โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เสียหาย 17,000 ล้านบาทต่อเดือน ขัดแย้ง "ไทย-กัมพูชา" กระทบเศรษฐกิจ การค้า-ท่องเที่ยว-ลงทุน

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 11 ส.ค. เวลา 01.00 น.
เสียหาย 17,000 ล้านบาทต่อเดือน ขัดแย้ง

ขัดแย้งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะเหตุปะทะกัน มีผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจ การค้าชายแดน ท่องเที่ยว ลงทุน

Krungthai COMPASS ได้ประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาผ่าน 3 ช่องทางหลัก ทั้งการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน พบว่ามีมูลค่าความเสียหายอย่างน้อยราว 17,000 ล้านบาทต่อเดือน

"ผลกระทบต่อการค้าชายแดน"

เป็นช่องทางที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชามากที่สุด เนื่องจากการค้าชายแดนไทยและกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 48% ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทั้งหมด

ล่าสุด นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมูลค่าผ่านแดนกัมพูชาไปประเทศอื่น เช่น เวียดนาม จีนตอนใต้ ว่า ในช่วง 6 เดือน ตั้งแต่มกราคม-มิถุนายน ปี 2568 มูลค่าการค้ารวม ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีมูลค่า 95,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.60% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2567 เป็นไทยส่งออก 72,447 ล้านบาท เพิ่ม 3.33% และไทยนำเข้า 22,699 ล้านบาท เพิ่ม 13.52% ไทยได้ดุลการค้า 49,748 ล้านบาท

สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น เครื่องดื่มอื่นๆ, น้ำแร่ น้ำอัดลมที่ปรุงรส, เครื่องยนต์สันดาปภายใน ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้า เช่น ผักและของปรุงแต่งจากผัก, เศษของอะลูมิเนียม, ลวดและสายเคเบิลที่หุ้มฉนวน

อย่างไรก็ตามนางอารดา คาดว่า มูลค่าการค้าชายแดน และผ่านแดนไทย-กัมพูชา อาจลดลงหลังจากการปะทะกัน และอาจทำให้มูลค่าการค้าชายแดน และผ่านแดนของไทยในปี 68 ลดลงประมาณ 1% จากเป้าหมายปีนี้ที่คาดขยายตัว 3% หรือเหลือขยายตัวประมาณ 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ขณะที่ Krungthai COMPASS ประเมินผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด จะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาหายไปราว 14,011 ล้านบาทต่อเดือน โดยมูลค่าการส่งออกชายแดนหายไปราว 11,410 ล้านบาทต่อเดือน และมูลค่าการนำเข้าชายแดนหายไปราว 2,601 ล้านบาทต่อเดือน

ด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบในระดับสูงมาก ได้แก่ "ด่านอรัญประเทศ" จ.สระแก้ว โดยคาดว่าจะได้รับผลกระทบราว 8,663 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจากด่านอรัญประเทศเป็นด่านชายแดนไทย-กัมพูชาที่สำคัญในการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมทั้งเป็นเส้นทางสัญจรที่สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว โดยในปี 2567 มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาผ่านด่านอรัญประเทศอยู่ที่ 110,718 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 63.4% ของมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด

ส่วนด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบในระดับสูง ได้แก่ ด่านคลองใหญ่ จ.ตราด โดยคาดว่ามูลค่าการค้าชายแดนจะหายไปราว 2,457 ล้านบาท และด่านจันทบุรี จ.จันทบุรี 2,159 ล้านบาทต่อเดือน

"ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว"

ความเสียหายจากความไม่สงบที่เกิดขึ้นคาดว่าจะส่งผลลบต่อภาคการท่องเที่ยวราวกว่า 2,970 ล้านบาทต่อเดือน

นักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่เข้ามามีแนวโน้มลดลง คาดว่าจะได้รับผลกระทบราว 1,185 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้นักท่องเที่ยวชาวกัมพูชามีสัดส่วนเพียง 2% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาในไทย โดยในช่วง 6 เดือนของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่เข้ามาไทยอยู่ที่ 217,652 คน ลดลงถึงราว -21% เมื่อเทียบเป็นรายปี และคาดว่าผลกระทบจากการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาจะทำให้นักท่องเที่ยวกัมพูชาลดลงในช่วงที่เหลือของปี 2568

: ความเสียหายด้านการท่องเที่ยว ใน 4 จังหวัดที่มีการปะทะ คาดมีมูลค่าอย่างน้อยราว 1,785 ล้านบาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็น

1) ความเสียหายจากการขาดรายได้ จากนักท่องเที่ยวชาวไทย 1,766 ล้านบาทต่อเดือน

2) ความเสียหายจากการขาดรายได้ จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 19 ล้านบาทต่อเดือน

