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2553 กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ซึ่งยังปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ถูกโจมตีอย่างหนัก
สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่นายพายัพ ปั้นเกตุ นำการ์ด นปช.ไปบุกค้นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เมื่อวันที่ 29 เมษายน
โดยอ้างว่า เห็นทหารแอบซุ่มอยู่ภายในอาคารของโรงพยาบาล
จนเป็นเหตุให้โรงพยาบาลตอบโต้ด้วยการปิดโรงพยาบาลชั่วคราวและขนย้ายผู้ป่วยออกไป
นอกจากนี้ ในวันที่ 1 พฤษภาคม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อทรงเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราช ที่ยังคงรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลจุฬาฯ เพียงพระองค์เดียว
และทรงรับสั่งให้ย้ายสมเด็จพระสังฆราชไปยังโรงพยาบาลศิริราชเพื่อความปลอดภัย
แท้จริง สถานการณ์ระหว่าง “คนเสื้อแดง” กับ “ศอฉ.” ตึงเครียดเป็นอย่างสูงนับแต่การปะทะหลั่งเลือดพลีชีพในคืนวันที่ 10 เมษายนมาแล้ว
เป็นความต่อเนื่องจาก “ถนนราชดำเนิน” มายัง “แยกราชประสงค์”
จะเข้าใจสถานการณ์และความตึงเครียดที่เข้มข้นมากเป็นลำดับต้องเริ่มจากการเคลื่อนไหวที่เป็นจริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางด้านของ “รัฐบาล” และ “กองทัพ”
เห็นได้จากวันที่ 15 เมษายน 2553 ศอฉ.เรียกนักธุรกิจจำนวน 50-60 คนให้มารายงานตัว
สอบถามเกี่ยวกับการให้ความสนับสนุนม็อบคนเสื้อแดง
วันที่ 16 เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งกำลังจู่โจมเข้าจับตัวแกนนำ นปช. 6 ราย แต่คว้าน้ำเหลว
คืนวันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงคำสั่งเพิ่มบทบาท พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกในการรับผิดชอบศูนย์อำนวยการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อกระชับสายการบังคับบัญชาให้สั้นลง
หากอ่าน “ลับ ลวง เลือด” ของ วาสนา นาน่วม ก็จะเข้าใจในเส้นสนกลใน
ครั้งหนึ่ง ก่อนหน้า 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์เคยปฏิเสธข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ที่จะให้ยึดพื้นที่ราชประสงค์คืนว่า “ทำไม่ได้” เพราะจะเกิดการสูญเสีย “ทั้งเศรษฐกิจ ทรัพย์สินและชีวิตของทั้งสองฝ่าย”
แต่เห็นว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ไม่ใช่แก้ด้วยการทหาร
หลัง 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์ถึงขั้นให้สัมภาษณ์ว่า “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” พร้อมทั้งเสนอให้ยุบสภา อีกทั้งยืนกรานว่าทหารไม่ได้ “หน่อมแน้ม อ่อนแอหรือเกียร์ว่าง”
แต่ “ประเสริฐสุดยอด” ที่ไม่ยิงประชาชน
จึงถูกนายกรัฐมนตรีผู้ดีสั่งสอนด้วยการมัดมือชกให้มีหน้าที่ในการแก้ปัญหาม็อบเสื้อแดงด้วยตนเองโดยตรง ที่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ พล.อ.อนุพงษ์ไม่ยอมใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุม
ตามที่นายอภิสิทธิ์ต้องการมาตลอด
วาสนา นาน่วม ระบุต่อไปใน “ลับ ลวง เลือด” ว่า “ความรู้สึกที่ผู้นำฝ่ายบริหารกับผู้นำกองทัพมีต่อกันก็ปรากฏชัด เมื่อนายอภิสิทธิ์ลากจูง พล.อ.อนุพงษ์มาออกรายการ” เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์
พร้อมทั้งใช้โอกาสนี้ทั้งข่มและเล็กเชอร์ขบ ผบ.ทบ.อย่างแรงทั้งๆ ที่เป้าหมายน่าจะอยู่ที่การลาก พล.อ.อนุพงษ์มาผูกมัดหน้าจอทีวีว่า
จะสลายการชุมนุม
