ข้อมูลเบื้องต้น
ระวังให้ดี! ชายาผู้นี้จะกลับมาทวงแค้น
ผู้แต่ง: 奈何潇湘
จำนวนตอน: 350+ ตอน
Original story 狂妃嫁到: 神尊要逆袭
Thai language translation rights arranged with: 纵横中文网
(Zongheng Zhongwen Wang)
through TLL Literary Agency and Silkroad Publishers Agency Co., Ltd.
ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทย: สำนักพิมพ์เซียนอ่าน
นักวาด: Namtan[糖人]
ผู้แปล: เสี่ยวเถียวนั่งหิวอยู่ริมคลอง
---------------------------------------------------------------------
เรื่องย่อ
เฟิ่งมู่ชิงตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของสตรีอัปลักษณ์ที่ไร้ประโยชน์ในดินแดนที่ตนไม่คุ้นเคย
ไร้ประโยชน์งั้นหรือ?
หารู้ไม่ว่า นางคืออดีตเทพเซียนผู้ทรงพลังที่ไม่หวั่นเกรงผู้ใด ต่อให้อีกฝ่ายจะสูงส่งมาจากไหน นางก็ฟาดหมดไม่สนลูกใคร เพราะสามีใหญ่มาก!
สตรีอัปลักษณ์งั้นหรือ?
หารู้ไม่ว่า หลังจากที่หญิงสาวขจัดพิษในตัวได้สำเร็จ นางก็กลายเป็นสาวงามล่มเมืองที่ไปเยือนที่ใดผู้คนก็ต้องเหลียวมองนาง
การเกิดใหม่ในครั้งนี้ เฟิ่งมู่ชิงจำต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดในใต้หล้า ไม่ว่าใครหน้าไหนเข้ามาขัดขวาง จะเป็นเทพบนสวรรค์หรือปีศาจร้ายในขุมนรก นางก็จะกำจัดพวกมันทิ้งให้หมด!
ว่าแต่… มีใครสามารถบอกได้บ้างไหมว่านางมองข้ามบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่คอยอยู่เคียงข้างนางมาตลอดได้อย่างไรกัน?!
หรือนี่จะเป็นอย่างที่คนเขาพูดกันว่า… น้ำหยดลงบนหินทุกวัน หินบอกว่าเป็นเพื่อนกัน
---------------------------------------------------------------------
บทที่ 1-30 อัปเดตตอนเพิ่มทุกวัน วันละ 2 ตอน เวลา 12.00 น.
ตั้งแต่บทที่ 31 เป็นต้นไป อัปเดตวันละ 3 ตอน เวลา 12.00 น.
**หยุดอัปเดตตอนวันที่ 1 กับ 16 ของทุกเดือน**
ติดตามข่าวสารหรือพูดคุยกับเราได้ที่เพจ Facebook: สำนักพิมพ์เซียนอ่าน - Xianaan
---------------------------------------------------------------------
ระดับพลัง เรียงจากระดับต่ำไปสูง
ขอบเขตกลั่นลมปราณ
ขอบเขตสร้างรากฐาน
ขอบเขตสร้างแก่นพลังทองคำ
ขอบเขตก่อกำเนิด
ขอบเขตผันวิญญาณ
ขอบเขตคืนสู่ความว่างเปล่า
ขอบเขตมหายาน
แต่ละขอบเขตมีทั้งหมด 7 ขั้น
---------------------------------------------------------------------
ระดับวิชา/โอสถ เรียงจากระดับต่ำไปสูง
ธุลี
นภา
ปฐพี
สวรรค์
ใครส่งพวกเจ้ามา?
เฟิ่งมู่ชิงลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง นางกวาดสายตามองไปรอบตัวก่อนจะพบว่าตนอยู่ในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนเกี้ยวเจ้าสาว
เกิดอะไรขึ้น?
ข้าแค่งีบหลับไปมิใช่หรือ? แล้วทำไมตอนนี้ข้าถึงอยู่ในร่างของสตรีที่กำลังสวมใส่ชุดแต่งงานกัน?
ในตอนนี้หญิงสาวรู้สึกตะขิดตะขวงใจมาก เพราะก่อนหน้านี้นางเป็นเทพเซียนผู้สง่างาม เป็นดั่งต้นเหล็กอายุหลายพันปีที่ไม่เคยเบ่งบาน*มาก่อน และนี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่ในชุดเจ้าสาว
*เป็นคำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ผู้ที่มีอายุอยู่มานานแต่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรัก
เฟิ่งมู่ชิงผุดลุกขึ้นทันที ทว่าเพราะการลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันทำให้นางมีอาการวิงเวียนศีรษะจนต้องนั่งลงอีกครั้ง
แต่แล้วจู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาในหัว เนื่องจากความทรงจำที่ไม่ใช่ของตนหลั่งไหลเข้ามาทำให้นางรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เฟิ่งมู่ชิงสะบัดหัวเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นกุมหน้าผาก ก่อนจะค่อย ๆ แยกแยะความทรงจำทั้งหมด
เฮอะ! ช่างดีเหลือเกิน
มุมปากของเฟิ่งมู่ชิงกระตุกยิ้มเย้ยหยันต่อโชคชะตาที่น่าเศร้าของตัวเอง
หลังจากนางใช้เวลานานกว่าสัปดาห์ในการพยายามเอาตัวรอด ในที่สุดนางก็ตะเกียกตะกายหนีพ้นจากมือมัจจุราชมาได้ แต่นางไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกอสนีบาตขนาดมหึมาเส้นนั้นฟาดใส่ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันก็ส่งให้นางมาอยู่ที่นี่
อุกอาจ!
มันช่างอุกอาจมากเสียจริง!
หญิงสาวได้แต่ก่นด่าในใจ ก่อนจะสำรวจความทรงจำของร่างเดิมจนได้รู้ว่าเจ้าของร่างนี้มีนามว่า ‘เฟิ่งมู่ชิง’ ด้วยเช่นกัน นางเป็นบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายของ ‘เฟิ่งเทียนหลิง’ ผู้ดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดีแห่งแคว้นเป่ยอี้ ในวันที่ร่างเดิมถือกำเนิดนั้นก็เกิดปรากฏการณ์แปลก ๆ ที่ทำให้ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงวิปริตแปรปรวน
ในวันนั้น ‘หลานจิ้งโหรว’ ผู้เป็นแม่ของนางเสียชีวิตในขณะคลอดบุตร และด้วยความเศร้าโศกเสียใจที่ภรรยาตายจาก จึงทำให้พ่อของนางส่งเฟิ่งมู่ชิงที่อายุยังไม่ถึง 1 เดือนไปอยู่ที่เป่ยหยวน เมืองชายขอบซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงที่สุด โดยจัดการให้มีคนรับใช้เพียงคนเดียวไปอยู่ดูแลนาง
และจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้คนรับใช้ในจวนฉวยโอกาสกลั่นแกล้งรังแกนางมาตลอด 15 ปี
พอคิดมาถึงขณะนี้เฟิ่งมู่ชิงก็รู้สึกว่าร่างเดิมนั้นโชคดีมากที่เติบโตขึ้นมาได้แม้ว่านางจะถูกทิ้งให้ดูแลตัวเองก็ตาม
ถัดมา หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะเปิดม่านเดินออกจากเกี้ยวเจ้าสาวขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ ทำให้รู้ว่าปัจจุบันตนกำลังอยู่ในป่าอันเงียบสงัดที่ไม่มีร่องรอยของมนุษย์อยู่เลยแม้แต่น้อย
ไม่ใช่ว่าตอนนี้ร่างเดิมต้องเข้าพิธีสมรสในจวนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามพระราชโองการของฮ่องเต้หรอกหรือ?
