เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางวันตื่นมารู้สึกตัวร้อนผิดปกติหรือจามบ่อยโดยไม่รู้สาเหตุ? นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายของคุณกำลังมีอะไรบางอย่างผิดปกติ สิ่งที่จะบอกได้ว่าร่างกายของเรากำลังเป็นอะไรอยู่ ก็คืออุณหภูมิร่างกายปกตินั่นเอง ซึ่งถ้าคุณรู้จักสังเกตและเข้าใจว่าอุณหภูมิในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นกำลังบอกอะไรเราบ้าง ก็จะช่วยให้เราดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น และรู้ว่าเมื่อไหร่ถึงควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็ว
อุณหภูมิร่างกายคืออะไร
อุณหภูมิร่างกายเปรียบเสมือนเทอร์โมมิเตอร์ที่คอยบอกสถานะความร้อนในร่างกายของเรา โดยเป็นผลมาจากความสมดุลระหว่างความร้อนที่ร่างกายผลิตขึ้นจากกระบวนการเมตาบอลิซึม และการแลกเปลี่ยนความร้อนกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกควบคุมโดยสมองส่วนที่เรียกว่าไฮโปทาลามัส ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะ คอยรักษาอุณหภูมิร่างกายปกติให้อยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส
โดยสมองส่วนไฮโปทาลามัสจะทำงานร่วมกับระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เพื่อรักษาสมดุลนี้ผ่านกลไกหลายอย่าง เช่น การปรับการไหลเวียนเลือดไปที่ผิวหนัง การควบคุมการสร้างความร้อนในร่างกาย การทำให้ขนลุก และการกระตุ้นต่อมเหงื่อ เมื่อร่างกายร้อนเกินไป เราจะเริ่มเหงื่อออกและหอบเพื่อระบายความร้อน แต่ถ้าหนาวเกินไป ขนก็จะลุกและกล้ามเนื้อจะสั่นเพื่อสร้างความร้อน
เมื่อพูดถึงอุณหภูมิคนปกติ เราสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ อุณหภูมิที่ผิวหนังหรือ Surface Temperature ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เราสามารถสัมผัสได้จากภายนอก และ Core temperature คือ อุณหภูมิในส่วนแกนกลางของร่างกาย ซึ่งวัดได้จากอวัยวะสำคัญ เช่น ทรวงอก ช่องท้อง หัวใจ และระบบเส้นเลือดต่าง ๆ โดย Core temperature นี้จะถือว่ามีความสำคัญมากกว่าเพราะเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพที่แม่นยำกว่า
อุณหภูมิร่างกายในแต่ละช่วงวัย
อุณหภูมิปกติของร่างกายในแต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างกัน เพราะการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงกระบวนการเผาผลาญพลังงานในแต่ละช่วงอายุไม่เหมือนกัน มาดูกันว่าแต่ละวัยควรมีอุณหภูมิร่างกายปกติอยู่ที่เท่าไร
- เด็กแรกเกิดถึงวัยเตาะแตะ (0-3 ปี) อุณหภูมิร่างกายควรอยู่ระหว่าง 36.6-37.2 องศาเซลเซียส ซึ่งจะสูงกว่าช่วงวัยอื่นเล็กน้อย เนื่องจากเด็กในวัยนี้มีการเผาผลาญพลังงานที่สูงมาก เพราะร่างกายกำลังเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านการเจริญเติบโตของอวัยวะต่าง ๆ การสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อใหม่ รวมถึงการพัฒนาของระบบประสาทและสมอง ทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานมากและมีการสร้างความร้อนสูงกว่าปกติ
- วัยผู้ใหญ่ (18-64 ปี) อุณหภูมิร่างกายปกติของผู้ใหญ่อยู่ที่ 36.1-37.2 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่ร่างกายมีความสมดุลและระบบควบคุมอุณหภูมิทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ไฮโปทาลามัสควบคุมระบบต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ทั้งการไหลเวียนเลือด การควบคุมการทำงานของต่อมเหงื่อ และอัตราการเผาผลาญ ทำให้การรักษาระดับอุณหภูมิในร่างกายค่อนข้างคงที่ แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิแตกต่างกัน
