โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ระวังให้ดี! ชายาผู้นี้จะกลับมาทวงแค้น [มี E-Book]

นิยาย Dek-D

อัพเดต 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Xianaan
ระวังให้ดี! ชายาผู้นี้จะกลับมาทวงแค้น [มี E-Book]
ร่างเดิมต้องตายด้วยน้ำมือของศัตรู เฟิ่งมู่ชิงจึงต้องแก้แค้นแทน จะหน้าไหนก็เข้ามาเลย นางจะฟาดให้หมด!แต่ชายที่เป็นสามีปลอมทำไมถึงเกาะติดนางเช่นนี้ และผู้ชายคือขวากหนามของการขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดมิใช่หรือ!

ข้อมูลเบื้องต้น

ระวังให้ดี! ชายาผู้นี้จะกลับมาทวงแค้น

ผู้แต่ง: 奈何潇湘

จำนวนตอน: 350+ ตอน

Original story 狂妃嫁到: 神尊要逆袭

Thai language translation rights arranged with: 纵横中文网

(Zongheng Zhongwen Wang)

through TLL Literary Agency and Silkroad Publishers Agency Co., Ltd.

ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทย: สำนักพิมพ์เซียนอ่าน

นักวาด: Namtan[糖人]

ผู้แปล: เสี่ยวเถียวนั่งหิวอยู่ริมคลอง

---------------------------------------------------------------------

เรื่องย่อ

เฟิ่งมู่ชิงตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของสตรีอัปลักษณ์ที่ไร้ประโยชน์ในดินแดนที่ตนไม่คุ้นเคย

ไร้ประโยชน์งั้นหรือ?

หารู้ไม่ว่า นางคืออดีตเทพเซียนผู้ทรงพลังที่ไม่หวั่นเกรงผู้ใด ต่อให้อีกฝ่ายจะสูงส่งมาจากไหน นางก็ฟาดหมดไม่สนลูกใคร เพราะสามีใหญ่มาก!

สตรีอัปลักษณ์งั้นหรือ?

หารู้ไม่ว่า หลังจากที่หญิงสาวขจัดพิษในตัวได้สำเร็จ นางก็กลายเป็นสาวงามล่มเมืองที่ไปเยือนที่ใดผู้คนก็ต้องเหลียวมองนาง

การเกิดใหม่ในครั้งนี้ เฟิ่งมู่ชิงจำต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดในใต้หล้า ไม่ว่าใครหน้าไหนเข้ามาขัดขวาง จะเป็นเทพบนสวรรค์หรือปีศาจร้ายในขุมนรก นางก็จะกำจัดพวกมันทิ้งให้หมด!

ว่าแต่… มีใครสามารถบอกได้บ้างไหมว่านางมองข้ามบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่คอยอยู่เคียงข้างนางมาตลอดได้อย่างไรกัน?!

หรือนี่จะเป็นอย่างที่คนเขาพูดกันว่า… น้ำหยดลงบนหินทุกวัน หินบอกว่าเป็นเพื่อนกัน

---------------------------------------------------------------------

บทที่ 1-30 อัปเดตตอนเพิ่มทุกวัน วันละ 2 ตอน เวลา 12.00 น.

ตั้งแต่บทที่ 31 เป็นต้นไป อัปเดตวันละ 3 ตอน เวลา 12.00 น.

**หยุดอัปเดตตอนวันที่ 1 กับ 16 ของทุกเดือน**

ติดตามข่าวสารหรือพูดคุยกับเราได้ที่เพจ Facebook: สำนักพิมพ์เซียนอ่าน - Xianaan

---------------------------------------------------------------------

ระดับพลัง เรียงจากระดับต่ำไปสูง

ขอบเขตกลั่นลมปราณ

ขอบเขตสร้างรากฐาน

ขอบเขตสร้างแก่นพลังทองคำ

ขอบเขตก่อกำเนิด

ขอบเขตผันวิญญาณ

ขอบเขตคืนสู่ความว่างเปล่า

ขอบเขตมหายาน

แต่ละขอบเขตมีทั้งหมด 7 ขั้น

---------------------------------------------------------------------

ระดับวิชา/โอสถ เรียงจากระดับต่ำไปสูง

ธุลี

นภา

ปฐพี

สวรรค์

ใครส่งพวกเจ้ามา?

เฟิ่งมู่ชิงลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง นางกวาดสายตามองไปรอบตัวก่อนจะพบว่าตนอยู่ในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนเกี้ยวเจ้าสาว

เกิดอะไรขึ้น?

ข้าแค่งีบหลับไปมิใช่หรือ? แล้วทำไมตอนนี้ข้าถึงอยู่ในร่างของสตรีที่กำลังสวมใส่ชุดแต่งงานกัน?

ในตอนนี้หญิงสาวรู้สึกตะขิดตะขวงใจมาก เพราะก่อนหน้านี้นางเป็นเทพเซียนผู้สง่างาม เป็นดั่งต้นเหล็กอายุหลายพันปีที่ไม่เคยเบ่งบาน*มาก่อน และนี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่ในชุดเจ้าสาว

*เป็นคำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ผู้ที่มีอายุอยู่มานานแต่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรัก

เฟิ่งมู่ชิงผุดลุกขึ้นทันที ทว่าเพราะการลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันทำให้นางมีอาการวิงเวียนศีรษะจนต้องนั่งลงอีกครั้ง

แต่แล้วจู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาในหัว เนื่องจากความทรงจำที่ไม่ใช่ของตนหลั่งไหลเข้ามาทำให้นางรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เฟิ่งมู่ชิงสะบัดหัวเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นกุมหน้าผาก ก่อนจะค่อย ๆ แยกแยะความทรงจำทั้งหมด

เฮอะ! ช่างดีเหลือเกิน

มุมปากของเฟิ่งมู่ชิงกระตุกยิ้มเย้ยหยันต่อโชคชะตาที่น่าเศร้าของตัวเอง

หลังจากนางใช้เวลานานกว่าสัปดาห์ในการพยายามเอาตัวรอด ในที่สุดนางก็ตะเกียกตะกายหนีพ้นจากมือมัจจุราชมาได้ แต่นางไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกอสนีบาตขนาดมหึมาเส้นนั้นฟาดใส่ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันก็ส่งให้นางมาอยู่ที่นี่

อุกอาจ!

มันช่างอุกอาจมากเสียจริง!