เหตุใดนางถึงมาอยู่ในป่ารกร้างเช่นนี้?
แล้วคนแบกเกี้ยวเจ้าสาวหายไปไหน ทำไมถึงไม่มีใครอยู่เลย?
ในหัวของเฟิ่งมู่ชิงเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้
ทันใดนั้น ขณะที่หญิงสาวกำลังไตร่ตรองถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ จู่ ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งเข้ามา ทำให้นางตื่นตัวก่อนจะเบี่ยงหลบไปด้านข้างทันที
ปัง!!!
ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของหญิงสาวล้มกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น
จังหวะนั้นเฟิ่งมู่ชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์ ในขณะที่เปลือกตาของนางกระตุกถี่ ๆ เหมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความโชคร้าย
เทพเซียนบนสวรรค์ช่างใจดีกับนางเสียเหลือเกิน ไม่เพียงแต่ส่งนางมาอยู่ในร่างของสตรีที่กำลังจะแต่งงานเท่านั้น แต่นางยังถูกลอบโจมตีอีกด้วย!
ขณะนั้นหญิงสาวหันไปเผชิญหน้ากับเหล่าชายชุดดำกลุ่มหนึ่งซึ่งยืนถืออาวุธตั้งท่าเตรียมจะฟาดฟันนาง พร้อมกับที่นัยน์ตาเหลือบไปเห็นแสงอาทิตย์ยามสนธยาที่สะท้อนคมดาบเป็นประกายอันเย็นเยียบที่ไม่ว่าใครพบเห็นก็คงจะอดสั่นสะท้านไม่ได้
ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายต่างยืนมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ในเวลาเดียวกันนั้น เฟิ่งมู่ชิงแอบขยับนิ้วใต้แขนเสื้อเงียบ ๆ เพื่อที่จะตอบโต้กลุ่มคนตรงหน้า ทว่านางก็ต้องตกใจ
เกิดอะไรขึ้น!?
เหตุใดข้าจึงใช้พลังไม่ได้?
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เฟิ่งมู่ชิงเหยียดยิ้มด้วยความขมขื่น ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเทพเซียนที่อายุน้อยที่สุดแห่งสวรรค์ชั้นฟ้าจะกลายเป็นหมูในอวยรอให้คนอื่นเชือดแบบนี้
“ฆ่ามัน!”
ชายชุดดำที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำตะโกนสั่งเสียงดัง จากนั้นคนที่เหลือก็วิ่งกรูกันเข้าไปหาหญิงสาวที่เป็นเป้าหมายของพวกเขาทันที
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นดังนั้น แววตาของนางก็แข็งกร้าว นางรีบดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออกมา ก่อนจะใช้มันทิ่มเข้าไปในร่างกายของนางสองสามครั้ง ไม่นานหญิงสาวก็รู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้น อีกทั้งความอบอุ่นก็ไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของตัวเองด้วย
ในขณะที่คมดาบกำลังจะสัมผัสร่างกาย สายตาอันแหลมคมของเฟิ่งมู่ชิงก็สังเกตเห็นมันเสียก่อน นางจึงบิดตัวไปด้านข้างพร้อมกับคว้าข้อมือของศัตรู ก่อนจะหักข้อมือคนตรงหน้าอย่างแรง จากนั้นจึงคว้าดาบที่หลุดออกจากมือของอีกฝ่ายขึ้นมาใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว
นั่นทำให้ชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งพลางมองดูมือขวาที่ว่างเปล่าด้วยความงุนงง
สตรีผู้นี้เป็นคนไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?
เหตุใดคนไร้ประโยชน์ถึงสามารถแย่งอาวุธไปจากมือของข้าได้?
ไม่นานชายชุดดำผู้นั้นก็ได้สติ เขาคำรามด้วยความโกรธก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปหาคู่ต่อสู้อีกครั้งพร้อมกับง้างดาบที่อยู่ในมืออีกข้างขึ้น เพื่อหวังจะฟาดฟันหญิงสาวตรงหน้าให้ตาย
เคร้ง! ชิ้ง!
เสียงการปะทะกันของดาบในป่าอันเงียบสงบนั้นดูรุนแรงเป็นพิเศษ ประกายไฟจากอาวุธที่สะท้อนเป็นครั้งคราวทำให้เห็นว่ายามนี้ใบหน้าของเฟิ่งมู่ชิงดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
ในความโกลาหล ร่างของทั้งสองฝ่ายต่างก็โรมรันเข้าหากัน ทุกการเคลื่อนไหวนั้นดูรุนแรงจนรู้สึกได้ถึงอันตรายที่พร้อมจะปลิดชีพของกันและกันได้ทุกเมื่อ
บัดนี้ดาบในมือของหญิงสาวถูกย้อมด้วยเลือดของศพจำนวนนับไม่ถ้วน ใบมีดของนางโบกสะบัดราวกับผีเสื้อที่กำลังโบยบิน และท่วงท่าในการต่อสู้ที่งดงามทำให้ร่างของนางเปรียบดังบุปผาที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด
เลือดที่ไหลนองอยู่ใต้เท้าพร้อมกับศพของชายชุดดำที่ล้มลงกลาดเกลื่อนยิ่งทำให้การแสดงออกของเฟิ่งมู่ชิงดูเย็นชามากขึ้น สายตาคมดุของนางจับจ้องไปยังศัตรูที่เหลืออยู่ไม่วางตา
ในตอนนี้จำนวนของชายชุดดำเหลืออยู่ไม่มากนัก พวกเขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนกพร้อมกับความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้พวกเขาตั้งท่าจะล่าถอยด้วยกำลังเฮือกสุดท้าย
เฮอะ!
พอเฟิ่งมู่ชิงเห็นว่าเหล่าชายชุดดำที่เหลือตั้งใจจะหลบหนี นางก็เยาะเย้ยพวกมันในใจ
คนที่กล้าหมายหัวเอาชีวิตของนางมีจุดจบเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือการถูกส่งลงไปนั่งจิบชากับท่านพญายมในนรกเท่านั้น!
เมื่อหญิงสาวมองเห็นฝ่ายตรงข้ามเผยช่องโหว่ นางก็กระโดดหมุนตัวถีบไปที่หน้าอกของชายชุดดำทั้งสองจนล้มลงกับพื้น จากนั้นนางก็ใช้ดาบในมือชี้ไปที่ใบหน้าของคนทั้งคู่
“ใครส่งพวกเจ้ามา?”