โดยการประมาณการนี้ประเมินจากค่าเฉลี่ยย้อนหลังของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติในปี 2565-67 ทั้งนี้ ใน 4 จังหวัดดังกล่าว มีสองจังหวัด คือ จ.บุรีรัมย์ และ จ. อุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุด

"ผลกระทบต่อการลงทุน"

ปัจจุบันนี้มีผู้ประกอบการไทยในกัมพูชาจำนวนมากกว่า 100 ราย มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท แต่ในเบื้องต้น ขณะนี้ผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาในพื้นที่นอกเหนือจากจุดปะทะยังไม่มากนัก เนื่องจากการปะทะยังจำกัดอยู่เฉพาะบางจุดตามแนวชายแดน และยังไม่กระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานในเขตเมืองกัมพูชา แต่ทั้งนี้หากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น ก็มีแผนการในรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมด้านการอพยพพนักงานสัญชาติไทยกลับมายังประเทศไทยไว้แล้ว

นอกจากนี้ ไทยมีแรงงานกัมพูชารวมกว่า 1 ล้านคน แบ่งเป็นแรงงานถูกกฎหมายราว 5.1 แสนคน หากมีการดึงแรงงานกัมพูชากลับประเทศอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น ก่อสร้าง การขายส่งขายปลีก อสังหาริมทรัพย์ และประมง เป็นต้น จากสถานการณ์แรงงานต่างด้าวในเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า ไทยมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานทั่วราชอาณาจักรจำนวนทั้งสิ้น 4,080,613 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก 3 ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมา 2,987,988 คน กัมพูชา 512,184 คน และสปป.ลาว 289,217 คน

โดยแรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่อยู่ในกิจการก่อสร้างจำนวนอย่างน้อย 1.58 แสนคน รองลงมาคือกิจการต่อเนื่องการเกษตร จำนวนอย่างน้อย 31,958 คน และกิจการเกษตรและปศุสัตว์ จำนวนอย่างน้อย 2.64 หมื่นคน ซึ่งแรงงานทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่อาศัยในกรุงเทพฯ และชลบุรี

"นโยบายช่วยเหลือ" ผู้ประกอบการ มาตรการส่งเสริมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ครึ่งปีหลัง 2568

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดได้เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าชายแดนและแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบว่า ได้เร่งแก้ไขปัญหาย้ายช่องทางการส่งออกจากการปิดด่านในบางพื้นที่ เช่น ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ด่านชายแดนไทย-สปป.ลาว ที่ จ.อุบลราชธานี โดยเฉพาะด่านช่องเม็ก เป็นจุดส่งสินค้าไปยังกัมพูชาแทนได้ เพราะระยะทางไม่ไกลมาก แต่ก็มีอุปสรรคด้านการเก็บภาษีที่แตกต่างกันของแต่ละแขวง ซึ่งได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศ ไปเจรจากับทาง สปป.ลาว เพื่อหาทางออก และเปิดเส้นทางการส่งออกใหม่ให้กับผู้ประกอบการไทยแล้ว

นอกจากนี้ ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดใน 7 จังหวัดติดชายแดน ทั้งสระแก้ว จันทบุรี ตราด อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ไปสำรวจความต้องการของเกษตรกร ประชาชน และผู้ประกอบการในพื้นที่ว่าต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยเหลืออะไร นอกเหนือจากมาตรการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการแล้ว ทั้งการดูแลราคาสินค้า ค่าครองชีพ การช่วยระบายสินค้าเกษตรและสินค้าตกค้าง การลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ การเพิ่มสภาพคล่อง เพราะสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอยู่ อาจจะตรงกับความต้องการไม่ครบทั้งหมด ก็ให้ไปสำรวจมา และรายงานเข้ามายังส่วนกลาง เพื่อที่จะได้วางแผนในการช่วยเหลือต่อไป

การดูแลสินค้าเกษตร โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของ จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันราคาต่ำกว่าปีก่อน แม้ว่าจะส่งออกได้เพิ่มขึ้น เป็นเพราะราคาตลาดโลกลดลง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อยกระดับคุณภาพการผลิต การจัดหาท่อนพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพ ต้านทานโรคใบด่าง การส่งเสริมแปรรูปเป็นอาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อลดปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เกษตรกร และยังมีแผนจัดทำโครงการ “สินค้าธงเขียว” โดยร่วมมือกับผู้ผลิต ผู้ประกอบการลดราคาปัจจัยการเกษตร โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง ให้กับเกษตรกรด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...