หญิงสาวได้แต่ก่นด่าในใจ ก่อนจะสำรวจความทรงจำของร่างเดิมจนได้รู้ว่าเจ้าของร่างนี้มีนามว่า ‘เฟิ่งมู่ชิง’ ด้วยเช่นกัน นางเป็นบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายของ ‘เฟิ่งเทียนหลิง’ ผู้ดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดีแห่งแคว้นเป่ยอี้ ในวันที่ร่างเดิมถือกำเนิดนั้นก็เกิดปรากฏการณ์แปลก ๆ ที่ทำให้ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงวิปริตแปรปรวน

ในวันนั้น ‘หลานจิ้งโหรว’ ผู้เป็นแม่ของนางเสียชีวิตในขณะคลอดบุตร และด้วยความเศร้าโศกเสียใจที่ภรรยาตายจาก จึงทำให้พ่อของนางส่งเฟิ่งมู่ชิงที่อายุยังไม่ถึง 1 เดือนไปอยู่ที่เป่ยหยวน เมืองชายขอบซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงที่สุด โดยจัดการให้มีคนรับใช้เพียงคนเดียวไปอยู่ดูแลนาง

และจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้คนรับใช้ในจวนฉวยโอกาสกลั่นแกล้งรังแกนางมาตลอด 15 ปี

พอคิดมาถึงขณะนี้เฟิ่งมู่ชิงก็รู้สึกว่าร่างเดิมนั้นโชคดีมากที่เติบโตขึ้นมาได้แม้ว่านางจะถูกทิ้งให้ดูแลตัวเองก็ตาม

ถัดมา หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะเปิดม่านเดินออกจากเกี้ยวเจ้าสาวขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ ทำให้รู้ว่าปัจจุบันตนกำลังอยู่ในป่าอันเงียบสงัดที่ไม่มีร่องรอยของมนุษย์อยู่เลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่ว่าตอนนี้ร่างเดิมต้องเข้าพิธีสมรสในจวนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามพระราชโองการของฮ่องเต้หรอกหรือ?

เหตุใดนางถึงมาอยู่ในป่ารกร้างเช่นนี้?

แล้วคนแบกเกี้ยวเจ้าสาวหายไปไหน ทำไมถึงไม่มีใครอยู่เลย?

ในหัวของเฟิ่งมู่ชิงเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้

ทันใดนั้น ขณะที่หญิงสาวกำลังไตร่ตรองถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ จู่ ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งเข้ามา ทำให้นางตื่นตัวก่อนจะเบี่ยงหลบไปด้านข้างทันที

ปัง!!!

ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของหญิงสาวล้มกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น

จังหวะนั้นเฟิ่งมู่ชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์ ในขณะที่เปลือกตาของนางกระตุกถี่ ๆ เหมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความโชคร้าย

เทพเซียนบนสวรรค์ช่างใจดีกับนางเสียเหลือเกิน ไม่เพียงแต่ส่งนางมาอยู่ในร่างของสตรีที่กำลังจะแต่งงานเท่านั้น แต่นางยังถูกลอบโจมตีอีกด้วย!

ขณะนั้นหญิงสาวหันไปเผชิญหน้ากับเหล่าชายชุดดำกลุ่มหนึ่งซึ่งยืนถืออาวุธตั้งท่าเตรียมจะฟาดฟันนาง พร้อมกับที่นัยน์ตาเหลือบไปเห็นแสงอาทิตย์ยามสนธยาที่สะท้อนคมดาบเป็นประกายอันเย็นเยียบที่ไม่ว่าใครพบเห็นก็คงจะอดสั่นสะท้านไม่ได้

ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายต่างยืนมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ในเวลาเดียวกันนั้น เฟิ่งมู่ชิงแอบขยับนิ้วใต้แขนเสื้อเงียบ ๆ เพื่อที่จะตอบโต้กลุ่มคนตรงหน้า ทว่านางก็ต้องตกใจ

เกิดอะไรขึ้น!?

เหตุใดข้าจึงใช้พลังไม่ได้?

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เฟิ่งมู่ชิงเหยียดยิ้มด้วยความขมขื่น ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเทพเซียนที่อายุน้อยที่สุดแห่งสวรรค์ชั้นฟ้าจะกลายเป็นหมูในอวยรอให้คนอื่นเชือดแบบนี้

“ฆ่ามัน!”

ชายชุดดำที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำตะโกนสั่งเสียงดัง จากนั้นคนที่เหลือก็วิ่งกรูกันเข้าไปหาหญิงสาวที่เป็นเป้าหมายของพวกเขาทันที

เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นดังนั้น แววตาของนางก็แข็งกร้าว นางรีบดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออกมา ก่อนจะใช้มันทิ่มเข้าไปในร่างกายของนางสองสามครั้ง ไม่นานหญิงสาวก็รู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้น อีกทั้งความอบอุ่นก็ไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของตัวเองด้วย

ในขณะที่คมดาบกำลังจะสัมผัสร่างกาย สายตาอันแหลมคมของเฟิ่งมู่ชิงก็สังเกตเห็นมันเสียก่อน นางจึงบิดตัวไปด้านข้างพร้อมกับคว้าข้อมือของศัตรู ก่อนจะหักข้อมือคนตรงหน้าอย่างแรง จากนั้นจึงคว้าดาบที่หลุดออกจากมือของอีกฝ่ายขึ้นมาใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว

นั่นทำให้ชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งพลางมองดูมือขวาที่ว่างเปล่าด้วยความงุนงง

สตรีผู้นี้เป็นคนไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?

เหตุใดคนไร้ประโยชน์ถึงสามารถแย่งอาวุธไปจากมือของข้าได้?

ไม่นานชายชุดดำผู้นั้นก็ได้สติ เขาคำรามด้วยความโกรธก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปหาคู่ต่อสู้อีกครั้งพร้อมกับง้างดาบที่อยู่ในมืออีกข้างขึ้น เพื่อหวังจะฟาดฟันหญิงสาวตรงหน้าให้ตาย

เคร้ง! ชิ้ง!

เสียงการปะทะกันของดาบในป่าอันเงียบสงบนั้นดูรุนแรงเป็นพิเศษ ประกายไฟจากอาวุธที่สะท้อนเป็นครั้งคราวทำให้เห็นว่ายามนี้ใบหน้าของเฟิ่งมู่ชิงดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก

ในความโกลาหล ร่างของทั้งสองฝ่ายต่างก็โรมรันเข้าหากัน ทุกการเคลื่อนไหวนั้นดูรุนแรงจนรู้สึกได้ถึงอันตรายที่พร้อมจะปลิดชีพของกันและกันได้ทุกเมื่อ

บัดนี้ดาบในมือของหญิงสาวถูกย้อมด้วยเลือดของศพจำนวนนับไม่ถ้วน ใบมีดของนางโบกสะบัดราวกับผีเสื้อที่กำลังโบยบิน และท่วงท่าในการต่อสู้ที่งดงามทำให้ร่างของนางเปรียบดังบุปผาที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด

เลือดที่ไหลนองอยู่ใต้เท้าพร้อมกับศพของชายชุดดำที่ล้มลงกลาดเกลื่อนยิ่งทำให้การแสดงออกของเฟิ่งมู่ชิงดูเย็นชามากขึ้น สายตาคมดุของนางจับจ้องไปยังศัตรูที่เหลืออยู่ไม่วางตา

ในตอนนี้จำนวนของชายชุดดำเหลืออยู่ไม่มากนัก พวกเขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนกพร้อมกับความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้พวกเขาตั้งท่าจะล่าถอยด้วยกำลังเฮือกสุดท้าย

เฮอะ!

พอเฟิ่งมู่ชิงเห็นว่าเหล่าชายชุดดำที่เหลือตั้งใจจะหลบหนี นางก็เยาะเย้ยพวกมันในใจ

คนที่กล้าหมายหัวเอาชีวิตของนางมีจุดจบเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือการถูกส่งลงไปนั่งจิบชากับท่านพญายมในนรกเท่านั้น!