“พวกข้าเพียงแค่รับเงินของผู้คนแล้วช่วยพวกเขากำจัดภัยพิบัติก็เท่านั้น”
“บอกมาว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”
พอชายชุดดำได้ยินคำถามของหญิงสาวตรงหน้า พวกเขาต่างก็เงียบไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงหรี่ตามองชายสองคนที่นั่งอยู่บนพื้น ครั้นเห็นว่าคงไม่ได้รับคำตอบ นางจึงใช้ดาบฟันคนทั้งคู่ด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก ส่งผลให้ชายชุดดำทั้งสองเบิกตากว้างก่อนสิ้นใจตาย
ในเวลาเดียวกัน เลือดสีแดงสดไหลไปตามใบมีดก่อนจะหยดลงบนหญ้าที่เหี่ยวเฉาแล้วซึมลงผืนดิน
หญิงสาวมองดูศพที่เกลื่อนอยู่บนพื้นอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทิ้งดาบแล้วเดินตามทางที่เป็นเหมือนถนนเล็ก ๆ ออกไป
โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางตั้งใจเรียนรู้อย่างขยันขันแข็งเพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นเทพเซียน นางจึงศึกษาหาความรู้ในเกือบทุกด้าน รวมถึงศิลปะการต่อสู้ ทักษะทางการแพทย์ และทักษะการใช้พิษ
มิฉะนั้น นางอาจจะกลายร่างเป็นวิญญาณที่ตายภายใต้คมดาบของคนชั่วไปแล้วก็ได้
แม้ว่าในตอนนี้นางจะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณของตัวเองได้ก็ตาม แต่ด้วยทักษะความสามารถในชีวิตก่อนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นางโดดเด่นแม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชน
หลังจากเฟิ่งมู่ชิงเดิน ๆ หยุด ๆ มาเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็เห็นถนนที่เหมือนจะเป็นถนนสายหลักทำให้หญิงสาวมีความสุขมาก แต่เมื่อมองเส้นทางข้างหน้าที่ดูไกลจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด นางก็รู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาในทันที
นี่ข้าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะเดินไปถึงเมืองหลวง?
เป็นเพราะร่างเดิมไม่เคยออกจากจวนที่เคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ทำให้นางไม่รู้ว่าควรจะเดินไปยังทิศทางไหน และบางทีตอนนี้นางอาจจะกำลังเดินออกห่างจากเมืองหลวงโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกจนใจ
เฮ้อ นี่มันจะลำบากเกินไปแล้วนะ เมื่อไหร่จะถึงสักที
ในขณะที่นางกำลังรู้สึกหมดหนทาง จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าของม้าพร้อมกับเสียงล้อรถดังมาจากด้านหลัง
หญิงสาวจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางยกยิ้มมุมปากก่อนจะก้าวหันหลังกลับไปเพื่อหยุดรถม้าไว้
เมื่อรถม้าหยุดวิ่งอย่างกะทันหัน คนในรถก็เอ่ยถามคนบังคับรถม้าของตน
“เกิดอะไรขึ้น?”
เสียงนุ่มทุ้มจากคนในรถม้าฟังดูอ่อนโยนจนทำให้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกประหลาดใจ
“นายท่านขอรับ มีสตรีนางหนึ่งมาขวางทางไว้ขอรับ” ชายที่รับหน้าที่ขับรถม้ามองดูหญิงสาวในชุดแต่งงานที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับกล่าวรายงานผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
ไม่นานนัก นิ้วเรียวยาวขาวนวลก็เลิกม่านของรถม้าขึ้น และทันใดนั้น ใบหน้าที่ดูบอบบางราวกับหยกก็ปรากฏออกมา
เฮือก–
เฟิ่งมู่ชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับมองไปยังชายบนรถม้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
ดวงตาดอกท้อสดใสใต้คิ้วรูปดาบคู่นั้นราวกับน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่ชโลมจิตใจของผู้ที่ได้พบเห็น ริมฝีปากบางรับกับสันจมูกคมดูน่าทะนุถนอม อีกทั้งเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อนที่ชายผู้นั้นกำลังสวมใส่ยิ่งส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของเขาดูอ่อนโยนมากขึ้นไปอีก
‘คนแปลกหน้าก็เหมือนหยก สุภาพบุรุษที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ในโลกนี้*’ คำกล่าวนี้เหมาะสมกับชายตรงหน้าทุกประการ
*มาจากบทกวีที่ใช้เพื่อเปรียบเปรยถึงผู้ชายที่มีรูปโฉมงดงาม แต่ก็ยังคงมีความสง่างามของความเป็นชายชาตรี
เมื่อ ‘อวี้ชิงเฟิง’ เห็นหญิงสาวที่ยืนขวางรถม้าตกอยู่ในอาการมึนงง เขาก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย
ทันใดนั้น หัวใจของเฟิ่งมู่ชิงก็พองโตจนแทบระเบิดออกมาจากอก นางรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกห่อหุ้มด้วยสายลมอันอบอุ่น
ช่างเป็นบุรุษที่อ่อนโยนและสง่างามเสียจริง!
หญิงสาวเคยคิดว่านางได้เห็นบุรุษที่หล่อเหลามามากมายแล้ว แต่นางพึ่งเคยเห็นชายหนุ่มรูปงามและมีเสน่ห์ขนาดนี้เป็นครั้งแรก
“แม่นาง ทำไมเจ้าถึงมายืนขวางรถม้าเช่นนี้?”
เฟิ่งมู่ชิงที่ได้ยินอีกฝ่ายถามก็รู้สึกตัวทันที นางจึงเสมองไปทางอื่นด้วยความเก้อเขิน
“ข้าต้องการเดินทางไปยังเมืองหลวง ข้าขอติดรถม้าของท่านไปด้วยได้หรือไม่?”
“หากแม่นางไม่ถือสาที่จะร่วมเดินทางไปกับคนแปลกหน้าก็เชิญขึ้นมาเถิด”
“ขอบพระคุณท่านมาก”
ทันทีที่ชายหนุ่มบนรถม้าอนุญาต นางก็เอื้อมมือไปยึดขอบประตูรถม้าแล้วกระโดดเข้าไปข้างในทันที
ส่วนคนบังคับรถม้าที่เห็นว่านายของตนอนุญาตให้หญิงสาวแปลกหน้าติดรถไปด้วยก็รู้สึกตกตะลึง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าเจ้านายของตนปล่อยให้สตรีเข้าใกล้ขนาดนี้
“ไปกันเถอะ”
เสียงออกคำสั่งของผู้เป็นนายทำให้บ่าวรับใช้กลับมารู้สึกตัวก่อนจะเริ่มบังคับรถม้าให้ออกเดินทางอย่างมีสติ
หลังจากเฟิ่งมู่ชิงขึ้นรถมาแล้ว นางก็นั่งลงตรงข้ามกับอวี้ชิงเฟิง เมื่อมองคนตรงหน้า ความประหลาดใจก็ฉายผ่านดวงตาของนางชั่วขณะ แต่จากนั้นนางก็ไม่ได้มีท่าทีงุนงงเหมือนตอนพบกันครั้งแรกอีกเลย
ทางด้านชายหนุ่มเจ้าของรถม้า พอเขาสังเกตเห็นท่าทีของหญิงสาว เขาก็พบว่านางดูน่าสนใจมาก
คนแบบไหนกันที่สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ในชั่วอึดใจเดียว?
“ข้ามีนามว่าอวี้ชิงเฟิง ข้าควรเรียกขานนามแม่นางว่าอย่างไรดี?” ชายหนุ่มเอ่ยเปิดบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบในรถ
“เฟิ่งมู่ชิง” หญิงสาวตอบคำถามสั้น ๆ
เฟิ่งมู่ชิงงั้นหรือ!?