- ผู้สูงวัย (65 ปีขึ้นไป) อุณหภูมิร่างกายควรอยู่ที่ไม่เกิน 36.2 องศาเซลเซียส ซึ่งจะต่ำกว่าวัยอื่น เพราะมวลกล้ามเนื้อที่ลดลง การเผาผลาญช้าลง และชั้นไขมันใต้ผิวหนังที่บางลงตามวัย ทำให้การควบคุมอุณหภูมิร่างกายไม่ดีเท่าวัยหนุ่มสาว นอกจากนี้ ระบบการไหลเวียนของเลือดที่เสื่อมลงตามอายุก็มีส่วนทำให้การกระจายความร้อนในร่างกายไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม ผู้สูงอายุจึงมักรู้สึกหนาวง่ายกว่าคนวัยอื่น
วิธีการวัดอุณหภูมิร่างกาย ต้องทำยังไง
เทคโนโลยีการวัดอุณหภูมิปกติของร่างกายมนุษย์ได้พัฒนาไปไกลจากปรอทแก้วแบบดั้งเดิม มาสู่เครื่องมือทันสมัยอย่างเทอร์โมมิเตอร์ดิจิทัล เครื่องวัดทางหู และเครื่องวัดอินฟราเรดที่ใช้งานง่ายขึ้น แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน มาดูกันว่าควรเลือกวัดแบบไหนให้เหมาะกับสถานการณ์
การวัดที่รักแร้เป็นวิธีที่คุ้นเคย เพียงวางเครื่องวัดและหนีบแขนให้แน่น รอ 5-10 นาที แม้จะใช้เวลานานหน่อยแต่ก็ปลอดภัยและทำได้ง่าย ส่วนการวัดทางปากนั้นใช้เวลาน้อยกว่า แต่ต้องระวังเรื่องความสะอาด อย่าลืมเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ทุกครั้ง
สำหรับคนที่ต้องการความรวดเร็ว การวัดที่หูเป็นตัวเลือกที่ดี ด้วยเครื่องวัดพิเศษหรืออินฟราเรด จึงได้ค่าที่แม่นยำพอสมควร ส่วนวิธีที่แม่นยำที่สุดคือการวัดทางทวารหนัก มักใช้กับเด็กเล็ก แต่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวได้
วิธีที่สะดวกที่สุดในปัจจุบันคือการวัดที่หน้าผากด้วยเครื่องวัดอินฟราเรด เพียงจ่อที่หน้าผากและกดปุ่ม ก็ได้ผลลัพธ์ทันที แต่ความแม่นยำอาจขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้วย
ทั้งนี้ ไม่ต้องตกใจถ้าวัดหลายครั้งแล้วได้ค่าไม่เท่ากัน เพราะอุณหภูมิร่างกายปกติเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แค่อยู่ในช่วงปกติก็ถือว่าไม่มีอะไรน่ากังวล แต่ถ้าสงสัยว่ามีไข้ ให้ลองวัดซ้ำ 2-3 ครั้งเพื่อความมั่นใจ
อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงเพราะอะไร? รวมสาเหตุที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ
อุณหภูมิร่างกายของเราไม่ได้คงที่ตลอดเวลา แต่แกว่งขึ้นลงตามปัจจัยต่าง ๆ แม้จะพยายามรักษาอุณหภูมิร่างกายปกติไว้ที่ประมาณ 37 องศา แต่มีหลายสิ่งที่ทำให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงได้ ดังนี้
- การทำกิจกรรมและออกกำลังกาย เมื่อเราออกแรง กล้ามเนื้อจะทำงานหนักขึ้นทำให้เกิดความร้อนสะสม อุณหภูมิร่างกายจึงสูงขึ้นได้ 1-2 องศา โดยเฉพาะการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง
- ช่วงเวลาของวัน โดยจะสูงที่สุดในช่วงสาย ๆ ถึงบ่าย และต่ำที่สุดในช่วงเช้ามืด โดยความเปลี่ยนแปลงนี้สัมพันธ์กับการหลั่งฮอร์โมนและการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย
- อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งการดื่มเครื่องดื่มร้อนจะเพิ่มอุณหภูมิชั่วคราว รวมทั้งอาหารบางชนิด เช่น พริก ขิง หรืออาหารเสริมอย่างวิตามินบีรวม ก็กระตุ้นการเผาผลาญและทำให้รู้สึกร้อนขึ้นได้
- สภาพแวดล้อมและอากาศ การอยู่ในที่ร้อนจัดทำให้ร่างกายดูดซับความร้อนและอุณหภูมิสูงขึ้น ขณะที่การอยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ ก็ทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลง
- สภาวะทางอารมณ์และความเครียด ซึ่งมีผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย เมื่อเครียด กังวล หรือตื่นเต้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น การเผาผลาญเพิ่มขึ้น และอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นได้ จึงเป็นเหตุผลที่เวลาประหม่าหรือตื่นเต้นมาก ๆ จึงรู้สึกร้อน
โรคหรือภาวะเสี่ยงที่อาจทำให้อุณหภูมิในร่างกายไม่ปกติ
เมื่อร่างกายมีอุณหภูมิที่ผิดปกติอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังมีปัญหาสุขภาพบางอย่าง มาดูกันว่ามีโรคหรือภาวะใดบ้างที่ส่งผลต่ออุณหภูมิร่างกาย
- ไข้จากการติดเชื้อ เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด มักมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ เช่น กลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว หรือน้ำมูกไหล หากไข้สูงถึง 39 องศา ควรรีบพบแพทย์ทันที
- ภาวะตัวเย็นเกิน เป็นภาวะอันตรายที่อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า 35 องศา มักเกิดจากการอยู่ในที่เย็นจัดเป็นเวลานาน ส่งผลให้การหายใจและการเต้นของหัวใจช้าลง
- ภาวะตัวร้อนเกิน เกิดเมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 37.5 องศา อาจเกิดจากการออกกำลังกายหักโหม ติดเชื้อรุนแรง หรือการอักเสบของอวัยวะภายใน อาจมีอาการอ่อนเพลียหรือปวดหัวร่วมด้วย
- ภาวะขาดน้ำ เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไปส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ชีพจรเต้นเร็ว และอ่อนเพลีย มักพบในคนที่ออกกำลังกายหนักโดยไม่ดื่มน้ำ หรือท้องเสียรุนแรง
- โรคลมแดด ภาวะฉุกเฉินที่อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงเกิน 40.5 องศา เกิดจากการอยู่กลางแดดจัดหรือที่ร้อนอบอ้าวนาน ผู้ป่วยจะกระหายน้ำ คลื่นไส้อาเจียน และอาจหมดสติได้
อุณหภูมิร่างกายปกติ สัญญาณเตือนสุขภาพที่ห้ามมองข้าม
อุณหภูมิร่างกายเป็นตัวชี้วัดสุขภาพที่สำคัญ โดยปกติแล้วร่างกายจะพยายามรักษาอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส ผ่านการทำงานของสมองส่วนไฮโปทาลามัส แต่ค่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงวัย กิจกรรมที่ทำ และสภาพแวดล้อม โดยเด็กเล็กมักมีอุณหภูมิสูงกว่าผู้ใหญ่เล็กน้อย อยู่ที่ 36.6-37.2 องศา ในขณะที่ผู้สูงอายุมักมีอุณหภูมิต่ำกว่า แต่จะไม่เกิน 36.2 องศา
การวัดอุณหภูมิร่างกายสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการวัดที่ปาก รักแร้ หู หน้าผาก หรือทวารหนัก โดยแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่สิ่งสำคัญคือต้องวัดอย่างถูกวิธีและใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพ หากพบว่าอุณหภูมิสูงเกิน 38 องศาหรือต่ำกว่า 35 องศา ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ ภาวะร่างกายร้อนหรือเย็นเกิน หรือโรคอื่น ๆ อย่าลืมหมั่นเช็กอุณหภูมิร่างกายเป็นประจำ เพราะนี่คือหนึ่งในสัญญาณเตือนสุขภาพที่ห้ามมองข้าม การรู้อุณหภูมิร่างกายปกติของตัวเองจะช่วยให้เราสังเกตความผิดปกติได้เร็วขึ้นและรับมือได้อย่างทันท่วงที
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คอลลาเจนกินตอนไหนดี ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกับร่างกาย
ยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ต่างกันยังไง? ทำยังไงให้น้ำมูกหายเร็วที่สุด
ผมร่วงเยอะมากเกิดจากอะไร วิธีหยุดผมร่วง รักษาแบบไหนดี?
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : อุณหภูมิร่างกายปกติคือเท่าไร? รวมข้อมูลที่ควรรู้เพื่อสุขภาพที่ดี
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com