เมื่อหญิงสาวมองเห็นฝ่ายตรงข้ามเผยช่องโหว่ นางก็กระโดดหมุนตัวถีบไปที่หน้าอกของชายชุดดำทั้งสองจนล้มลงกับพื้น จากนั้นนางก็ใช้ดาบในมือชี้ไปที่ใบหน้าของคนทั้งคู่

“ใครส่งพวกเจ้ามา?”

“พวกข้าเพียงแค่รับเงินของผู้คนแล้วช่วยพวกเขากำจัดภัยพิบัติก็เท่านั้น”

“บอกมาว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”

พอชายชุดดำได้ยินคำถามของหญิงสาวตรงหน้า พวกเขาต่างก็เงียบไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา

ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงหรี่ตามองชายสองคนที่นั่งอยู่บนพื้น ครั้นเห็นว่าคงไม่ได้รับคำตอบ นางจึงใช้ดาบฟันคนทั้งคู่ด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก ส่งผลให้ชายชุดดำทั้งสองเบิกตากว้างก่อนสิ้นใจตาย

ในเวลาเดียวกัน เลือดสีแดงสดไหลไปตามใบมีดก่อนจะหยดลงบนหญ้าที่เหี่ยวเฉาแล้วซึมลงผืนดิน

หญิงสาวมองดูศพที่เกลื่อนอยู่บนพื้นอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทิ้งดาบแล้วเดินตามทางที่เป็นเหมือนถนนเล็ก ๆ ออกไป

โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางตั้งใจเรียนรู้อย่างขยันขันแข็งเพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นเทพเซียน นางจึงศึกษาหาความรู้ในเกือบทุกด้าน รวมถึงศิลปะการต่อสู้ ทักษะทางการแพทย์ และทักษะการใช้พิษ

มิฉะนั้น นางอาจจะกลายร่างเป็นวิญญาณที่ตายภายใต้คมดาบของคนชั่วไปแล้วก็ได้

แม้ว่าในตอนนี้นางจะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณของตัวเองได้ก็ตาม แต่ด้วยทักษะความสามารถในชีวิตก่อนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นางโดดเด่นแม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชน

หลังจากเฟิ่งมู่ชิงเดิน ๆ หยุด ๆ มาเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็เห็นถนนที่เหมือนจะเป็นถนนสายหลักทำให้หญิงสาวมีความสุขมาก แต่เมื่อมองเส้นทางข้างหน้าที่ดูไกลจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด นางก็รู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาในทันที

นี่ข้าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะเดินไปถึงเมืองหลวง?

เป็นเพราะร่างเดิมไม่เคยออกจากจวนที่เคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ทำให้นางไม่รู้ว่าควรจะเดินไปยังทิศทางไหน และบางทีตอนนี้นางอาจจะกำลังเดินออกห่างจากเมืองหลวงโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้

เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกจนใจ

เฮ้อ นี่มันจะลำบากเกินไปแล้วนะ เมื่อไหร่จะถึงสักที

ในขณะที่นางกำลังรู้สึกหมดหนทาง จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าของม้าพร้อมกับเสียงล้อรถดังมาจากด้านหลัง

หญิงสาวจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางยกยิ้มมุมปากก่อนจะก้าวหันหลังกลับไปเพื่อหยุดรถม้าไว้

เมื่อรถม้าหยุดวิ่งอย่างกะทันหัน คนในรถก็เอ่ยถามคนบังคับรถม้าของตน

“เกิดอะไรขึ้น?”

เสียงนุ่มทุ้มจากคนในรถม้าฟังดูอ่อนโยนจนทำให้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกประหลาดใจ

“นายท่านขอรับ มีสตรีนางหนึ่งมาขวางทางไว้ขอรับ” ชายที่รับหน้าที่ขับรถม้ามองดูหญิงสาวในชุดแต่งงานที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับกล่าวรายงานผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงลำบากใจ

ไม่นานนัก นิ้วเรียวยาวขาวนวลก็เลิกม่านของรถม้าขึ้น และทันใดนั้น ใบหน้าที่ดูบอบบางราวกับหยกก็ปรากฏออกมา

เฮือก–

เฟิ่งมู่ชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับมองไปยังชายบนรถม้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

ดวงตาดอกท้อสดใสใต้คิ้วรูปดาบคู่นั้นราวกับน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่ชโลมจิตใจของผู้ที่ได้พบเห็น ริมฝีปากบางรับกับสันจมูกคมดูน่าทะนุถนอม อีกทั้งเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อนที่ชายผู้นั้นกำลังสวมใส่ยิ่งส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของเขาดูอ่อนโยนมากขึ้นไปอีก

‘คนแปลกหน้าก็เหมือนหยก สุภาพบุรุษที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ในโลกนี้*’ คำกล่าวนี้เหมาะสมกับชายตรงหน้าทุกประการ

*มาจากบทกวีที่ใช้เพื่อเปรียบเปรยถึงผู้ชายที่มีรูปโฉมงดงาม แต่ก็ยังคงมีความสง่างามของความเป็นชายชาตรี

เมื่อ ‘อวี้ชิงเฟิง’ เห็นหญิงสาวที่ยืนขวางรถม้าตกอยู่ในอาการมึนงง เขาก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย

ทันใดนั้น หัวใจของเฟิ่งมู่ชิงก็พองโตจนแทบระเบิดออกมาจากอก นางรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกห่อหุ้มด้วยสายลมอันอบอุ่น

ช่างเป็นบุรุษที่อ่อนโยนและสง่างามเสียจริง!

หญิงสาวเคยคิดว่านางได้เห็นบุรุษที่หล่อเหลามามากมายแล้ว แต่นางพึ่งเคยเห็นชายหนุ่มรูปงามและมีเสน่ห์ขนาดนี้เป็นครั้งแรก

“แม่นาง ทำไมเจ้าถึงมายืนขวางรถม้าเช่นนี้?”

เฟิ่งมู่ชิงที่ได้ยินอีกฝ่ายถามก็รู้สึกตัวทันที นางจึงเสมองไปทางอื่นด้วยความเก้อเขิน

“ข้าต้องการเดินทางไปยังเมืองหลวง ข้าขอติดรถม้าของท่านไปด้วยได้หรือไม่?”

