‘หอการค้า’ มองเศรษฐกิจไทยปลายปี ชี้ "คนละครึ่งพลัส" ดันความเชื่อมั่นผู้บริโภค แต่ถูกทอนด้วยน้ำท่วมใต้ 20,000 ล้าน เชื่อ! ภาคใต้ฟื้นได้ใน 3 เดือน หากรัฐเร่งเยียวยา
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) เดือนพฤศจิกายน 2568 ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 มาอยู่ที่ระดับ 53.2 จากเดือนตุลาคมที่ 51.9 ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณบวกที่น่ายินดี แต่เมื่อวิเคราะห์ลงลึก จะพบว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเดินบนเส้นทางที่ไม่แน่นอน มีแรงผลักดันจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล แต่ก็มีแรงฉุดรั้งจากปัญหาภัยพิบัติและความเสี่ยงภายนอกที่ท้าทายความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
"คนละครึ่งพลัส": แรงกระตุ้นชั่วคราวหรือทางออกจริง?
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า การปรับตัวดีขึ้นของความเชื่อมั่นผู้บริโภคมาจากมาตรการ "คนละครึ่งพลัส" ที่ครอบคลุมประชาชน 20 ล้านคน ด้วยเม็ดเงินรวมกว่า 60,000-70,000 ล้านบาท โดยมีเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจริงราว 40,000 ล้านบาท
มาตรการนี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ ลดรายจ่ายของประชาชน และกระจายรายได้สู่ร้านค้าท้องถิ่น โดยเริ่มใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคมถึง 31 ธันวาคม 2568 ผลที่เกิดขึ้นเห็นได้ชัดเจนในการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น ดัชนีค่าครองชีพปรับตัวดีขึ้น 4-5 จุด สะท้อนถึงการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ เป็นแรงกระตุ้นระยะสั้นที่ไม่ได้แก้ไขปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว เมื่อมาตรการสิ้นสุดลง หากไม่มีแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยพื้นฐานอื่น เช่น การเพิ่มขึ้นของรายได้จริงหรือการลงทุนภาคเอกชน เศรษฐกิจอาจกลับมาชะลอตัวอีกครั้ง
ที่น่าสนใจคือ แม้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะดีขึ้น แต่เมื่อดูตัวเลขย่อยจะพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ที่ระดับ 46.8 ซึ่งต่ำกว่า 50 แสดงว่าประชาชนยังมองภาพรวมเศรษฐกิจแบบไม่มั่นใจ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานอยู่ที่ระดับ 50.9 ใกล้เคียงกับจุดสมดุล แสดงว่าตลาดแรงงานยังไม่แข็งแกร่ง มีเพียงดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตที่อยู่ที่ระดับ 61.9 ที่สูงกว่าจุดกลางอย่างชัดเจน ซึ่งน่าจะเป็นผลจากความหวังที่ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะส่งผลดีในระยะต่อไป
น้ำท่วมใต้: ปัจจัยลบที่ "ทอนแรง" การฟื้นตัว
ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกำลังส่งผลบวก เหตุการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนกลับกลายเป็นปัจจัยลบสำคัญที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นายธนวรรธน์ระบุว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นประเมินว่าสูงถึง 20,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับเป็นการดึงเงินออกจากระบบจำนวนมาก ทำให้ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำงานได้ไม่เต็มศักยภาพ