สตรีคนนี้คือคนเดียวกันกับเฟิ่งมู่ชิงเขารู้จักใช่หรือไม่?
อวี้ชิงเฟิงมองหญิงสาวตรงหน้าให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
นางคือเฟิ่งมู่ชิง บุตรสาวคนโตของมหาเสนาบดีเฟิ่งที่ไม่ได้รับความโปรดปรานที่เขารู้จักจริง ๆ
แต่วันนี้เป็นวันสำคัญของนางกับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินมิใช่หรือ?
แล้วนางมาอยู่คนเดียวในที่รกร้างเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในขณะเดียวกัน เมื่อเฟิ่งมู่ชิงสบสายตากับอวี้ชิงเฟิง นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามคนตรงหน้าว่า
“คุณชายอวี้รู้จักข้าใช่หรือไม่?”
“เคยได้ยินมาเล็กน้อย”
พอหญิงสาวได้ยินคำตอบของชายตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกสับสน
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: สวัสดีนักอ่านที่น่ารักทุกคนจ้า มาตอนแรกนางเอกของเราก็ได้บู๊แล้ว เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ฝากติดตามผลงานแปลเรื่องใหม่ของเสี่ยวเถียวกันด้วยน้า
ปล.เราเพิ่งเคยแปลนิยายแนวเล่ห์รักวังหลวงเป็นครั้งแรก ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาดตรงไหน ต้องขอภัยด้วยนะคะ และหากทุกคนมีข้อเสนอแนะหรือข้อติใด ๆ สามารถบอกเราได้เลย เพื่อที่เราจะได้นำไปปรับปรุงในอนาคตค่ะ ขอบคุณค่ะ
เขาจำพระชายาของเขาไม่ได้จริง ๆ งั้นหรือ?
เมื่ออวี้ชิงเฟิงสังเกตเห็นท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าของเฟิ่งมู่ชิง เขาจึงพูดขึ้นว่า
“ยังอีกไกลกว่าจะถึงเมืองหลวง คุณหนูใหญ่เฟิ่งสามารถพักผ่อนได้สักพัก”
หญิงสาวที่ได้ยินดังนั้นก็เปิดม่านหน้าต่างรถพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะถามกลับว่า “อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึง?”
หวังว่าจะทันเวลานะ
“ประมาณ 2 เค่อ*” ชายหนุ่มตอบ
*1 เค่อ = 15 นาที
เฟิ่งมู่ชิงพยักหน้ารับก่อนจะเอนตัวพิงผนังแล้วหลับตาลงเพื่อแยกแยะความทรงจำที่วุ่นวายในหัวของนาง
สถานที่ที่นางอยู่ ณ ตอนนี้เรียกว่า ‘ดินแดนซิงหยุน’ โดยมีแคว้นเป่ยอี้เป็นเมืองศูนย์กลาง และมีแคว้นอื่น ๆ อีกมากมายอยู่ล้อมรอบ
ในวัยเด็กของผู้คนที่นี่จะใช้หินทดสอบพลังวิญญาณในการทดสอบรากวิญญาณของพวกเขาเพื่อเฟ้นหาเด็กที่มีความสามารถจากแต่ละครอบครัว จากนั้นจึงส่งพวกเขาไปยังสำนักศึกษาต่าง ๆ
รากวิญญาณในโลกนี้แบ่งออกเป็น 5 ธาตุ ได้แก่ โลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟ และดิน นอกจากนี้ยังแบ่งระดับพลังออกเป็นขอบเขตกลั่นลมปราณ, ขอบเขตสร้างรากฐาน, ขอบเขตสร้างแก่นพลังทองคำ, ขอบเขตก่อกำเนิด, ขอบเขตผันวิญญาณ, ขอบเขตคืนสู่ความว่างเปล่า และสุดท้ายคือขอบเขตมหายาน ซึ่งแต่ละขอบเขตก็แบ่งออกเป็นอีก 7 ขั้น
ความหนาแน่นของพลังวิญญาณที่นี่ค่อนข้างสูง แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่ากับโลกที่นางจากมา แต่สำหรับโลกนี้ที่ยังไม่มีผู้มีพลังที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตผันวิญญาณก็ถือว่าไม่ได้แย่นัก
และด้วยเหตุผลบางประการทำให้ที่แห่งนี้มีผู้มีพลังเพียงไม่กี่คนที่สามารถไปถึงขอบเขตก่อกำเนิดได้ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงขอบเขตผันวิญญาณเลย
เรื่องราวชีวิตของเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ได้ราบรื่นดังเช่นคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไป และในความทรงจำของร่างเดิมมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหาคนมาสอบถามเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียแล้ว
เมื่อคิดว่าในชีวิตก่อนนางยังสามารถก้าวขึ้นเป็นเซียนอันดับต้น ๆ ของสวรรค์ชั้นฟ้าได้ ตอนนี้นางก็แค่ต้องกลับมาฝึกฝนอย่างหนักอีกครั้ง
เวลาต่อมา หญิงสาวลองใช้พลังวิญญาณตรวจสอบเส้นลมปราณของร่างนี้ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น
ในความทรงจำตอนที่ร่างเดิมทดสอบรากวิญญาณนั้น นางพบว่าตัวเองไม่มีรากวิญญาณจึงไม่สามารถฝึกฝนเหมือนกับเด็กคนอื่นได้ แต่ตอนนี้เฟิ่งมู่ชิงกลับรู้สึกถึงมวลก้อนเล็ก ๆ สีขาวในร่างกาย
นี่คือ?…
จากนั้นหญิงสาวจึงใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางวางลงบนจุดชีพจรเพื่อตรวจดูร่างกายของตนเงียบ ๆ
นี่มันอาการของคนถูกวางยาพิษชัด ๆ
แถมพิษยังอยู่ในร่างกายมาเกือบ 10 ปี!
ความจริงที่ปรากฏทำให้เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ร่างเดิมเป็นเพียงสตรีอ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ด้วยซ้ำ แล้วใครกันที่ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ลงคอ!
ในขณะที่หญิงสาวกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด อวี้ชิงเฟิงที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามก็แอบมองสำรวจนางลับ ๆ
เห็นทีวันนี้ในจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินจะมีเรื่องตื่นเต้นมากมาย แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นแค่เพียงตัวประกันต่างแคว้น ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าร่วมความสนุกได้อย่างเปิดเผย
ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าเฟิ่งมู่ชิงเป็นเพียงคนไร้ค่า แต่จากที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นในวันนี้ ดูเหมือนว่าชื่อเสียงเหล่านั้นมิคู่ควรกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนี้เมืองหลวงอาจจะไม่สงบอีกต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เสียงอึกทึกครึกโครมก็บอกให้รู้ว่ารถม้าได้เดินทางเข้าสู่เขตเมืองหลวงแล้ว ซึ่งมันปลุกให้เฟิ่งมู่ชิงที่หลับตาอยู่ลืมตาขึ้น นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดกับชายหนุ่มเจ้าของรถม้าด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวาว่า
“ท่านช่วยไปส่งข้าที่จวนผู้สำเร็จราชการฯ ได้หรือไม่?”