“หากแม่นางไม่ถือสาที่จะร่วมเดินทางไปกับคนแปลกหน้าก็เชิญขึ้นมาเถิด”

“ขอบพระคุณท่านมาก”

ทันทีที่ชายหนุ่มบนรถม้าอนุญาต นางก็เอื้อมมือไปยึดขอบประตูรถม้าแล้วกระโดดเข้าไปข้างในทันที

ส่วนคนบังคับรถม้าที่เห็นว่านายของตนอนุญาตให้หญิงสาวแปลกหน้าติดรถไปด้วยก็รู้สึกตกตะลึง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าเจ้านายของตนปล่อยให้สตรีเข้าใกล้ขนาดนี้

“ไปกันเถอะ”

เสียงออกคำสั่งของผู้เป็นนายทำให้บ่าวรับใช้กลับมารู้สึกตัวก่อนจะเริ่มบังคับรถม้าให้ออกเดินทางอย่างมีสติ

หลังจากเฟิ่งมู่ชิงขึ้นรถมาแล้ว นางก็นั่งลงตรงข้ามกับอวี้ชิงเฟิง เมื่อมองคนตรงหน้า ความประหลาดใจก็ฉายผ่านดวงตาของนางชั่วขณะ แต่จากนั้นนางก็ไม่ได้มีท่าทีงุนงงเหมือนตอนพบกันครั้งแรกอีกเลย

ทางด้านชายหนุ่มเจ้าของรถม้า พอเขาสังเกตเห็นท่าทีของหญิงสาว เขาก็พบว่านางดูน่าสนใจมาก

คนแบบไหนกันที่สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ในชั่วอึดใจเดียว?

“ข้ามีนามว่าอวี้ชิงเฟิง ข้าควรเรียกขานนามแม่นางว่าอย่างไรดี?” ชายหนุ่มเอ่ยเปิดบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบในรถ

“เฟิ่งมู่ชิง” หญิงสาวตอบคำถามสั้น ๆ

เฟิ่งมู่ชิงงั้นหรือ!?

สตรีคนนี้คือคนเดียวกันกับเฟิ่งมู่ชิงเขารู้จักใช่หรือไม่?

อวี้ชิงเฟิงมองหญิงสาวตรงหน้าให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย

นางคือเฟิ่งมู่ชิง บุตรสาวคนโตของมหาเสนาบดีเฟิ่งที่ไม่ได้รับความโปรดปรานที่เขารู้จักจริง ๆ

แต่วันนี้เป็นวันสำคัญของนางกับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินมิใช่หรือ?

แล้วนางมาอยู่คนเดียวในที่รกร้างเช่นนี้ได้อย่างไร?

ในขณะเดียวกัน เมื่อเฟิ่งมู่ชิงสบสายตากับอวี้ชิงเฟิง นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามคนตรงหน้าว่า

“คุณชายอวี้รู้จักข้าใช่หรือไม่?”

“เคยได้ยินมาเล็กน้อย”

พอหญิงสาวได้ยินคำตอบของชายตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกสับสน

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: สวัสดีนักอ่านที่น่ารักทุกคนจ้า มาตอนแรกนางเอกของเราก็ได้บู๊แล้ว เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ฝากติดตามผลงานแปลเรื่องใหม่ของเสี่ยวเถียวกันด้วยน้า

ปล.เราเพิ่งเคยแปลนิยายแนวเล่ห์รักวังหลวงเป็นครั้งแรก ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาดตรงไหน ต้องขอภัยด้วยนะคะ และหากทุกคนมีข้อเสนอแนะหรือข้อติใด ๆ สามารถบอกเราได้เลย เพื่อที่เราจะได้นำไปปรับปรุงในอนาคตค่ะ ขอบคุณค่ะ

เขาจำพระชายาของเขาไม่ได้จริง ๆ งั้นหรือ?

เมื่ออวี้ชิงเฟิงสังเกตเห็นท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าของเฟิ่งมู่ชิง เขาจึงพูดขึ้นว่า

“ยังอีกไกลกว่าจะถึงเมืองหลวง คุณหนูใหญ่เฟิ่งสามารถพักผ่อนได้สักพัก”

หญิงสาวที่ได้ยินดังนั้นก็เปิดม่านหน้าต่างรถพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะถามกลับว่า “อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึง?”

หวังว่าจะทันเวลานะ

“ประมาณ 2 เค่อ*” ชายหนุ่มตอบ

*1 เค่อ = 15 นาที

เฟิ่งมู่ชิงพยักหน้ารับก่อนจะเอนตัวพิงผนังแล้วหลับตาลงเพื่อแยกแยะความทรงจำที่วุ่นวายในหัวของนาง

สถานที่ที่นางอยู่ ณ ตอนนี้เรียกว่า ‘ดินแดนซิงหยุน’ โดยมีแคว้นเป่ยอี้เป็นเมืองศูนย์กลาง และมีแคว้นอื่น ๆ อีกมากมายอยู่ล้อมรอบ

ในวัยเด็กของผู้คนที่นี่จะใช้หินทดสอบพลังวิญญาณในการทดสอบรากวิญญาณของพวกเขาเพื่อเฟ้นหาเด็กที่มีความสามารถจากแต่ละครอบครัว จากนั้นจึงส่งพวกเขาไปยังสำนักศึกษาต่าง ๆ

รากวิญญาณในโลกนี้แบ่งออกเป็น 5 ธาตุ ได้แก่ โลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟ และดิน นอกจากนี้ยังแบ่งระดับพลังออกเป็นขอบเขตกลั่นลมปราณ, ขอบเขตสร้างรากฐาน, ขอบเขตสร้างแก่นพลังทองคำ, ขอบเขตก่อกำเนิด, ขอบเขตผันวิญญาณ, ขอบเขตคืนสู่ความว่างเปล่า และสุดท้ายคือขอบเขตมหายาน ซึ่งแต่ละขอบเขตก็แบ่งออกเป็นอีก 7 ขั้น

ความหนาแน่นของพลังวิญญาณที่นี่ค่อนข้างสูง แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่ากับโลกที่นางจากมา แต่สำหรับโลกนี้ที่ยังไม่มีผู้มีพลังที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตผันวิญญาณก็ถือว่าไม่ได้แย่นัก

และด้วยเหตุผลบางประการทำให้ที่แห่งนี้มีผู้มีพลังเพียงไม่กี่คนที่สามารถไปถึงขอบเขตก่อกำเนิดได้ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงขอบเขตผันวิญญาณเลย

เรื่องราวชีวิตของเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ได้ราบรื่นดังเช่นคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไป และในความทรงจำของร่างเดิมมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น

ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหาคนมาสอบถามเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียแล้ว

เมื่อคิดว่าในชีวิตก่อนนางยังสามารถก้าวขึ้นเป็นเซียนอันดับต้น ๆ ของสวรรค์ชั้นฟ้าได้ ตอนนี้นางก็แค่ต้องกลับมาฝึกฝนอย่างหนักอีกครั้ง

เวลาต่อมา หญิงสาวลองใช้พลังวิญญาณตรวจสอบเส้นลมปราณของร่างนี้ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น

ในความทรงจำตอนที่ร่างเดิมทดสอบรากวิญญาณนั้น นางพบว่าตัวเองไม่มีรากวิญญาณจึงไม่สามารถฝึกฝนเหมือนกับเด็กคนอื่นได้ แต่ตอนนี้เฟิ่งมู่ชิงกลับรู้สึกถึงมวลก้อนเล็ก ๆ สีขาวในร่างกาย

นี่คือ?…

จากนั้นหญิงสาวจึงใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางวางลงบนจุดชีพจรเพื่อตรวจดูร่างกายของตนเงียบ ๆ

นี่มันอาการของคนถูกวางยาพิษชัด ๆ

แถมพิษยังอยู่ในร่างกายมาเกือบ 10 ปี!

