โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

"COP30" วิกฤตอุณหภูมิ โลกร้อนเพิ่ม 2.8 ทิ้งเป้า 1.5 องศาเซลเซียส

Thai PBS

อัพเดต 14 พ.ย. เวลา 11.13 น. • เผยแพร่ 14 พ.ย. เวลา 11.13 น. • Thai PBS
การประชุม COP30 เปิดฉากขึ้นแล้วที่บราซิล ได้รับการขนานนามว่าเป็น “COP แห่งความจริง” ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า โลกก้าวข้ามขีดจำกัดด้านอุณหภูมิจาก 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีสสู่ 2.0-2.8 องศาฯ นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ สหรัฐฯ ไม่ส่งคณะผู้แทนเข้าร่วมประชุม

การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ครั้งที่ 30 หรือ COP30 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–21 พ.ย.2568 ณ เมืองเบเลม ประเทศบราซิล โดย ปธน.บราซิล ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา กล่าวเปิดงานด้วยการประกาศว่านี่คือ "COP แห่งความจริง" หมายความว่า ยุคแห่งการประกาศเจตจำนงได้สิ้นสุดลง ถึงเวลาสำหรับการจัดทำแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 10 ปีของข้อตกลงปารีส

วาระหลักที่ต้องจับตามอง กำหนดโดยเจ้าภาพบราซิลภายใต้แนวคิด "Global Mutirão" หรือ การรวมพลังของประชาคมโลก 5 ประเด็น ได้แก่

  • แผนลดก๊าซเรือนกระจก ประเทศภาคีต้องยื่นแผนใหม่สำหรับปี 2578 ต้องเพิ่มความมุ่งมั่นให้มากขึ้น เนื่องจากแผนปัจจุบันยังไม่เพียงพอ
  • ภารกิจระดมทุน สรุปเป้าหมายทางการเงินใหม่ที่ต้องระดมทุนรวม 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ให้ได้ภายในปี 2578 เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการเปลี่ยนผ่านพลังงานและรับมือผลกระทบ
  • ทำให้ กองทุนความเสียหายและการสูญเสีย (Loss and Damage Fund) เดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีเงินทุนเพียงพอ เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ประสบภัยพิบัติทางสภาพอากาศ โดยการประชุมจะเปิดรับคำขอรับทุนอย่างเป็นทางการครั้งแรก
  • COP30 คือบททดสอบที่ประเทศต่าง ๆ จะต้องกำหนดตารางเวลาที่ชัดเจนในการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศ
  • การคุ้มครองป่าไม้และระบบนิเวศ บราซิลในฐานะเจ้าภาพได้เน้นย้ำความสำคัญของป่าเขตร้อน โดยเฉพาะป่าแอมะซอน ซึ่งเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนหลักของโลก ทำให้ COP30 ถูกขนานนามว่าเป็น "Forest COP"

อุณหภูมิโลกพุ่งเกิน 1.5 องศา มุ่งหน้าสู่ 2.8 องศาเซลเซียส

นักวิทยาศาสตร์และผู้นำระดับสูงต่างยอมรับใน COP30 ว่า การควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ณ สิ้นศตวรรษนี้ "เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้แล้ว" เช่นเดียวกับ เลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส ที่กล่าวว่า การที่อุณหภูมิโลกจะสูงเพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียสในช่วงต้นทศวรรษ 2030 นั้น เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่าในปี 2567 อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงขึ้นอีก 1.6 องศาเซลเซียส ซึ่งเหนือระดับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และเป็นครั้งแรกที่ทะลุเป้า 1.5 องศาในรอบปีปฏิทิน

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก คาดการณ์ว่ามีโอกาสถึงร้อยละ 70 ที่อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงปี 2568-2572 มีแนวโน้มจะสูงขึ้นถึง 2.4 องศาเซลเซียส และอาจพุ่งถึง 2.8 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้

นั่นหมายถึงหายนะที่ไม่อาจย้อนกลับได้ เช่น ธารน้ำแข็งที่ขั้วโลกจะละลายเร็วขึ้น หากสามารถจำกัดไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นที่ 1.5 องศา ก็จะช่วยรักษาธารน้ำแข็งไว้ได้มากกว่า 2 เท่าของกรณีที่โลกอุ่นถึง 2.7 องศาเซลเซียส โดยร้อยละ 53 ของมวลธารน้ำแข็งจะคงอยู่