ร่างเดิมของนางไม่รู้ว่าจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ที่ไหน ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากชายตรงหน้าเท่านั้น เพราะยามนี้นางกำลังแข่งกับเวลา ครั้นจะให้ตามหาเองก็อาจจะไม่ทันกาล
อวี้ชิงเฟิงไม่ได้แปลกใจกับคำขอร้องของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย เขาหันไปส่งเสียงบอกบ่าวรับใช้ที่กำลังบังคับรถม้าทันที “ไปที่ถนนตะวันออก”
…
ประตูบานสูงใหญ่ถูกประดับประดาด้วยผ้าไหมสีแดงบอกเล่าถึงงานมงคลที่กำลังจัดขึ้น แม้แต่รูปปั้นสิงโตหินคู่บารมีที่ตั้งอยู่ด้านหน้าจวนก็ยังถูกแขวนด้วยดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ 2 ดอก
แขกเหรื่อมากมายที่ถูกเชิญมาร่วมงานมงคลต่างก็ส่งเสียงหัวเราะหัวไห้ซึ่งบ่งบอกถึงความคึกคักของภายในงานได้เป็นอย่างดี
เจ้าพิธีมองดูคู่บ่าวสาวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าก่อนจะตะโกนขึ้นด้วยความกระตือรือร้น
“หนึ่งคำนับฟ้าดิน”
“สองคำนับบิดามารดา”
“สามคำนับซึ่งกันและกัน”
“ส่งตั–”
“ช้าก่อน!!”
ในขณะที่พิธีกำลังจะเสร็จสิ้น พลันมีเสียงปริศนาเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
เมื่อทุกคนหันไปมองตามเสียงก็พบว่ามีสตรีที่อยู่ในชุดแต่งงานสีแดงเพลิงยืนอยู่หน้าประตู ประกอบกับผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงทำให้สภาพของนางดูน่าขายหน้า
พอเหล่าแขกในงานเห็นสภาพของผู้มาใหม่ พวกเขาต่างก็ส่งเสียงเซ็งแซ่
คนบ้าคนนี้เป็นใครกันถึงได้กล้าบุกเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการฯ แถมยังกล้ามาขัดขวางพิธีสมรสอีก
ผู้มาเยือนที่เหล่าแขกกำลังพูดถึงไม่ใช่ใครอื่น นางคือเฟิ่งมู่ชิงที่รีบร้อนวิ่งเข้ามาในงานนั่นเอง
โชคดีที่ข้ามาทัน!
หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในตอนนั้นเอง เจ้าบ่าวที่กำลังเข้าพิธีก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตู โดยที่เครื่องประดับผมบนหัวของนางขาดหายไปด้วยเหตุผลบางประการ แม้ว่าตอนนี้นางจะอยู่ในสภาพน่าสังเวชเพียงใด แต่ดวงตาที่สดใสคู่นั้นกลับดึงดูดใจเขาเป็นพิเศษ
ถัดมา เฟิ่งมู่ชิงก้าวเข้าไปหาผู้เป็นเจ้าบ่าวด้วยท่าทางสง่างาม
ชายที่อยู่เบื้องหน้าของนางมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาราวกับสวรรค์ปั้นแต่ง ดวงตาเฟิ่งหวงที่เรียวยาวเมื่ออยู่ภายใต้คิ้วดาบได้รูปยิ่งทำให้เขาดูเย็นชาและน่าเกรงขาม ประกอบกับจมูกและริมฝีปากก็มีสัดส่วนที่พอเหมาะรับกับใบหน้าคมคายได้เป็นอย่างดี
แม้ว่ายามนี้ชายหนุ่มจะอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงแต่ก็ไม่สามารถซ่อนรัศมีแห่งความองอาจและความเย่อหยิ่งในตัวของเขาได้ มีเพียงขาที่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหากับรถเข็นสีเข้มเท่านั้นที่อาจจะมองแล้วขัดตาไปบ้าง
“เจ้าโจรชั่ว! กล้าดียังไงถึงบุกเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต ยอมให้จับตัวเสียดี ๆ !” องครักษ์ของผู้สำเร็จราชการฯ ก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวผู้บุกรุกพร้อมกับแผ่จิตสังหารออกมาอย่างชัดเจน
“เหตุใดผู้สำเร็จราชการแผ่นดินผู้สง่างามจึงจำพระชายาของพระองค์ไม่ได้?”
เฟิ่งมู่ชิงยืนนิ่งไม่ไหวติง นางมองไปยังชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม
ชายคนนี้คือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้มีชื่อเสียง ‘จวินหรูเย่’!
ตราบใดที่นางดึงจวินหรูเย่ผู้ทรงอิทธิพลให้มาอยู่ฝั่งเดียวกันได้ นางก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีกต่อไป และในอนาคตไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ย่อมง่ายดายมากขึ้น
แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลามากพอที่จะหาวิธีดึงเขาให้มาเป็นคนของข้า
คำพูดของหญิงสาวที่พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้แขกเหรื่อในงานต่างก็ตะลึงงัน สายตาของพวกเขามองสลับไปมาระหว่างจวินหรูเย่กับเฟิ่งมู่ชิง
เกิดอะไรขึ้น!?
นี่ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังล่วงรู้ความลับสุดยอดอยู่หรอกหรือ?
แล้วแบบนี้ผู้สำเร็จราชการฯ จะฆ่าปิดปากพวกเราหรือไม่?
ทุกคนมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มอกแต่พวกเขาก็ยังคงมีความกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะพวกเขากลัวว่าการเดินทางมาร่วมงานมงคลในครั้งนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
เมื่อจวินหรูเย่ได้ยินหญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเฉยชา เขาก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
เดิมทีเขาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ทว่าตอนนี้กลับมีคนมาขัดขวางพิธีซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาแอบหวังไว้ในใจอยู่แล้ว
แต่…นางหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
จวินหรูเย่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร เขาและหญิงสาวผู้บุกรุกทำเพียงแค่มองหน้ากันเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“อะแฮ่ม!”
เฟิ่งมู่ชิงที่ถูกอีกฝ่ายจ้องหน้าก็เสมองไปทางอื่นก่อนจะแสร้งทำเป็นกระแอมในลำคอ
“ข้ามีนามว่าเฟิ่งมู่ชิง เป็นบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายของมหาเสนาบดีเฟิ่งเทียนหลิง!”
“อะไรนะ!!”
พอแขกในงานได้ยินสิ่งที่หญิงสาวเอ่ย ทุกคนต่างก็อุทานเสียงหลง ก่อนจะมองไปยังเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาแปลก ๆ
นี่คือขยะไร้ประโยชน์ผู้นั้นงั้นหรือ!?