เมื่อเปรียบเทียบตัวเลข เงิน 40,000 ล้านบาทที่ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจากมาตรการคนละครึ่งพลัสถูกทอนไปเกือบครึ่งหนึ่งจากความเสียหายในภาคใต้ นี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่รุนแรงของภัยพิบัติต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อแยกดัชนีความเชื่อมั่นตามภูมิภาค พบว่ามีเพียงภาคใต้เท่านั้นที่ตัวเลขความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจปัจจุบัน อนาคต และรายได้ติดลบเฉลี่ย 2% สวนทางกับภูมิภาคอื่นๆ ที่ดัชนียังเป็นบวกทั้งในปัจจุบันประมาณ 1.5% และในอนาคตเกือบ 2% ตัวเลขนี้สะท้อนว่าปัญหาน้ำท่วมเป็นปัจจัยหลักที่กดทับการมองภาพเศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม นายธนวรรธน์มองในแง่บวกว่า หากรัฐบาลสามารถเร่งเยียวยาผลกระทบในภาคใต้ได้ทัน จะช่วยให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าภาคใต้จะเริ่มฟื้นตัวภายใน 3 เดือน หากไม่มีเหตุลบซ้ำเติม ประเด็นสำคัญคือความรวดเร็วและประสิทธิภาพของมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าภาคใต้จะสามารถฟื้นตัวได้ตามกรอบเวลาที่คาดหวังหรือไม่
ความเชื่อมั่นหอการค้า: สัญญาณเตือนจากภาคธุรกิจ
สิ่งที่น่ากังวลอีกประการหนึ่งคือ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยปรับลดลงครั้งแรกมาอยู่ที่ระดับ 44.0 ซึ่งต่ำกว่า 50 อย่างมีนัยสำคัญ นายธนวรรธน์มองว่า หากไม่มีปัญหาน้ำท่วมใต้ ความเชื่อมั่นหอการค้าน่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
การที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจลดลงขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นนั้น สะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างสองกลุ่ม ผู้บริโภครู้สึกดีขึ้นจากมาตรการช่วยเหลือระยะสั้น แต่ภาคธุรกิจมองเห็นความเสี่ยงและความท้าทายในระยะยาวมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากน้ำท่วม ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างประเทศ และปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
สิ่งที่น่าสนใจคือ ปัญหาความเชื่อมั่นในแต่ละภูมิภาคไม่เหมือนกัน แต่ก็มีผลกระทบไปยังภาคอื่นด้วย เช่น ภาคกลางก็ได้รับรู้และรับผลกระทบจากสถานการณ์ในภาคใต้ นี่แสดงถึงการเชื่อมโยงของระบบเศรษฐกิจที่ปัญหาในพื้นที่หนึ่งสามารถส่งผลกระทบไปยังพื้นที่อื่นได้
เงินเฟ้อติดลบ 8 เดือน: ดีหรือน่ากังวล?
ประเด็นที่ควรให้ความสนใจคือ สถานการณ์เงินเฟ้อซึ่งติดลบต่อเนื่อง 8 เดือน อยู่ที่ราว -0.5% ในระยะสั้น สถานการณ์นี้ทำให้ผู้บริโภคมองว่าค่าครองชีพไม่แพง และเมื่อรวมกับมาตรการคนละครึ่งพลัสที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง ทำให้กำลังซื้อของประชาชนดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อติดลบเป็นเวลานานอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ร้ายแรงกว่า คือ การขาดอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจ (Deflation) ซึ่งอาจนำไปสู่วงจรอุบาทว์ของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เมื่อราคาสินค้าลดลง ผู้บริโภคและธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเลื่อนการซื้อและการลงทุนออกไปเพราะคาดว่าราคาจะถูกลงไปอีก ส่งผลให้อุปสงค์ลดลงมากขึ้น ราคาตกลงอีก และเศรษฐกิจซบเซามากขึ้นเรื่อยๆ
ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องจับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด และอาจต้องพิจารณาใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมหากเงินเฟ้อยังคงติดลบต่อเนื่อง
ความเสี่ยงภายนอก: สงครามการค้าและปัญหาชายแดน
นอกจากปัญหาภายในประเทศแล้ว เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกสองประการสำคัญ คือ สงครามการค้าระหว่างประเทศและปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
สงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ นายธนวรรธน์ระบุว่า ภาคการส่งออกยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนระยะสั้น แต่ปีหน้าอาจต้องจับตาความเสี่ยง
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันความเชื่อมั่น แม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง แต่ก็สร้างความไม่แน่นอนและอาจส่งผลต่อการท่องเที่ยวและการค้าชายแดนในระยะยาว
โอกาสในช่วงปลายปี: การท่องเที่ยวและการบริโภค
แม้จะมีปัจจัยลบหลายประการ แต่นายธนวรรธน์ยังมองเห็นโอกาสในช่วงปลายปีและต้นปีหน้า โดยเฉพาะการท่องเที่ยวซึ่งอาจได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่อาจเปลี่ยนปลายทางมาไทยมากขึ้น หลังแนวโน้มเดินทางไปญี่ปุ่นลดลง
นอกจากนี้ นายธนวรรธน์ยังมองว่า ช่วงนี้ถือเป็น "จังหวะเหมาะ" สำหรับการซื้อบ้าน ซื้อรถ และการท่องเที่ยว เนื่องจากดัชนีปัจจัยบวกทยอยฟื้นตัว โดยคาดว่าช่วงปีใหม่จะมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก หากไม่มีปัจจัยลบใหม่เข้ามากระทบเพิ่มเติม
มาตรการต่อเนื่อง: กุญแจสู่การฟื้นตัวที่ยั่งยืน
นายธนวรรธน์เน้นย้ำว่า มาตรการกระตุ้นในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่งเฟสใหม่หรือการเยียวยาภาคใต้ จะเป็นปัจจัยสำคัญหนุนเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนไปได้ นี่แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจะต้องมีความต่อเนื่องในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่สามารถหยุดได้หลังจากคนละครึ่งพลัสสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตาม การพึ่งพามาตรการกระตุ้นจากภาครัฐอย่างต่อเนื่องก็มีข้อจำกัด คือ ภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้น และความไม่ยั่งยืนในระยะยาว ในระยะยาว ประเทศต้องสร้างแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น การเพิ่มผลิตภาพ การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการพัฒนาทักษะแรงงาน
บทสรุป: เดินหน้าอย่างระมัดระวังบนเส้นทางไซต์เวย์
คำกล่าวของนายธนวรรธน์ที่ว่า "เศรษฐกิจไทยยังมีทิศทางแบบ 'ไซต์เวย์' แต่มีโอกาสค่อยๆ ฟื้นตัว" สรุปสถานการณ์ได้อย่างตรงประเด็น เศรษฐกิจไทยไม่ได้กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ตกต่ำลงอย่างรุนแรง มันอยู่ในสภาวะ "คาราคาซัง" ที่เคลื่อนไหวไปข้างๆ โดยมีปัจจัยบวกและลบสลับกันไป
มาตรการคนละครึ่งพลัสสร้างแรงกระตุ้นระยะสั้นที่เห็นผลชัดเจน แต่ถูกทอนลงด้วยน้ำท่วมใต้ที่สร้างความเสียหายมหาศาล ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้น แต่ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจกลับลดลง การส่งออกยังแข็งแกร่ง แต่มีความเสี่ยงจากสงครามการค้า
ความสำเร็จของเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อไปจะขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลในการ:
1. เร่งเยียวยาผู้ประสบภัยในภาคใต้ให้ฟื้นตัวภายใน 3 เดือนตามเป้าหมาย
2. ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องหลังจากคนละครึ่งพลัสสิ้นสุด
3. บริหารจัดการความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะสงครามการค้าและปัญหาชายแดน
4. สร้างรากฐานเศรษฐกิจระยะยาวที่ไม่ต้องพึ่งพามาตรการกระตุ้นจากรัฐอย่างต่อเนื่อง
หากทำได้สำเร็จ เศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวและเคลื่อนจากทิศทาง "ไซต์เวย์" สู่การเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนได้ในที่สุด แต่หากล้มเหลว เศรษฐกิจอาจตกลงสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์