เสียหาย 17,000 ล้านบาทต่อเดือน ขัดแย้ง "ไทย-กัมพูชา" กระทบเศรษฐกิจ การค้า-ท่องเที่ยว-ลงทุน
ขัดแย้งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะเหตุปะทะกัน มีผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจ การค้าชายแดน ท่องเที่ยว ลงทุน
Krungthai COMPASS ได้ประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาผ่าน 3 ช่องทางหลัก ทั้งการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน พบว่ามีมูลค่าความเสียหายอย่างน้อยราว 17,000 ล้านบาทต่อเดือน
"ผลกระทบต่อการค้าชายแดน"
เป็นช่องทางที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชามากที่สุด เนื่องจากการค้าชายแดนไทยและกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 48% ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทั้งหมด
ล่าสุด นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมูลค่าผ่านแดนกัมพูชาไปประเทศอื่น เช่น เวียดนาม จีนตอนใต้ ว่า ในช่วง 6 เดือน ตั้งแต่มกราคม-มิถุนายน ปี 2568 มูลค่าการค้ารวม ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีมูลค่า 95,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.60% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2567 เป็นไทยส่งออก 72,447 ล้านบาท เพิ่ม 3.33% และไทยนำเข้า 22,699 ล้านบาท เพิ่ม 13.52% ไทยได้ดุลการค้า 49,748 ล้านบาท
สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น เครื่องดื่มอื่นๆ, น้ำแร่ น้ำอัดลมที่ปรุงรส, เครื่องยนต์สันดาปภายใน ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้า เช่น ผักและของปรุงแต่งจากผัก, เศษของอะลูมิเนียม, ลวดและสายเคเบิลที่หุ้มฉนวน
อย่างไรก็ตามนางอารดา คาดว่า มูลค่าการค้าชายแดน และผ่านแดนไทย-กัมพูชา อาจลดลงหลังจากการปะทะกัน และอาจทำให้มูลค่าการค้าชายแดน และผ่านแดนของไทยในปี 68 ลดลงประมาณ 1% จากเป้าหมายปีนี้ที่คาดขยายตัว 3% หรือเหลือขยายตัวประมาณ 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ขณะที่ Krungthai COMPASS ประเมินผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด จะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาหายไปราว 14,011 ล้านบาทต่อเดือน โดยมูลค่าการส่งออกชายแดนหายไปราว 11,410 ล้านบาทต่อเดือน และมูลค่าการนำเข้าชายแดนหายไปราว 2,601 ล้านบาทต่อเดือน
ด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบในระดับสูงมาก ได้แก่ "ด่านอรัญประเทศ" จ.สระแก้ว โดยคาดว่าจะได้รับผลกระทบราว 8,663 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจากด่านอรัญประเทศเป็นด่านชายแดนไทย-กัมพูชาที่สำคัญในการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมทั้งเป็นเส้นทางสัญจรที่สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว โดยในปี 2567 มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาผ่านด่านอรัญประเทศอยู่ที่ 110,718 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 63.4% ของมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด
ส่วนด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบในระดับสูง ได้แก่ ด่านคลองใหญ่ จ.ตราด โดยคาดว่ามูลค่าการค้าชายแดนจะหายไปราว 2,457 ล้านบาท และด่านจันทบุรี จ.จันทบุรี 2,159 ล้านบาทต่อเดือน
"ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว"
ความเสียหายจากความไม่สงบที่เกิดขึ้นคาดว่าจะส่งผลลบต่อภาคการท่องเที่ยวราวกว่า 2,970 ล้านบาทต่อเดือน
นักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่เข้ามามีแนวโน้มลดลง คาดว่าจะได้รับผลกระทบราว 1,185 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้นักท่องเที่ยวชาวกัมพูชามีสัดส่วนเพียง 2% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาในไทย โดยในช่วง 6 เดือนของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่เข้ามาไทยอยู่ที่ 217,652 คน ลดลงถึงราว -21% เมื่อเทียบเป็นรายปี และคาดว่าผลกระทบจากการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาจะทำให้นักท่องเที่ยวกัมพูชาลดลงในช่วงที่เหลือของปี 2568
: ความเสียหายด้านการท่องเที่ยว ใน 4 จังหวัดที่มีการปะทะ คาดมีมูลค่าอย่างน้อยราว 1,785 ล้านบาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็น
1) ความเสียหายจากการขาดรายได้ จากนักท่องเที่ยวชาวไทย 1,766 ล้านบาทต่อเดือน
2) ความเสียหายจากการขาดรายได้ จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 19 ล้านบาทต่อเดือน
โดยการประมาณการนี้ประเมินจากค่าเฉลี่ยย้อนหลังของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติในปี 2565-67 ทั้งนี้ ใน 4 จังหวัดดังกล่าว มีสองจังหวัด คือ จ.บุรีรัมย์ และ จ. อุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุด
"ผลกระทบต่อการลงทุน"