ที่ผ่านมาข้าเคยได้ยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เพิ่งจะได้เห็นตัวจริงก็วันนี้
ในขณะเดียวกัน หญิงสาวเพิกเฉยต่อสายตาของทุกคน นางมองไปยังสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าสีแดงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จวินหรูเย่ด้วยสายตาประหลาดใจ
หากไม่ใช่เพราะความช่างสังเกตที่ยอดเยี่ยม นางก็คงจะเชื่อว่าสตรีปริศนาที่ปลอมตัวมาเป็นตนเองนั้นมีท่าทีไม่แยแสและไร้ความกังวล
แต่เมื่อมองไปยังมือของหญิงปริศนาที่กำลังจิกทึ้งชุดของตัวเองอยู่นั้น…
“ทำไมเจ้าสาวตัวปลอมที่อยู่ตรงนั้นถึงไม่ถอดผ้าคลุมให้ทุกคนเห็นล่ะ? เพราะท้ายที่สุดแล้วจะมีสักกี่คนที่ขวัญสูงเทียมฟ้ากล้าปลอมตัวเป็นว่าที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน”
หลังจากเฟิ่งมู่ชิงพูดจบ ทุกคนก็หันไปให้ความสนใจกับเจ้าสาวตัวปลอมที่ยืนอยู่เงียบ ๆ
จากนั้นไม่นานมืออันบอบบางคู่หนึ่งก็ค่อย ๆ ถอดผ้าคลุมสีแดงออกช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใน
โอ้–
เฟิ่งมู่ชิงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา
ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะเตรียมตัวมาอย่างดี
ใช่สิ ท้ายที่สุดแล้ว งานแต่งงานครั้งนี้เป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ คนพวกนี้จึงไม่สามารถลงมือได้อย่างโจ่งแจ้ง
สตรีที่อยู่ตรงหน้าของเฟิ่งมู่ชิงในขณะนี้มีใบหน้าที่ดูธรรมดามาก แต่เป็นใบหน้าธรรมดาที่ไม่มีใครเคยพบเห็น
เนื่องจากร่างเดิมไม่เคยย่างกรายออกจากจวนสกุลเฟิ่งเลยสักครั้ง และนี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง ดังนั้นในชั่วขณะหนึ่งพวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดี
ทางด้านจวินหรูเย่มองสลับไปมาระหว่างสตรีทั้งสองโดยที่สายตาของเขามองสำรวจพวกนางอย่างครุ่นคิด
ทันใดนั้นก็มีลมพัดผ่านโถงที่ทุกคนยืนอยู่ ทำให้เฟิ่งมู่ชิงได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ปลายจมูกของนางขยับเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายด้วยความยินดี หลังจากนั้นหญิงสาวจึงถามตัวปลอมที่อยู่ตรงหน้าว่า
“เจ้ามีอะไรอยากจะพูดหรือไม่?”
เมื่อหญิงสาวปริศนาผู้นั้นได้ยินในสิ่งที่เฟิ่งมู่ชิงถาม ดวงตาของนางก็หรี่ลง ก่อนจะส่งเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ
“แม่นางน้อยผู้นี้… ทำไมเจ้าต้องมาสร้างความวุ่นวายในงานสมรสของข้าด้วย?”
น้ำเสียงสั่นเครือทำให้ผู้คนที่ได้ยินเจ็บแปลบในหัวใจ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอนเอียงไปทางเจ้าสาวปริศนาผู้นั้น
ถึงแม้ว่าหน้าตาของนางจะดูธรรมดา แต่ท่าทางและน้ำเสียงของนางก็ดูสง่างามมาก
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ยอมรับสินะ?”
พอเฟิ่งมู่ชิงพูดจบ นางก็รวบรวมกำลังภายในของตนแล้ววิ่งเข้าไปหาสตรีปริศนาทันที
แขกในงานไม่สามารถมองตามความเร็วของการเคลื่อนไหวนี้ได้เลย พวกเขาเห็นเพียงแค่เงาเลือนรางที่เคลื่อนผ่านสายตาของตนไปเท่านั้น
“อ๊าาา!!”
เสียงกรีดร้องของหญิงปริศนาดังลั่นจนทำให้แก้วหูของทุกคนสั่นสะท้าน
เมื่อกลุ่มคนในงานมองไปยังทิศทางของเสียงกรีดร้อง พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าเฟิ่งมู่ชิงกำลังจับไหล่ของสตรีผู้นั้นด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็เคลื่อนไหวอยู่บริเวณใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าสาวตัวปลอมก็เผยออกมา
“เฟิ่งหวานหว่าน น้องสาวคนดีของข้า เจ้าพยายามจะขัดพระราชโองการของฝ่าบาทงั้นหรือ?”
เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันในขณะที่ถือหน้ากากบาง ๆ เอาไว้ นางปรายตามองไปยังของที่อยู่ในมือตนเองพร้อมกับเม้มฝีปากก่อนจะบ่นออกมาด้วยความขยะแขยง “เจ้าสิ่งนี้ทำออกมาได้แย่มาก”
จากนั้นนางจึงโยนหน้ากากไปทางจวินหรูเย่ที่กำลังเพลิดเพลินกับการดูละครฉากสำคัญอยู่
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ทุกคนอึ้ง! บุกงานแต่งกันอย่างงี้เลยเหรอออ
เจ้าสาวที่ถูกกักขังไว้ในที่มืด
อันที่จริงละครบทต่อไปจะต้องได้รับความร่วมมือจากชายผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ด้วย แต่ดูเหมือนว่าเขามัวแต่จดจ่อกับละครมากเกินไปจนไม่รู้ตัวว่าตนเองจะต้องเข้าฉากแล้ว
ในจังหวะที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น เฟิ่งมู่ชิงเหลือบมองไปทางจวินหรูเย่เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน
ขั้นตอนต่อไปขึ้นอยู่กับพระองค์แล้ว
ชายหนุ่มเข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวต้องการจะสื่อความหมายผ่านสายตาคู่นั้นที่มองมายังตนโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องอธิบาย ซึ่งท่าทางของนางทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันเล็กน้อย
ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ
จากนั้นจวินหรูเย่ก็ละความสนใจจากเฟิ่งมู่ชิงก่อนจะหันกลับมาสนใจสตรีที่ใจกล้าปลอมตัวเป็นว่าที่เจ้าสาวเข้ามาหลอกตนเอง
‘เฟิ่งหวานหว่าน’ งั้นหรือ?
ปรากฏว่าเป็นเฟิ่งหวานหว่านผู้โด่งดังในเมืองหลวงผู้นั้นเองสินะ
ตระกูลเฟิ่งวางแผนจะทำอะไรกันแน่?
ในเวลาเดียวกัน ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง จากงานเลี้ยงมงคลสมรสที่เคยมีเสียงอึกทึกครึกโครมกลับกลายเป็นเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของกันและกัน
ทางด้านเฟิ่งหวานหว่านยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าของตนเองด้วยความตื่นตระหนก พลางใช้หางตามองไปยังว่าที่เจ้าบ่าว
ท่าทีของจวินหรูเย่ในตอนนี้ดูเย็นชามาก เมื่อเขาสังเกตเห็นถึงการแอบมองของเฟิ่งหวานหว่าน ดวงตาที่เฉียบคมก็มองตอบกลับไปก่อนจะปล่อยพลังธาตุไฟออกมาเผาหน้ากากในมือของเขาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน
“คุณหนูรองเฟิ่ง ช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทำให้ฝ่ายที่ได้ยินรู้สึกสั่นสะท้านในใจ
ยามนี้ดวงตาของนางร้อนผ่าว ไม่นานแก้มทั้งสองข้างก็อาบไปด้วยน้ำตา นางคุกเข่าแทบเท้าของจวินหรูเย่พร้อมกับจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ เป็นความผิดของหวานหว่านเอง หวานหว่านหลงรักพระองค์มานานแล้ว จึงคิดวิธีการแบบนี้ขึ้นมา ได้โปรดเพื่อเห็นแก่ความรักของหวานหว่าน โปรดอนุญาตให้หวานหว่านแต่งงานกับพระองค์ด้วยเถิดเพคะ”
“เหลวไหล! มีสตรีในเป่ยอี้ตั้งกี่คนที่ชื่นชมข้า หากข้าเห็นด้วยกับคำร้องขอของเจ้า ข้าไม่ต้องแต่งพวกนางเข้ามาจนล้นจวนหรอกหรือ?”
