รุกสอบจริยธรรม
สัปดาห์นี้ต้องจับตามองท่าที"พรรคเพื่อไทย" (พท.) จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ตามรายงานข่าวที่ปรากฏหรือไม่ ยังมีประเด็นร้อนเพิ่มเติมเข้ามาอีก หลังแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ออกมาเปิดเผย จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) ตรวจสอบจริยธรรมหัวหน้ารัฐบาล และรัฐมนตรี
โดย "นายสุทิน คลังแสง" สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวถึงความคืบหน้าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า พรรคขอดูทิศทางการอภิปราย ในการพิจารณาร่างแก้ไข รธน.วาระ 2 ก่อน จากนั้นจึงจะประเมินสถานการณ์ว่า จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อเลย หรือยื่นหลังร่างแก้ไข รธน.วาระ 3 ผ่าน เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงตลอด ดังนั้นหากฟังการอภิปรายในวาระ 2 แล้วพอจะประเมินได้ว่า ร่างแก้ไข รธน.ในวาระ 3 จะผ่านหรือไม่ แล้วจะกำหนดวัน เวลาที่จะยื่นอีกครั้ง
แกนนำพรรค พท. ยังกล่าวอีกว่า ก่อนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรค พท.จะยื่นร้องศาล รธน.เอาผิดจริยธรรมกับรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลก่อน ส่วนจะมีใครบ้างนั้น เชื่อว่าสังคมพอคาดเดาได้ ทั้งเรื่องคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี พฤติกรรมก่อนและหลังการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งคุณสมบัติมิชอบมีอยู่หลายคน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ก็อยู่ในข่ายด้วย ซึ่งรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีประเด็น และข้อมูลเยอะที่สุดจากรัฐบาลที่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจมา วันนี้เรามีแต่คิดว่าจะตัดประเด็นไหนออก เพราะมีเรื่องเยอะจริงๆ เช่น เรื่องการจัดทำงบประมาณ ที่รัฐบาลชุดนี้อนุมัติงบแบบคาใจ เรื่องการจัดการเป็นเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ ซึ่งก็มีแต่ปัญหา
"รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยเวลาถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เขาจะยกธงท้าสู้ แอ่นอกไม่กลัวการตรวจสอบ แสดงความมั่นใจว่าไม่ผิด แต่รัฐบาลชุดนี้กลับยกธงขาวเตรียมเผ่น เป็นเรื่องแปลกที่สุดไม่เคยพบเจอ และที่มาบอกว่าถ้าหากพรรค พท. ยื่นอภิปราย จะยุบสภาหนีนั้น ท่านขู่เราเหมือนท่านภูมิใจ ทั้งที่เป็นเรื่องน่าอาย ต้องไว้เชิงบ้าง ส่วนเมื่อพรรค พท.ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้ว พรรค ปชน. จะร่วมด้วยหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ ขณะนี้พรรค ปชน.ยังมีท่าทียึกยัก เราก็ไม่รอ เดินหน้าเอง พวกท่านก็ตอบสังคมให้ได้ หากจะยังเป็นฝ่ายค้ำแล้วตัวเองดีขึ้นก็ไปค้ำ ระวังค้ำกันไปมาจะล้มทับกันเอง" นายสุทิน กล่าว
ด้าน "นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งที่ อ.พนมไพร อ.อาจสามารถ และ อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด ว่า ถ้าารัฐบาลยุบสภาหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จากนายกฯ ชื่อหนู จะเปลี่ยนสระอูเป็นสระอี กลายเป็นนายกฯ หนี ถ้ามาลงเลือกตั้งขอเป็นนายกฯ อีกสมัย แล้วชาวบ้านถามว่าเพิ่งยุบสภาหนีมาจะกลับเข้าไปอีกทำไม ก็ไม่รู้จะตอบได้อย่างไร บางพรรคบอกว่าอย่ายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เดี๋ยวการแก้ไข รธน.จะล่ม ไม่อยากจะพูดเลยว่าพรรคการเมืองไหน ที่ไม่ต้องการแก้ไข รธน.ตั้งแต่ต้น