นอกจากนี้ การสูญเสียระบบนิเวศทางทะเลจะยิ่งหนักหน่วง หากอุณหภูมิเกิน 2 องศาเซลเซียส แนวปะการังในมหาสมุทรแอตแลนติกตะวันตกร้อยละ 99 จะเกิดการกัดเซาะภายในปี 2643 ส่งผลให้ระบบอาหารทะเลล่มสลายและพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลถอยร่นหรือหายไป

ไซมอน สติเอลล์ เลขาธิการ UNFCCC กล่าวในการประชุมว่า การที่หลายประเทศยังทะเลาะกัน ขณะที่ความอดอยากกำลังเข้ายึดครองพื้นที่ ภาพผู้คนนับล้านต้องอพยพจากบ้านเกิดจะไม่มีวันถูกลืม ภัยพิบัติกำลังทำลายชีวิตนับล้านทั้ง ๆ ที่ มีทางออกอยู่แล้ว

ประเด็นอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นการเตือนภัยที่บังคับให้ COP30 ต้องเร่งรัดแผนการลดก๊าซเรือนกระจกให้เข้มข้นมากกว่าเดิม มิเช่นนั้นโลกจะเข้าสู่ยุคหายนะอย่างถาวร เช่น ภัยแล้งรุนแรง น้ำท่วมบ่อย และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่มนุษย์ไม่อาจฟื้นฟูได้

สหรัฐฯ หายไป ความโล่งใจที่ไร้ "ตัวป่วน" แลกกับช่องว่างทางการเงิน

การถอนตัวของสหรัฐฯ จาก COP30 ยิ่งทำให้วิกฤตอุณหภูมิซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศไม่ส่งคณะผู้แทนอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการย้ำจุดยืนที่เคยกล่าวต่อสมัชชาใหญ่สหประชาชาติในเดือนกันยายน ที่ผ่านมาว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น "การหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นบนโลก"

การไม่เข้าร่วมประชุม COP30 บวกกับการถอนตัวออกจาก สมาชิกข้อตกลงปารีส ที่จะมีผลในเดือนมกราคมปีหน้า ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินด้านสภาพภูมิอากาศของโลก เพราะเงินทุนที่ได้จากสหรัฐฯ จะขาดหายไปอย่างน้อย 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 6 ของเป้าหมายการระดมทุนที่ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนระดมทุน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์/ปีภายในปี 2578 เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาเปลี่ยนผ่านพลังงานและรับมือผลกระทบ

ขณะที่นักการทูตหลายคนมองอีกมุมว่าเป็น "ความโล่งใจ" การไม่มีสหรัฐฯ ดีกว่ามี เพราะสหรัฐฯ เสมือน "ตัวป่วน" ที่ชอบขัดขวาง The Guardian ชี้ว่าการหายไปของสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้การเจรจาไหลลื่นขึ้น โดยชาติอื่นไม่ต้องกังวลกับพฤติกรรมข่มขู่ และอาจนำไปสู่ตารางเวลาที่ชัดเจนในการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เป็นธรรม

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็อาจทำให้ชาติผู้ผลิตน้ำมันอื่น ๆ ลดความใส่ใจเรื่องลดโลกร้อน โดยอาจจะอยากตามรอยสหรัฐฯ ในการขุดเจาะมากขึ้น แล้วจะส่งผลให้อุณหภูมิโลกพุ่งใกล้ 2.8 องศาเร็วกว่าที่คิด ขณะที่ชาติที่ยากจนจะเดือดร้อนหนักที่สุด เพราะขาดเงินช่วย และเศรษฐกิจโลกอาจสะดุดจากความไม่แน่นอนทางการเงิน

ในขณะที่จีน จะก้าวขึ้นมาเติมช่องว่างด้วยบทบาทผู้นำเทคโนโลยีสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมองตัวเองเป็น "รัฐไฟฟ้า" และผู้ผลิตสินค้ารักษ์โลกรายหลักของโลก ซึ่งช่วยอุดช่องว่างที่สหรัฐฯ ทิ้งไว้ แต่ก็เพิ่มแรงกดดันให้ชาติอื่นต้องเร่งตามให้ทัน