ความจริงที่ปรากฏทำให้เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ร่างเดิมเป็นเพียงสตรีอ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ด้วยซ้ำ แล้วใครกันที่ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้ลงคอ!

ในขณะที่หญิงสาวกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด อวี้ชิงเฟิงที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามก็แอบมองสำรวจนางลับ ๆ

เห็นทีวันนี้ในจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินจะมีเรื่องตื่นเต้นมากมาย แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นแค่เพียงตัวประกันต่างแคว้น ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าร่วมความสนุกได้อย่างเปิดเผย

ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าเฟิ่งมู่ชิงเป็นเพียงคนไร้ค่า แต่จากที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นในวันนี้ ดูเหมือนว่าชื่อเสียงเหล่านั้นมิคู่ควรกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนี้เมืองหลวงอาจจะไม่สงบอีกต่อไป

เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เสียงอึกทึกครึกโครมก็บอกให้รู้ว่ารถม้าได้เดินทางเข้าสู่เขตเมืองหลวงแล้ว ซึ่งมันปลุกให้เฟิ่งมู่ชิงที่หลับตาอยู่ลืมตาขึ้น นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดกับชายหนุ่มเจ้าของรถม้าด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวาว่า

“ท่านช่วยไปส่งข้าที่จวนผู้สำเร็จราชการฯ ได้หรือไม่?”

ร่างเดิมของนางไม่รู้ว่าจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ที่ไหน ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากชายตรงหน้าเท่านั้น เพราะยามนี้นางกำลังแข่งกับเวลา ครั้นจะให้ตามหาเองก็อาจจะไม่ทันกาล

อวี้ชิงเฟิงไม่ได้แปลกใจกับคำขอร้องของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย เขาหันไปส่งเสียงบอกบ่าวรับใช้ที่กำลังบังคับรถม้าทันที “ไปที่ถนนตะวันออก”

ประตูบานสูงใหญ่ถูกประดับประดาด้วยผ้าไหมสีแดงบอกเล่าถึงงานมงคลที่กำลังจัดขึ้น แม้แต่รูปปั้นสิงโตหินคู่บารมีที่ตั้งอยู่ด้านหน้าจวนก็ยังถูกแขวนด้วยดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ 2 ดอก

แขกเหรื่อมากมายที่ถูกเชิญมาร่วมงานมงคลต่างก็ส่งเสียงหัวเราะหัวไห้ซึ่งบ่งบอกถึงความคึกคักของภายในงานได้เป็นอย่างดี

เจ้าพิธีมองดูคู่บ่าวสาวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าก่อนจะตะโกนขึ้นด้วยความกระตือรือร้น

“หนึ่งคำนับฟ้าดิน”

“สองคำนับบิดามารดา”

“สามคำนับซึ่งกันและกัน”

“ส่งตั–”

“ช้าก่อน!!”

ในขณะที่พิธีกำลังจะเสร็จสิ้น พลันมีเสียงปริศนาเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

เมื่อทุกคนหันไปมองตามเสียงก็พบว่ามีสตรีที่อยู่ในชุดแต่งงานสีแดงเพลิงยืนอยู่หน้าประตู ประกอบกับผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงทำให้สภาพของนางดูน่าขายหน้า

พอเหล่าแขกในงานเห็นสภาพของผู้มาใหม่ พวกเขาต่างก็ส่งเสียงเซ็งแซ่

คนบ้าคนนี้เป็นใครกันถึงได้กล้าบุกเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการฯ แถมยังกล้ามาขัดขวางพิธีสมรสอีก

ผู้มาเยือนที่เหล่าแขกกำลังพูดถึงไม่ใช่ใครอื่น นางคือเฟิ่งมู่ชิงที่รีบร้อนวิ่งเข้ามาในงานนั่นเอง

โชคดีที่ข้ามาทัน!

หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ในตอนนั้นเอง เจ้าบ่าวที่กำลังเข้าพิธีก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตู โดยที่เครื่องประดับผมบนหัวของนางขาดหายไปด้วยเหตุผลบางประการ แม้ว่าตอนนี้นางจะอยู่ในสภาพน่าสังเวชเพียงใด แต่ดวงตาที่สดใสคู่นั้นกลับดึงดูดใจเขาเป็นพิเศษ

ถัดมา เฟิ่งมู่ชิงก้าวเข้าไปหาผู้เป็นเจ้าบ่าวด้วยท่าทางสง่างาม

ชายที่อยู่เบื้องหน้าของนางมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาราวกับสวรรค์ปั้นแต่ง ดวงตาเฟิ่งหวงที่เรียวยาวเมื่ออยู่ภายใต้คิ้วดาบได้รูปยิ่งทำให้เขาดูเย็นชาและน่าเกรงขาม ประกอบกับจมูกและริมฝีปากก็มีสัดส่วนที่พอเหมาะรับกับใบหน้าคมคายได้เป็นอย่างดี

แม้ว่ายามนี้ชายหนุ่มจะอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงแต่ก็ไม่สามารถซ่อนรัศมีแห่งความองอาจและความเย่อหยิ่งในตัวของเขาได้ มีเพียงขาที่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหากับรถเข็นสีเข้มเท่านั้นที่อาจจะมองแล้วขัดตาไปบ้าง

“เจ้าโจรชั่ว! กล้าดียังไงถึงบุกเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต ยอมให้จับตัวเสียดี ๆ !” องครักษ์ของผู้สำเร็จราชการฯ ก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวผู้บุกรุกพร้อมกับแผ่จิตสังหารออกมาอย่างชัดเจน

“เหตุใดผู้สำเร็จราชการแผ่นดินผู้สง่างามจึงจำพระชายาของพระองค์ไม่ได้?”

เฟิ่งมู่ชิงยืนนิ่งไม่ไหวติง นางมองไปยังชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม

ชายคนนี้คือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้มีชื่อเสียง ‘จวินหรูเย่’!

ตราบใดที่นางดึงจวินหรูเย่ผู้ทรงอิทธิพลให้มาอยู่ฝั่งเดียวกันได้ นางก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีกต่อไป และในอนาคตไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ย่อมง่ายดายมากขึ้น

แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลามากพอที่จะหาวิธีดึงเขาให้มาเป็นคนของข้า

คำพูดของหญิงสาวที่พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้แขกเหรื่อในงานต่างก็ตะลึงงัน สายตาของพวกเขามองสลับไปมาระหว่างจวินหรูเย่กับเฟิ่งมู่ชิง

เกิดอะไรขึ้น!?

นี่ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังล่วงรู้ความลับสุดยอดอยู่หรอกหรือ?

แล้วแบบนี้ผู้สำเร็จราชการฯ จะฆ่าปิดปากพวกเราหรือไม่?

ทุกคนมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มอกแต่พวกเขาก็ยังคงมีความกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะพวกเขากลัวว่าการเดินทางมาร่วมงานมงคลในครั้งนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

เมื่อจวินหรูเย่ได้ยินหญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเฉยชา เขาก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

เดิมทีเขาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ทว่าตอนนี้กลับมีคนมาขัดขวางพิธีซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาแอบหวังไว้ในใจอยู่แล้ว

แต่…นางหมายความว่าอย่างไรกันแน่?