จวินหรูเย่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดวงตาของเขาเวลานี้ราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ภายใน
“หรือว่าเรื่องคราวนี้มหาเสนาบดีเฟิ่งจะมีส่วนร่วมด้วย?”
ทันทีที่เฟิ่งหวานหว่านได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย นางก็หยุดชะงักอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นจากความสับสนของหวานหว่านเอง ไม่เกี่ยวกับท่านพ่อ”
“เจ้าแน่ใจหรือ?”
จวินหรูเย่ไม่ใช่คนโง่ คุณหนูรองของตระกูลเฟิ่งไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ด้วยตัวคนเดียวได้ เขาคิดว่าเรื่องนี้จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่นอน
เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่ามันเป็นใคร
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเฟิ่งมู่ชิง
แล้วสตรีผู้นี้มีบทบาทอย่างไรกันแน่?
เมื่อเขาพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน นางไม่ใช่คนของเฟิ่งเทียนหลิงอย่างแน่นอน
“เฟิ่งหวานหว่าน หน้ากากนี้มีเฉพาะในเจียงหูเท่านั้น คนอย่างเจ้าไม่มีทางหามันมาได้ด้วยตัวเองแน่นอน” เฟิ่งมู่ชิงที่ทนฟังความเจ้าเล่ห์ของหญิงสาวใจคดตรงหน้าไม่ไหวจึงพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเย็นชา
เฟิ่งหวานหว่านผู้นี้มักจะสนุกอยู่กับการรังแกนางมานานกว่า 10 ปี ดังนั้นนางจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะตอบโต้และไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้เล่นงานสตรีเลวทรามผู้นี้ให้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน
เมื่อครั้งที่นางสำรวจสภาพร่างกายภายในของร่างเดิม นางพบว่าร่างกายนี้ไม่ได้เพียงถูกวางยาพิษเท่านั้น แต่ยังมีรอยแผลเป็นทั้งเก่าและใหม่อยู่ทั่วร่างมากมาย อีกทั้งมือของนางก็หยาบกร้านและแทบไม่มีเนื้อหนังเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ส่วนสูงของนางก็ยังเตี้ยกว่าเฟิ่งหวานหว่านตั้งครึ่งหัว
นางเป็นบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายแต่กลับมีสภาพที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าคนรับใช้เสียอีก
โชคดีที่นางซึ่งเป็นเฟิ่งมู่ชิงคนใหม่มาได้ทันเวลา
“ข้า…”
เฟิ่งหวานหว่านกำลังจะเอ่ยคำแก้ตัว แต่ก่อนที่นางจะได้ทันได้พูดอะไรออกมา จวินหรูเย่ก็เอ่ยขัดนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“โม่อิ๋ง เอาสตรีผู้นี้ออกไป”
สิ้นเสียงออกคำสั่งของชายหนุ่ม เงาสีดำขนาดใหญ่ก็ตกลงมายังพื้นทันที ก่อนจะพาเจ้าสาวตัวปลอมออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เฟิ่งหวานหว่านที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก นางต้องการร้องขอความเมตตา แต่กลับพบว่าคอของตนไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ออกมาได้
แม้คนในงานจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง แต่เฟิ่งมู่ชิงนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน
หญิงสาวสังเกตได้ว่าในขณะที่ ‘โม่อิ๋ง’ จับกุมตัวเฟิ่งหวานหว่านไป เขาใช้นิ้วกดไปที่จุดปิดเสียงของผู้ที่ถูกจับกุมก่อนนั่นเอง
ลูกน้องของจวินหรูเย่ช่างรอบคอบเสียจริง
เฟิ่งมู่ชิงคิดพลางอดถอนหายใจไม่ได้
“ในเมื่อความจริงเปิดเผยแล้ว งั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน”
เมื่อหญิงสาวเห็นว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว นางก็รู้สึกว่าการรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่มีประโยชน์อันใดอีก ดังนั้นนางจึงตั้งใจที่จะเดินกลับออกไป
“ช้าก่อน!”
เฟิ่งมู่ชิงที่ได้ยินเสียงเรียกของอีกฝ่ายก็หยุดชะงักชั่วคราว
นางหันกลับไปมองจวินหรูเย่ด้วยสีหน้าฉงนก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่า “ไม่ทราบว่าพระองค์มีธุระอะไรกับหม่อมฉันอีกเพคะ?”
ชายผู้นี้ต้องการที่จะทำอะไรกันแน่?
“เจ้ารู้เรื่องแผนการครั้งนี้ด้วยหรือไม่?”
พอเฟิ่งมู่ชิงได้ยินคำถามจากชายผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ตรงหน้า นางก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “เมื่อตอนที่หม่อมฉันรู้สึกตัว หม่อมฉันก็ถูกพาไปทิ้งไว้ที่ป่านอกเมืองแล้ว ไม่ว่าคนตระกูลเฟิ่งจะมีการส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่หม่อมฉันก็ถือว่าเป็นคนนอกสำหรับพวกเขาอยู่ดี หม่อมฉันไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น”
หลังจากจวินหรูเย่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว นิ้วของเขาก็เคาะที่วางแขนของรถเข็นเบา ๆ พลางครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
“ในเมื่อการแต่งงานครั้งนี้เป็นสมรสพระราชทานที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เจ้ายังคิดว่าจะสามารถออกจากจวนผู้สำเร็จราชการฯ ไปได้อีกงั้นหรือ?”
ทันทีที่เฟิ่งมู่ชิงได้ยินเช่นนั้น นางก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่พอใช้เวลาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจถามเขากลับไป “พระองค์อยากแต่งงานกับหม่อมฉันหรือเพคะ?”
“พระราชโองการของฮ่องเต้ไม่สามารถฝ่าฝืนได้”
สิ่งที่จวินหรูเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบทำให้เฟิ่งมู่ชิงเบิกตากว้างพร้อมทำหน้าประหลาดใจ นางไม่คิดว่าผู้ชายที่ดูเย่อหยิ่งผู้นี้จะยอมน้อมรับคำสั่งของผู้อื่นได้ง่าย ๆ
แม้ว่าก่อนหน้านี้นางเคยคิดอยากจะทำให้เขาเป็นคนของตนเอง แต่นางก็ไม่ได้คิดว่านางจะต้องเอาความสุขทั้งชีวิตไปแลกกับมัน
โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก ยังมีอะไรสนุก ๆ ที่นางอยากทำอีกตั้งเยอะแยะ
แล้วนางจะมาติดแหง็กอยู่ในจวนแห่งนี้ได้อย่างไร!
บัดนี้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกขมขื่นในใจ แต่ไม่นานนางก็สงบสติอารมณ์ก่อนที่จะถามคำถามชายที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินว่า
“พระองค์มีสาวใช้อุ่นเตียงหรือนางสนมหรือไม่?”
