โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

ประธานหอการค้าฯ กังวล 'การเมือง-ภัยพิบัติ' ฉุดเศรษฐกิจปี 69 จี้ทุกฝ่ายเตรียมแผนรับมือ

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ในงาน GO THAILAND 2026 BEYOND SURVIVAL จัดโดยฐานเศรษฐกิจ xงภาพรวมเศรษฐกิจไทยช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยชี้ว่าไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงใหญ่สองด้าน ได้แก่ ภัยพิบัติที่เพิ่งเกิดขึ้นในภาคใต้ และความไม่ชัดเจนทางการเมือง ซึ่งหากปล่อยยืดเยื้อจะกระทบความเชื่อมั่นและส่งผลโดยตรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทุกภาคส่วน

ทั้งนี้ เหตุการณ์ฝนถล่มหนักในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ ของจังหวัดสงขลา และในหลายจังหวัดของภาคใต้เป็นสัญญาณเตือนชัดว่าไทยยังขาดระบบรับมือภัยพิบัติระดับชาติโดยเฉพาะมาตรการสำหรับภาคประชาชน ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าฤดูฝนของภาคใต้ปีนี้เริ่มเร็วและรุนแรงผิดปกติ ทำให้เกิดความเสียหายกระจายเป็นวงกว้างตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงธุรกิจท่องเที่ยว การค้าชายแดน โลจิสติกส์ และอื่น ๆ

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

“รัฐบาลชุดปัจจุบันหรือรัฐบาลรักษาการหลังยุบสภา ต้องถือเป็นภารกิจเร่งด่วนในการเตรียมรับมือนํ้าท่วมและภัยพิบัติแบบใหม่” ดร.พจน์ ยํ้า

นอกจากนี้อีกความเสี่ยงสำคัญคือ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ตั้งแต่กระแสยุบสภา ไปจนถึงกำหนดเลือกตั้งครั้งใหม่ที่ยังไม่แน่ชัด ส่งผลให้เอกชนบางส่วนชะลอการลงทุนและการวางแผนธุรกิจ เพื่อรอดูนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ดี สิ่งจำเป็นที่สุดคือการได้รัฐบาลใหม่ที่มีเสียงข้างมากและมีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจน เพื่อสร้างเสถียรภาพ และเดินหน้าปฏิรูปกฎหมาย และกฎระเบียบให้เอื้อต่อธุรกิจมากขึ้น เนื่องจากภาคธุรกิจยังคงเป็นเครื่องจักรหลักทั้ง 5 ด้านของเศรษฐกิจไทย แต่ต้องการให้รัฐบาลเร่งลดกฎหมายที่ซํ้าซ้อน และปรับกฎระเบียบให้ทันโลก โดยเฉพาะกฎหมายที่ล้าสมัยที่ทำให้เกิดความล่าช้าและต้นทุนสูง

“เอกชนเดินหน้าต่อได้ แต่ต้องการรัฐบาลที่ช่วยเปิดทาง และลดข้อจำกัดเก่า ๆ ที่ไม่เหมาะกับเศรษฐกิจยุคใหม่”

ดร.พจน์ ยังให้ความเห็นถึงกรณีสหรัฐระงับการเจรจาการค้าต่างตอบแทนกับไทยในเวลานี้ว่า ไม่ใช่การระงับจริง เพียงแค่หยุดลงชั่วคราว ทั้งนี้หลายประเทศยังต้องเจรจาการค้าต่างตอบแทนกับสหรัฐต่อ และยังไม่ได้ลงนามความตกลงเช่นเดียวกับไทย สำหรับไทยเวลานี้กำลังอยู่ขั้นตอนหารายละเอียดเพิ่มเติม อย่างไรก็ดีในช่วงนี้หากไทยยังสามารถรักษาสถานะภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกาที่เรียกเก็บจากสินค้าไทยเพิ่ม 19% เอาไว้ได้ มองว่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐก็ยังไปได้ ไม่เสียเปรียบคู่แข่งขันมากนัก

สำหรับคาดการณ์ขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หรือเศรษฐกิจไทยปี 2568 ล่าสุด (3 ธ.ค. 2568) ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโต ได้ประมาณ 2.0% สูงกว่าบางสำนักที่ประเมินเพียง 1.7% โดยมีแรงขับเคลื่อนที่สำคัญคือ ภาคส่งออก ที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงถึง 9.5-10.5% ในปีนี้ และจะส่งต่อโมเมนตัมไปยังปีหน้า

ด้านท่องเที่ยวคาดว่าจะฟื้นชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เยือนจีน ซึ่งจะช่วยฟื้นภาพลักษณ์และกระตุ้นการกลับมาเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวจีนในปี 2568–2569 อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการรายกลาง และรายใหญ่ยังเดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยใช้เทคโนโลยี AI, Robot และระบบดิจิทัลมาทดแทนแรงงานที่ขาดแคลนและมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ส่วนรายย่อยยังมีศักยภาพในการปรับตัว แต่ต้องการการเข้าถึงแหล่งเงินลงทุนมากกว่านี้

ดร.พจน์ยํ้าว่า รัฐบาลต้องเร่งยกระดับทักษะแรงงานอย่างเร่งด่วน ตั้งแต่เด็กจบใหม่ไปถึงคนทำงานเดิม เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้มข้น ซึ่งหากไม่เร่งอัปสกิล-รีสกิล ไทยจะไม่มีคนทำงานที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจใหม่ ขณะที่แรงงานต่างด้าวก็มีค่าแรงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนที่สูงขึ้น

ดร.พจน์ กล่าวอีกว่า แม้ปี 2568 จีดีพีไทยยังโตไม่ถึง 3% แต่มองว่า ปี 2569 ไทยมีโอกาสเติบโตสูงกว่าเดิม หากการเมืองนิ่ง และรัฐบาลใหม่ขับเคลื่อนนโยบายด้านดิจิทัล การศึกษาทักษะใหม่ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทันโลก

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...