จวินหรูเย่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร เขาและหญิงสาวผู้บุกรุกทำเพียงแค่มองหน้ากันเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

“อะแฮ่ม!”

เฟิ่งมู่ชิงที่ถูกอีกฝ่ายจ้องหน้าก็เสมองไปทางอื่นก่อนจะแสร้งทำเป็นกระแอมในลำคอ

“ข้ามีนามว่าเฟิ่งมู่ชิง เป็นบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายของมหาเสนาบดีเฟิ่งเทียนหลิง!”

“อะไรนะ!!”

พอแขกในงานได้ยินสิ่งที่หญิงสาวเอ่ย ทุกคนต่างก็อุทานเสียงหลง ก่อนจะมองไปยังเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาแปลก ๆ

นี่คือขยะไร้ประโยชน์ผู้นั้นงั้นหรือ!?

ที่ผ่านมาข้าเคยได้ยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เพิ่งจะได้เห็นตัวจริงก็วันนี้

ในขณะเดียวกัน หญิงสาวเพิกเฉยต่อสายตาของทุกคน นางมองไปยังสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าสีแดงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จวินหรูเย่ด้วยสายตาประหลาดใจ

หากไม่ใช่เพราะความช่างสังเกตที่ยอดเยี่ยม นางก็คงจะเชื่อว่าสตรีปริศนาที่ปลอมตัวมาเป็นตนเองนั้นมีท่าทีไม่แยแสและไร้ความกังวล

แต่เมื่อมองไปยังมือของหญิงปริศนาที่กำลังจิกทึ้งชุดของตัวเองอยู่นั้น…

“ทำไมเจ้าสาวตัวปลอมที่อยู่ตรงนั้นถึงไม่ถอดผ้าคลุมให้ทุกคนเห็นล่ะ? เพราะท้ายที่สุดแล้วจะมีสักกี่คนที่ขวัญสูงเทียมฟ้ากล้าปลอมตัวเป็นว่าที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน”

หลังจากเฟิ่งมู่ชิงพูดจบ ทุกคนก็หันไปให้ความสนใจกับเจ้าสาวตัวปลอมที่ยืนอยู่เงียบ ๆ

จากนั้นไม่นานมืออันบอบบางคู่หนึ่งก็ค่อย ๆ ถอดผ้าคลุมสีแดงออกช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใน

โอ้–

เฟิ่งมู่ชิงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา

ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะเตรียมตัวมาอย่างดี

ใช่สิ ท้ายที่สุดแล้ว งานแต่งงานครั้งนี้เป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ คนพวกนี้จึงไม่สามารถลงมือได้อย่างโจ่งแจ้ง

สตรีที่อยู่ตรงหน้าของเฟิ่งมู่ชิงในขณะนี้มีใบหน้าที่ดูธรรมดามาก แต่เป็นใบหน้าธรรมดาที่ไม่มีใครเคยพบเห็น

เนื่องจากร่างเดิมไม่เคยย่างกรายออกจากจวนสกุลเฟิ่งเลยสักครั้ง และนี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง ดังนั้นในชั่วขณะหนึ่งพวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดี

ทางด้านจวินหรูเย่มองสลับไปมาระหว่างสตรีทั้งสองโดยที่สายตาของเขามองสำรวจพวกนางอย่างครุ่นคิด

ทันใดนั้นก็มีลมพัดผ่านโถงที่ทุกคนยืนอยู่ ทำให้เฟิ่งมู่ชิงได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ปลายจมูกของนางขยับเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายด้วยความยินดี หลังจากนั้นหญิงสาวจึงถามตัวปลอมที่อยู่ตรงหน้าว่า

“เจ้ามีอะไรอยากจะพูดหรือไม่?”

เมื่อหญิงสาวปริศนาผู้นั้นได้ยินในสิ่งที่เฟิ่งมู่ชิงถาม ดวงตาของนางก็หรี่ลง ก่อนจะส่งเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ

“แม่นางน้อยผู้นี้… ทำไมเจ้าต้องมาสร้างความวุ่นวายในงานสมรสของข้าด้วย?”

น้ำเสียงสั่นเครือทำให้ผู้คนที่ได้ยินเจ็บแปลบในหัวใจ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอนเอียงไปทางเจ้าสาวปริศนาผู้นั้น

ถึงแม้ว่าหน้าตาของนางจะดูธรรมดา แต่ท่าทางและน้ำเสียงของนางก็ดูสง่างามมาก

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ยอมรับสินะ?”

พอเฟิ่งมู่ชิงพูดจบ นางก็รวบรวมกำลังภายในของตนแล้ววิ่งเข้าไปหาสตรีปริศนาทันที

แขกในงานไม่สามารถมองตามความเร็วของการเคลื่อนไหวนี้ได้เลย พวกเขาเห็นเพียงแค่เงาเลือนรางที่เคลื่อนผ่านสายตาของตนไปเท่านั้น

“อ๊าาา!!”

เสียงกรีดร้องของหญิงปริศนาดังลั่นจนทำให้แก้วหูของทุกคนสั่นสะท้าน

เมื่อกลุ่มคนในงานมองไปยังทิศทางของเสียงกรีดร้อง พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าเฟิ่งมู่ชิงกำลังจับไหล่ของสตรีผู้นั้นด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็เคลื่อนไหวอยู่บริเวณใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าสาวตัวปลอมก็เผยออกมา

“เฟิ่งหวานหว่าน น้องสาวคนดีของข้า เจ้าพยายามจะขัดพระราชโองการของฝ่าบาทงั้นหรือ?”

เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันในขณะที่ถือหน้ากากบาง ๆ เอาไว้ นางปรายตามองไปยังของที่อยู่ในมือตนเองพร้อมกับเม้มฝีปากก่อนจะบ่นออกมาด้วยความขยะแขยง “เจ้าสิ่งนี้ทำออกมาได้แย่มาก”

จากนั้นนางจึงโยนหน้ากากไปทางจวินหรูเย่ที่กำลังเพลิดเพลินกับการดูละครฉากสำคัญอยู่

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ทุกคนอึ้ง! บุกงานแต่งกันอย่างงี้เลยเหรอออ

เจ้าสาวที่ถูกกักขังไว้ในที่มืด

อันที่จริงละครบทต่อไปจะต้องได้รับความร่วมมือจากชายผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ด้วย แต่ดูเหมือนว่าเขามัวแต่จดจ่อกับละครมากเกินไปจนไม่รู้ตัวว่าตนเองจะต้องเข้าฉากแล้ว

ในจังหวะที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น เฟิ่งมู่ชิงเหลือบมองไปทางจวินหรูเย่เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน

ขั้นตอนต่อไปขึ้นอยู่กับพระองค์แล้ว

ชายหนุ่มเข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวต้องการจะสื่อความหมายผ่านสายตาคู่นั้นที่มองมายังตนโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องอธิบาย ซึ่งท่าทางของนางทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันเล็กน้อย

ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ

จากนั้นจวินหรูเย่ก็ละความสนใจจากเฟิ่งมู่ชิงก่อนจะหันกลับมาสนใจสตรีที่ใจกล้าปลอมตัวเป็นว่าที่เจ้าสาวเข้ามาหลอกตนเอง

‘เฟิ่งหวานหว่าน’ งั้นหรือ?