“ไม่”
“พระองค์มีสตรีที่ชื่นชอบอยู่แล้วหรือไม่?”
“ไม่”
“ถ้าพระองค์ต้องการแต่งงานกับหม่อมฉัน ในชีวิตนี้พระองค์จะต้องมีหม่อมฉันเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการเช่นกัน”
“หม่อมฉันเป็นคนขี้หึง”
“นั่นแสดงว่าเจ้าใส่ใจในตัวข้า”
“หม่อมฉันเป็นคนโหดเหี้ยม”
“เป็นเรื่องที่ดี เจ้าจะได้ไม่ถูกรังแก”
“…”
ปัจจุบันบรรดาแขกเหรื่อที่ยังอยู่ในงานต่างก็พูดอะไรไม่ออกหลังจากได้ฟังบทสนทนาของชายหญิงทั้งสอง
ในตอนนี้พวกเขาอยากจะเอ่ยคำลาและขอตัวกลับบ้านกันใจจะขาด แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดขัดจังหวะคนทั้งคู่
บรรยากาศแปลก ๆ แบบนี้มันคืออะไรกัน?
“ดูสิเพคะ มือของหม่อมฉันหยาบกร้านยิ่งกว่ามือของหญิงสาวที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต และร่างกายของหม่อมฉันก็เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ไม่ขาวเนียน ไร้รอยตำหนิเหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์คนอื่น”
ขณะนั้นทุกคนจ้องมองไปยังมือของเฟิ่งมู่ชิงที่ชูให้ชายบนรถเข็นดูทำให้พวกเขาต่างก็พูดอะไรไม่ออก
ไม่มีใครในเป่ยอี้ที่ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฟิ่งไม่ได้รับความโปรดปราน แต่พวกเขาก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเลวร้ายถึงเพียงนี้
เมื่อจวินหรูเย่เห็นสภาพมือของนางก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์แปลก ๆ ที่ปะทุขึ้นในใจของเขา
ปรากฏว่าเขารู้สึกเจ็บปวดและสงสารสตรีตรงหน้า
“จากนี้ไป ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครรังแกเจ้าได้”
คำพูดอันทรงพลังดั่งคำสัญญาดังก้องอยู่ในหูของหญิงสาวซึ่งมันทำให้เฟิ่งมู่ชิงพูดอะไรไม่ออก
ชายผู้นี้หมายความว่าอย่างไร?
ทำไมเขาถึงอยากเก็บข้าไว้?
เป็นไปได้ไหมที่ชายผู้นี้กำลังสงสัยในตัวของข้า?
เฟิ่งมู่ชิงคิดหาเหตุผลมากมายที่จะมาอธิบายการกระทำของอีกฝ่าย แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
“เรื่องในวันนี้คงจะสืบสาวราวเรื่องไม่ได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน นอกจากนั้นแล้ว นี่ยังเป็นสมรสพระราชทาน ฉะนั้นในตอนนี้เจ้านับว่าเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”
ครั้นพอได้ยินชายหนุ่มอธิบาย เฟิ่งมู่ชิงก็ลูบคางพลางคิดตามคำพูดเหล่านั้น
ชีวิตของนางในจวนสกุลเฟิ่งไม่ได้ดีนักหรือจะเรียกว่ายากเย็นแสนเข็ญเลยก็ว่าได้ ซึ่งหากนางกลับไปที่นั่น เฟิ่งเทียนหลิงจะต้องตำหนินางเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าการมีสถานะเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้นมีประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า
แต่นางแค่ไม่รู้ว่าชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“สิ่งที่หม่อมฉันพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หม่อมฉันเป็นคนยึดถือในคำมั่นสัญญา และหม่อมฉันเกลียดคนไม่รักษาสัญญาที่สุด พระองค์เข้าใจใช่หรือไม่เพคะ?” หญิงสาวย้ำคำพูดของตัวเองอีกครั้ง
จวินหรูเย่พยักหน้าโดยไม่ลังเลก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มพิธีกันเถอะ”
ต่อมา เฟิ่งมู่เชิงเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ จวินหรูเย่เพื่อทำให้พิธีแต่งงานเสร็จสมบูรณ์
ส่วนเจ้าพิธีที่ถูกขัดจังหวะมานานถึงกับลอบเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา ก่อนจะกล่าวเริ่มพิธีอีกครั้งขณะที่ในใจอดพร่ำบ่นไม่ได้ว่า
งานสมรสในจวนผู้สำเร็จราชการฯ นั้นยากจริง ๆ
หลังจากที่ทุกคนได้เห็นเรื่องตลกในงานมงคลสมรสวันนี้ พวกเขาต่างก็ตกอยู่ในความรู้สึกหวาดหวั่น
นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จะทำอะไรกับผู้ที่รู้เห็นเรื่องในวันนี้หรือไม่?
…
พระจันทร์เสี้ยวส่องแสงหนาวเย็นลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า เงาของต้นไม้ไหวไปตามลมส่งเสียงคล้ายกับการบรรเลงเพลงขับกล่อมในค่ำคืนอันเงียบสงบ
ภายในจวนหลังใหม่
เฟิ่งมู่ชิงมองดูถั่วลิสง อินทผาลัม และของว่างอื่น ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบพวกมันมากินเงียบ ๆ
วันนี้นางยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารที่ยังไม่ตกถึงท้องเลยสักมื้อ นางจึงกำลังหิวโหยเป็นอย่างมาก
หญิงสาวกลืนของว่างด้วยความยากลำบาก เนื่องจากขนมแห้ง ๆ เหล่านี้กลืนค่อนข้างยาก นางเลยหันไปคว้ากาสุราแล้วยกดื่มโดยตรง
“หึ ๆ”
อีกด้านหนึ่ง ทันทีที่จวินหรูเย่เข้ามาในห้อง เขาก็บังเอิญเห็นฉากที่เฟิ่งมู่ชิงกำลังกินของว่างบนโต๊ะ ทำให้ชายหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสตรีที่ไม่สงวนท่าทีเวลากินเช่นนี้
เมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย นางก็หยุดกินก่อนจะมองไปยังคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วยความข้องใจ
“โม่อิ๋ง ให้ในครัวทำอาหารง่าย ๆ มาสักหน่อย”
พอจวินหรูเย่เห็นสีหน้าที่ดูไม่พอใจของพระชายา เขาจึงออกคำสั่งกับคนสนิทของตน เพียงชั่วอึดใจเฟิ่งมู่ชิงสังเกตเห็นเงาดำวูบวาบผ่านไปราวกับลมกระโชกแรง
ถัดมา ชายหนุ่มบังคับรถเข็นของตนไปทางเฟิ่งมู่ชิงช้า ๆ และเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าดื่มกินอย่างไม่มีท่าทีเอียงอาย เขาก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย
“พระองค์ยังมีสุราเหลืออยู่อีกหรือไม่เพคะ?”
เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยถามพลางเขย่ากาสุราไปมาให้อีกคนเห็นว่าในกาไม่มีสุราเหลืออยู่แม้แต่หยดเดียว
“นี่คือสุราเหอจิ่น” จวินหรูเย่กล่าวขึ้นมาเสียงขุ่น