“ทุกคนเข้าใจดีว่า เจ้าหน้าที่คือเรื่องสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง คือ เรื่องผลประโยชน์ของชาติและปกป้องสถาบันหลักของชาติ ส่วนเรื่องการเมืองตรงนี้ท่านก็ไม่ต้องมาเกี่ยว
การเมืองก็แก้ด้วยการเมืองท่านก็จะไม่ควรจะเกี่ยว
นี่คือบทบาทกองทัพที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ เพราะผมก็พยายามไปเจรจา มาสองรอบแล้ว
ปัจจุบัน ก็มีหลายกลุ่มเยอะแยะที่เสนอก็ไม่เคยปฏิเสธการจะหาคำตอบทางการเมือง แต่ต้องเข้าใจว่าการหาคำตอบทางการเมืองต้องไม่สร้างบรรทัดฐานทางการ เมืองว่าต่อไปนี้การใช้การก่อการร้าย ความรุนแรง การข่มขู่คุกคามนำไปสู่คำตอบทางการเมือง
ผมทำเพื่ออนาคตสังคม อนาคตประชาธิปไตย ไม่ใช่เพื่อตัวผม
ถ้าผมทำแล้วหยุดเพราะไม่ต้องการให้เป็นบรรทัดฐานของสังคม คนจำนวนมากก็ออกมาชุมนุมอย่างยุบสภาไม่ใช่เพราะรักนายอภิสิทธิ์ แต่เห็นว่าสังคมไทย ประชาธิปไตยจะจำนนต่อการคุกคามไม่ได้
ข้อเรียกร้องทางการเมืองมีหลายครั้งที่บอกว่าไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย ยุบสภา ลาออก ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย
มันไกลกว่านั้น
การครองอำนาจรัฐไกลกว่าว่าเพื่ออะไร แก้ปัญหาให้ใคร ไกลกว่านั้น มีการพูด เรื่องรัฐไทยใหม่
มีกระบวนการที่กระทบสถาบันหลักของชาติ
ย้ำความมั่นคง การเมืองและฝ่ายประจำก็แก้ไข ปัญหาการเมืองก็ต้องแก้ไข ไม่ใช่แก้ด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์สงบลงแล้วจะไม่หาคำตอบทางการเมือง ไม่ใช่ยังไงก็ต้องมีคำตอบทางการเมือง ไม่ใช่ว่ายุบสภากันเมื่อใด เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย
ในทางกลับกัน มีคำตอบทางการเมืองแล้ว จะปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวรุนแรง การก่อการร้ายและการใช้อาวุธ สงครามมาเป็นตัวชี้การเมืองให้ไปทางไหนก็คงไม่ได้”
นายอภิสิทธิ์แจงพร้อมโน้มน้าว ผบ.ทบ.ก่อนที่จะถูกถามเรื่องการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์หรือไม่
“ต้องถามท่าน ผบ.ทบ.เองตกลงสลายไม่สลาย ถามท่านเอง
ประเด็นไม่ได้อยู่ เป้าหมายสุดท้ายคือคืนพื้นที่ให้ประชาชน แต่อะไรก่อนหลัง แต่ไม่ใช่ตอบกันตรงนั้นได้ ไม่ใช่นั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไร นายกรัฐมนตรีกล่าว
“มีขั้นตอนปฏิบัติตามมาตรฐานสากล รัฐบาลไม่มีสิทธิอยู่เหนือกฎหมาย ถ้ารัฐใช้วิธีการเหนือกฎหมายสังคมไม่สงบสุขเพื่อแก้สถานการณ์ห้วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ภารกิจรัฐที่ยิ่งใหญ่มันเกินกว่าราชประสงค์เคลียร์หรือยัง
แต่การดำรงนิติรัฐ การทำตามกฎหมาย การปกป้องสถาบันหลักของชาติไม่ให้ถูกดึงลงมาสู่ความขัดแย้ง ไม่แสดงออกแต่ฝังลึกในใจ
ผมรับผิดชอบกับสังคมทั้งสังคมในอนาคตและลูกหลาน
การแก้ปัญหาไม่นิ่งเฉย ถามว่าในใจร้อนไหม ไม่มีใครอยากนั่งอยู่อย่างนี้นาน ถามว่าวันนี้เจ้าหน้าที่รัฐถ้าใครเป็นอุปสรรคผมไม่ปล่อยเฉยหรอกครับ และถ้าผมทำหน้าที่ไม่ได้ผมก็ไม่ทน
ทำทุกวัน เป้าหมาย คือ อนาคตสังคม ประเทศชาติ”
ในความเห็นของ วาสนา นาน่วม วันนั้น พล.อ.อนุพงษ์ก็ไม่พลาดท่ามัดมือชกตัวเองนอกจากยืนกราน
จะทำตามอำนาจหน้าที่ตามกรอบของกฎหมาย
ก่อนตามมาด้วยเสียงวิจารณ์คำพูดนายกรัฐมนตรีที่ตอกหน้าระดับ ผบ.ทบ.ว่า “เรื่องการเมืองท่านไม่ต้องมาเกี่ยว”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เมษา พฤษภา 2553 บาดแผลจากถนนราชดำเนิน ตกค้างมายังแยกราชประสงค์
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th/weekly