ปัจจุบันนี้มีผู้ประกอบการไทยในกัมพูชาจำนวนมากกว่า 100 ราย มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท แต่ในเบื้องต้น ขณะนี้ผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาในพื้นที่นอกเหนือจากจุดปะทะยังไม่มากนัก เนื่องจากการปะทะยังจำกัดอยู่เฉพาะบางจุดตามแนวชายแดน และยังไม่กระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานในเขตเมืองกัมพูชา แต่ทั้งนี้หากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น ก็มีแผนการในรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมด้านการอพยพพนักงานสัญชาติไทยกลับมายังประเทศไทยไว้แล้ว
นอกจากนี้ ไทยมีแรงงานกัมพูชารวมกว่า 1 ล้านคน แบ่งเป็นแรงงานถูกกฎหมายราว 5.1 แสนคน หากมีการดึงแรงงานกัมพูชากลับประเทศอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น ก่อสร้าง การขายส่งขายปลีก อสังหาริมทรัพย์ และประมง เป็นต้น จากสถานการณ์แรงงานต่างด้าวในเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า ไทยมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานทั่วราชอาณาจักรจำนวนทั้งสิ้น 4,080,613 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก 3 ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมา 2,987,988 คน กัมพูชา 512,184 คน และสปป.ลาว 289,217 คน
โดยแรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่อยู่ในกิจการก่อสร้างจำนวนอย่างน้อย 1.58 แสนคน รองลงมาคือกิจการต่อเนื่องการเกษตร จำนวนอย่างน้อย 31,958 คน และกิจการเกษตรและปศุสัตว์ จำนวนอย่างน้อย 2.64 หมื่นคน ซึ่งแรงงานทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่อาศัยในกรุงเทพฯ และชลบุรี
"นโยบายช่วยเหลือ" ผู้ประกอบการ มาตรการส่งเสริมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ครึ่งปีหลัง 2568
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดได้เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าชายแดนและแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบว่า ได้เร่งแก้ไขปัญหาย้ายช่องทางการส่งออกจากการปิดด่านในบางพื้นที่ เช่น ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ด่านชายแดนไทย-สปป.ลาว ที่ จ.อุบลราชธานี โดยเฉพาะด่านช่องเม็ก เป็นจุดส่งสินค้าไปยังกัมพูชาแทนได้ เพราะระยะทางไม่ไกลมาก แต่ก็มีอุปสรรคด้านการเก็บภาษีที่แตกต่างกันของแต่ละแขวง ซึ่งได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศ ไปเจรจากับทาง สปป.ลาว เพื่อหาทางออก และเปิดเส้นทางการส่งออกใหม่ให้กับผู้ประกอบการไทยแล้ว
นอกจากนี้ ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดใน 7 จังหวัดติดชายแดน ทั้งสระแก้ว จันทบุรี ตราด อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ไปสำรวจความต้องการของเกษตรกร ประชาชน และผู้ประกอบการในพื้นที่ว่าต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยเหลืออะไร นอกเหนือจากมาตรการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการแล้ว ทั้งการดูแลราคาสินค้า ค่าครองชีพ การช่วยระบายสินค้าเกษตรและสินค้าตกค้าง การลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ การเพิ่มสภาพคล่อง เพราะสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอยู่ อาจจะตรงกับความต้องการไม่ครบทั้งหมด ก็ให้ไปสำรวจมา และรายงานเข้ามายังส่วนกลาง เพื่อที่จะได้วางแผนในการช่วยเหลือต่อไป
การดูแลสินค้าเกษตร โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของ จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันราคาต่ำกว่าปีก่อน แม้ว่าจะส่งออกได้เพิ่มขึ้น เป็นเพราะราคาตลาดโลกลดลง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อยกระดับคุณภาพการผลิต การจัดหาท่อนพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพ ต้านทานโรคใบด่าง การส่งเสริมแปรรูปเป็นอาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อลดปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เกษตรกร และยังมีแผนจัดทำโครงการ “สินค้าธงเขียว” โดยร่วมมือกับผู้ผลิต ผู้ประกอบการลดราคาปัจจัยการเกษตร โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง ให้กับเกษตรกรด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดตัวเลข สถิติการค้า "ไทย-กัมพูชา" ครึ่งปี 2568 ภาพรวมส่งออก-นำเข้า ไทยเกินดุล แม้ค้าชายแดนวูบ
- พาณิชย์สหรัฐฯ คาด "ภาษีทรัมป์" โกยเงินเข้าประเทศพุ่ง 5 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน
- "คลัง" จัด 3 มาตรการ เยียวยาผู้รับผลกระทบเหตุชายแดน "ไทย-กัมพูชา" พักหนี้-ภาษี-สินเชื่อ
- เคาะระฆัง เริ่มต้น ภาษีการค้า 19% ไทยปีนกำแพงนำเข้าตลาดสหรัฐฯ ตั้งรับเสรีสินค้าอเมริกัน
- ไม่ต้องกังวลศพที่ชายแดนไม่เสี่ยงก่อโรคระบาด ไวรัสหายไปภายใน 48 ชม.