แต่แม้สหรัฐฯ จะถอนตัว แต่ยังมีผู้นำระดับท้องถิ่นกว่า 100 คนจากสหรัฐฯ เช่น ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เกวิน นิวสัม และนายกเทศมนตรี เข้าร่วม COP30 เพื่อแสดงความมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรช่วยลดโลกร้อน นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า แม้การกระทำของรัฐบาลทรัมป์ที่ต่อต้านวิทยาศาสตร์จะน่ากังวล แต่ข้อเท็จจริงคือ ไม่มีประเทศใดในโลกรวมทั้งสหรัฐฯ ที่จะสามารถหยุดยั้งการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของโลกได้

ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เกวิน นิวสัม

ความท้าทายของประเทศไทยในยุค "โลกเดือด"

สำหรับประเทศไทยซึ่งตั้งเป้าสู่ "ความเป็นกลางทางคาร์บอน" (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และ "การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์" (Net Zero Emissions) รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2608 ก็มีโอกาสเผชิญกับความเสี่ยงเชิงกายภาพสูงเช่นกัน หากไทยไม่มีนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง ไทยจะมีความเสี่ยงเชิงกายภาพสูงเป็นลำดับที่ 4 ของโลก และคาดการณ์ว่าในปี 2591 GDP ของประเทศอาจจะลดลงถึงร้อยละ 43.6 ในกรณีที่อุณหภูมิสูงขึ้นไม่เกิน 3.2 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการท่องเที่ยวและภาคการเกษตรจะได้รับผลกระทบมาก

การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน และยานยนต์สันดาปภายใน ซึ่งต้องปรับตัวตามแรงกดดันจากทั้งนโยบายในประเทศและมาตรการการค้าระหว่างประเทศ เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของยุโรป ภาครัฐจึงถูกเสนอแนะให้ดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นขึ้นตามลำดับ เพื่อหลีกเลี่ยงความจำเป็นต้องเร่งลดอย่างฉับพลันในภายหลัง

COP30 จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ประชาคมโลกจะต้องเดินหน้าจากคำพูดไปสู่การปฏิบัติที่ชัดเจน แม้จะต้องเผชิญหน้ากับความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยคุกคามด้านอุณหภูมิโลกที่เกินขีดจำกัดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่เมืองเบเลม ประเทศบราซิล เพื่อดูว่าผู้นำโลกจะสามารถรวมพลังและหาทางออกสำหรับอนาคตที่ร้อนขึ้นได้อย่างไร

แหล่งที่มาข้อมูล : The guardian, เอกสาร ผลกระทบของ GREEN TRANSITION ต่อภาคเศรษฐกิจจริง ใครได้ ใครเสีย โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย, UN CLIMATE SUMMIT

อ่านข่าวอื่น :

เกาหลีใต้ทุ่มสุดตัว สั่งหยุดบิน 30 นาที หนุน นร. สอบเข้ามหาวิทยาลัย

คณะ AOT ตรวจสอบจุดปะทะ "หนองหญ้าแก้ว" เก็บหลักฐานรอยกระสุน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thai PBS

ทภ.2 พบ "กัมพูชา" เคลื่อนย้ายจรวดหลายลำกล้อง ในพื้นที่ช่องบก-ช่องจอม

29 นาทีที่แล้ว

สภาพอากาศวันนี้ "เหนือ-อีสาน" อากาศเย็นถึงหนาว ภาคใต้ตอนบนมีอากาศเย็นลง - ลมแรง

48 นาทีที่แล้ว

ทภ.2 ชี้กัมพูชาเตรียมพร้อมสู้รบขั้นสูงสุด เฝ้าดูการปฏิบัติฝ่ายไทย

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

"กลาโหม" ประณามกัมพูชาเปิดฉากยิง เจตนาสร้างความขัดแย้ง-ยั่วยุทุกรูปแบบ

8 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าว ต่างประเทศ อื่น ๆ

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...