"…หากปล่อยบ้านเมืองเป็นไปแบบนี้ต่อไป จะเป็นพิษภัยกับประชาธิปไตย โดยเฉพาะขณะนี้กำลังเกิดระบบกินรวบ โดยรัฐบาลสีน้ำเงิน ซึ่ง สว. ก็เป็นสีน้ำเงิน แล้ว สว. ก็มีอำนาจแต่งตั้งองค์กรอิสระอีก หากอำนาจทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และองค์กรอิสระเป็นพวกเดียวกันแล้ว อำนาจประชาชนอยู่ตรงไหน…" นายณัฐวุฒิ กล่าว
คำถามคือ นอกจากหัวหน้ารัฐบาล ที่จะถูกยื่นสอบจริยธรรมแล้ว ยังมีรัฐมนตรีคนไหน ที่จะติดร่างแหไปด้วย ซึ่งจะกลายเป็นบ่วงรัดคอ ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งดูท่าทีพรรค พท.คงรอประเมินว่า สว. จะให้ความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาการแก้ไข รธน. ในการพิจารณาวาระที่ 2 อย่างไร จะมีท่าทีให้ความเห็นชอบในวาระที่ 3 ถ้าออกไปในทางลบ คงยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ ในช่วงเปิดสภาทันที
ขณะที่การประชุมรัฐสภาวันที่ 10–11 ธ.ค. มีวาระสำคัญคือ การพิจารณาร่างแก้ไข รธน. ในวาระที่ 2 ซึ่งถ้าผ่านความเห็นชอบ ก็ต้องทิ้งไว้ 15 วัน เพื่อนัดลงมติในวาระที่ 3 ซึ่งท่าที สว. จะมีบทบาทสำคัญที่สุด หากเสียงเห็นชอบไม่ถึง 1 ใน 3 (67 เสียง) เท่ากับร่าง รธน. ต้องตกไป ดังนั้นสัญญาณที่ส่งออกมาจากทางสภาสูงจึงมีความหมายยิ่ง
"นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์" สว. ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไข รธน. และเป็นโฆษกคณะ กมธ.วิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิป สว.) กล่าวถึงจุดยืนของ สว. ในการโหวตร่างแก้ไข รธน.วาระ 2 และวาระ 3 ว่า ในวาระ 3 ยังตอบไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับการโหวตในวาระ 2 ซึ่งได้สงวนความเห็นไว้ 2 เรื่องหลัก คือ 1.มาตรา 256/26 วาระการดำรงตำแหน่งของ สว. และองค์กรอิสระ 2.มาตรา 256/28 กับ มาตรา 256/39 เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ สว. โดยคงเงื่อนไขการโหวตที่ต้องได้เสียง สว.ด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เห็นชอบด้วย โดยทั้ง 2 ข้อเสนอนี้ อิงตามที่เคยระบุไว้ใน รธน.ปี 2560
จากที่ได้ไปสอบถาม สว.คนอื่นมา เห็นว่าควรที่จะคงอำนาจดังกล่าวไว้ ถ้าเป็นไปตามนี้ คิดว่าการแก้ไข รธน.ก็มีโอกาสจะผ่าน แต่คงพูดแทนทั้งหมดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้ระบุเรื่องนี้ไว้ในบทเฉพาะกาล ก็เหมือนให้ สว.เขียนใบลาออกล่วงหน้า พอ รธน.ผ่าน พวกตนก็ต้องออกเลย เพราะตาม รธน.ปี 60 สว.เป็นได้สมัยเดียว สมัยต่อไปเป็นไม่ได้ จึงเชื่อว่านี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้สมาชิกหลายคนเห็นด้วยกับตน
ความเห็นดังกล่าว เหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณต่อรองบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ หากยังคงเรื่องอำนาจ สว. และการทำงานขององค์กรอิสระไว้ การพิจารณาให้ความเห็นชอบการแก้ไข รธน.วาระที่ 3 สว. ส่วนใหญ่จะยกมือให้การสนับสนุน อย่าลืมว่า "นายพิสิษฐ์" เป็นโฆษกวิปวุฒิ ซึ่งหมายความว่าจะรับรู้ทิศทาง และความเห็นของ สว.ส่วนใหญ่ได้มากพอสมควร คำถามคือ ข้อเสนอที่พูดออกมา จะได้รับการสนองตอบหรือไม่ เพราะบางพรรคการเมืองอาจการต้องการให้รื้อที่มาของ สว. และเปลี่ยนแปลงองค์กรอิสระ
ทีมข่าวการเมือง