ปรากฏว่าเป็นเฟิ่งหวานหว่านผู้โด่งดังในเมืองหลวงผู้นั้นเองสินะ

ตระกูลเฟิ่งวางแผนจะทำอะไรกันแน่?

ในเวลาเดียวกัน ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง จากงานเลี้ยงมงคลสมรสที่เคยมีเสียงอึกทึกครึกโครมกลับกลายเป็นเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของกันและกัน

ทางด้านเฟิ่งหวานหว่านยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าของตนเองด้วยความตื่นตระหนก พลางใช้หางตามองไปยังว่าที่เจ้าบ่าว

ท่าทีของจวินหรูเย่ในตอนนี้ดูเย็นชามาก เมื่อเขาสังเกตเห็นถึงการแอบมองของเฟิ่งหวานหว่าน ดวงตาที่เฉียบคมก็มองตอบกลับไปก่อนจะปล่อยพลังธาตุไฟออกมาเผาหน้ากากในมือของเขาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน

“คุณหนูรองเฟิ่ง ช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทำให้ฝ่ายที่ได้ยินรู้สึกสั่นสะท้านในใจ

ยามนี้ดวงตาของนางร้อนผ่าว ไม่นานแก้มทั้งสองข้างก็อาบไปด้วยน้ำตา นางคุกเข่าแทบเท้าของจวินหรูเย่พร้อมกับจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น

“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ เป็นความผิดของหวานหว่านเอง หวานหว่านหลงรักพระองค์มานานแล้ว จึงคิดวิธีการแบบนี้ขึ้นมา ได้โปรดเพื่อเห็นแก่ความรักของหวานหว่าน โปรดอนุญาตให้หวานหว่านแต่งงานกับพระองค์ด้วยเถิดเพคะ”

“เหลวไหล! มีสตรีในเป่ยอี้ตั้งกี่คนที่ชื่นชมข้า หากข้าเห็นด้วยกับคำร้องขอของเจ้า ข้าไม่ต้องแต่งพวกนางเข้ามาจนล้นจวนหรอกหรือ?”

จวินหรูเย่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดวงตาของเขาเวลานี้ราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ภายใน

“หรือว่าเรื่องคราวนี้มหาเสนาบดีเฟิ่งจะมีส่วนร่วมด้วย?”

ทันทีที่เฟิ่งหวานหว่านได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย นางก็หยุดชะงักอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นจากความสับสนของหวานหว่านเอง ไม่เกี่ยวกับท่านพ่อ”

“เจ้าแน่ใจหรือ?”

จวินหรูเย่ไม่ใช่คนโง่ คุณหนูรองของตระกูลเฟิ่งไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ด้วยตัวคนเดียวได้ เขาคิดว่าเรื่องนี้จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่นอน

เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่ามันเป็นใคร

ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเฟิ่งมู่ชิง

แล้วสตรีผู้นี้มีบทบาทอย่างไรกันแน่?

เมื่อเขาพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน นางไม่ใช่คนของเฟิ่งเทียนหลิงอย่างแน่นอน

“เฟิ่งหวานหว่าน หน้ากากนี้มีเฉพาะในเจียงหูเท่านั้น คนอย่างเจ้าไม่มีทางหามันมาได้ด้วยตัวเองแน่นอน” เฟิ่งมู่ชิงที่ทนฟังความเจ้าเล่ห์ของหญิงสาวใจคดตรงหน้าไม่ไหวจึงพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเย็นชา

เฟิ่งหวานหว่านผู้นี้มักจะสนุกอยู่กับการรังแกนางมานานกว่า 10 ปี ดังนั้นนางจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะตอบโต้และไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้เล่นงานสตรีเลวทรามผู้นี้ให้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน

เมื่อครั้งที่นางสำรวจสภาพร่างกายภายในของร่างเดิม นางพบว่าร่างกายนี้ไม่ได้เพียงถูกวางยาพิษเท่านั้น แต่ยังมีรอยแผลเป็นทั้งเก่าและใหม่อยู่ทั่วร่างมากมาย อีกทั้งมือของนางก็หยาบกร้านและแทบไม่มีเนื้อหนังเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ส่วนสูงของนางก็ยังเตี้ยกว่าเฟิ่งหวานหว่านตั้งครึ่งหัว

นางเป็นบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายแต่กลับมีสภาพที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าคนรับใช้เสียอีก

โชคดีที่นางซึ่งเป็นเฟิ่งมู่ชิงคนใหม่มาได้ทันเวลา

“ข้า…”

เฟิ่งหวานหว่านกำลังจะเอ่ยคำแก้ตัว แต่ก่อนที่นางจะได้ทันได้พูดอะไรออกมา จวินหรูเย่ก็เอ่ยขัดนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“โม่อิ๋ง เอาสตรีผู้นี้ออกไป”

สิ้นเสียงออกคำสั่งของชายหนุ่ม เงาสีดำขนาดใหญ่ก็ตกลงมายังพื้นทันที ก่อนจะพาเจ้าสาวตัวปลอมออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เฟิ่งหวานหว่านที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก นางต้องการร้องขอความเมตตา แต่กลับพบว่าคอของตนไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ออกมาได้

แม้คนในงานจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง แต่เฟิ่งมู่ชิงนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน

หญิงสาวสังเกตได้ว่าในขณะที่ ‘โม่อิ๋ง’ จับกุมตัวเฟิ่งหวานหว่านไป เขาใช้นิ้วกดไปที่จุดปิดเสียงของผู้ที่ถูกจับกุมก่อนนั่นเอง

ลูกน้องของจวินหรูเย่ช่างรอบคอบเสียจริง

เฟิ่งมู่ชิงคิดพลางอดถอนหายใจไม่ได้

“ในเมื่อความจริงเปิดเผยแล้ว งั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน”

เมื่อหญิงสาวเห็นว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว นางก็รู้สึกว่าการรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่มีประโยชน์อันใดอีก ดังนั้นนางจึงตั้งใจที่จะเดินกลับออกไป

“ช้าก่อน!”

เฟิ่งมู่ชิงที่ได้ยินเสียงเรียกของอีกฝ่ายก็หยุดชะงักชั่วคราว

นางหันกลับไปมองจวินหรูเย่ด้วยสีหน้าฉงนก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่า “ไม่ทราบว่าพระองค์มีธุระอะไรกับหม่อมฉันอีกเพคะ?”

ชายผู้นี้ต้องการที่จะทำอะไรกันแน่?

“เจ้ารู้เรื่องแผนการครั้งนี้ด้วยหรือไม่?”

พอเฟิ่งมู่ชิงได้ยินคำถามจากชายผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ตรงหน้า นางก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “เมื่อตอนที่หม่อมฉันรู้สึกตัว หม่อมฉันก็ถูกพาไปทิ้งไว้ที่ป่านอกเมืองแล้ว ไม่ว่าคนตระกูลเฟิ่งจะมีการส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่หม่อมฉันก็ถือว่าเป็นคนนอกสำหรับพวกเขาอยู่ดี หม่อมฉันไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น”

หลังจากจวินหรูเย่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว นิ้วของเขาก็เคาะที่วางแขนของรถเข็นเบา ๆ พลางครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า

“ในเมื่อการแต่งงานครั้งนี้เป็นสมรสพระราชทานที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เจ้ายังคิดว่าจะสามารถออกจากจวนผู้สำเร็จราชการฯ ไปได้อีกงั้นหรือ?”

ทันทีที่เฟิ่งมู่ชิงได้ยินเช่นนั้น นางก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่พอใช้เวลาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจถามเขากลับไป “พระองค์อยากแต่งงานกับหม่อมฉันหรือเพคะ?”

“พระราชโองการของฮ่องเต้ไม่สามารถฝ่าฝืนได้”

สิ่งที่จวินหรูเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบทำให้เฟิ่งมู่ชิงเบิกตากว้างพร้อมทำหน้าประหลาดใจ นางไม่คิดว่าผู้ชายที่ดูเย่อหยิ่งผู้นี้จะยอมน้อมรับคำสั่งของผู้อื่นได้ง่าย ๆ

แม้ว่าก่อนหน้านี้นางเคยคิดอยากจะทำให้เขาเป็นคนของตนเอง แต่นางก็ไม่ได้คิดว่านางจะต้องเอาความสุขทั้งชีวิตไปแลกกับมัน

โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก ยังมีอะไรสนุก ๆ ที่นางอยากทำอีกตั้งเยอะแยะ

แล้วนางจะมาติดแหง็กอยู่ในจวนแห่งนี้ได้อย่างไร!

บัดนี้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกขมขื่นในใจ แต่ไม่นานนางก็สงบสติอารมณ์ก่อนที่จะถามคำถามชายที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินว่า

“พระองค์มีสาวใช้อุ่นเตียงหรือนางสนมหรือไม่?”

“ไม่”

“พระองค์มีสตรีที่ชื่นชอบอยู่แล้วหรือไม่?”

“ไม่”

“ถ้าพระองค์ต้องการแต่งงานกับหม่อมฉัน ในชีวิตนี้พระองค์จะต้องมีหม่อมฉันเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการเช่นกัน”

“หม่อมฉันเป็นคนขี้หึง”

“นั่นแสดงว่าเจ้าใส่ใจในตัวข้า”

“หม่อมฉันเป็นคนโหดเหี้ยม”

“เป็นเรื่องที่ดี เจ้าจะได้ไม่ถูกรังแก”

“…”

ปัจจุบันบรรดาแขกเหรื่อที่ยังอยู่ในงานต่างก็พูดอะไรไม่ออกหลังจากได้ฟังบทสนทนาของชายหญิงทั้งสอง

ในตอนนี้พวกเขาอยากจะเอ่ยคำลาและขอตัวกลับบ้านกันใจจะขาด แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดขัดจังหวะคนทั้งคู่

บรรยากาศแปลก ๆ แบบนี้มันคืออะไรกัน?

“ดูสิเพคะ มือของหม่อมฉันหยาบกร้านยิ่งกว่ามือของหญิงสาวที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต และร่างกายของหม่อมฉันก็เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ไม่ขาวเนียน ไร้รอยตำหนิเหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์คนอื่น”

ขณะนั้นทุกคนจ้องมองไปยังมือของเฟิ่งมู่ชิงที่ชูให้ชายบนรถเข็นดูทำให้พวกเขาต่างก็พูดอะไรไม่ออก

ไม่มีใครในเป่ยอี้ที่ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฟิ่งไม่ได้รับความโปรดปราน แต่พวกเขาก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเลวร้ายถึงเพียงนี้

เมื่อจวินหรูเย่เห็นสภาพมือของนางก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์แปลก ๆ ที่ปะทุขึ้นในใจของเขา

ปรากฏว่าเขารู้สึกเจ็บปวดและสงสารสตรีตรงหน้า

“จากนี้ไป ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครรังแกเจ้าได้”

คำพูดอันทรงพลังดั่งคำสัญญาดังก้องอยู่ในหูของหญิงสาวซึ่งมันทำให้เฟิ่งมู่ชิงพูดอะไรไม่ออก

ชายผู้นี้หมายความว่าอย่างไร?

ทำไมเขาถึงอยากเก็บข้าไว้?

เป็นไปได้ไหมที่ชายผู้นี้กำลังสงสัยในตัวของข้า?

เฟิ่งมู่ชิงคิดหาเหตุผลมากมายที่จะมาอธิบายการกระทำของอีกฝ่าย แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

“เรื่องในวันนี้คงจะสืบสาวราวเรื่องไม่ได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน นอกจากนั้นแล้ว นี่ยังเป็นสมรสพระราชทาน ฉะนั้นในตอนนี้เจ้านับว่าเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”

ครั้นพอได้ยินชายหนุ่มอธิบาย เฟิ่งมู่ชิงก็ลูบคางพลางคิดตามคำพูดเหล่านั้น

ชีวิตของนางในจวนสกุลเฟิ่งไม่ได้ดีนักหรือจะเรียกว่ายากเย็นแสนเข็ญเลยก็ว่าได้ ซึ่งหากนางกลับไปที่นั่น เฟิ่งเทียนหลิงจะต้องตำหนินางเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าการมีสถานะเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้นมีประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า

แต่นางแค่ไม่รู้ว่าชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

“สิ่งที่หม่อมฉันพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หม่อมฉันเป็นคนยึดถือในคำมั่นสัญญา และหม่อมฉันเกลียดคนไม่รักษาสัญญาที่สุด พระองค์เข้าใจใช่หรือไม่เพคะ?” หญิงสาวย้ำคำพูดของตัวเองอีกครั้ง

จวินหรูเย่พยักหน้าโดยไม่ลังเลก่อนจะยกยิ้มมุมปาก

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มพิธีกันเถอะ”

ต่อมา เฟิ่งมู่เชิงเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ จวินหรูเย่เพื่อทำให้พิธีแต่งงานเสร็จสมบูรณ์

ส่วนเจ้าพิธีที่ถูกขัดจังหวะมานานถึงกับลอบเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา ก่อนจะกล่าวเริ่มพิธีอีกครั้งขณะที่ในใจอดพร่ำบ่นไม่ได้ว่า

งานสมรสในจวนผู้สำเร็จราชการฯ นั้นยากจริง ๆ

หลังจากที่ทุกคนได้เห็นเรื่องตลกในงานมงคลสมรสวันนี้ พวกเขาต่างก็ตกอยู่ในความรู้สึกหวาดหวั่น

นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จะทำอะไรกับผู้ที่รู้เห็นเรื่องในวันนี้หรือไม่?

พระจันทร์เสี้ยวส่องแสงหนาวเย็นลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า เงาของต้นไม้ไหวไปตามลมส่งเสียงคล้ายกับการบรรเลงเพลงขับกล่อมในค่ำคืนอันเงียบสงบ

ภายในจวนหลังใหม่

เฟิ่งมู่ชิงมองดูถั่วลิสง อินทผาลัม และของว่างอื่น ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบพวกมันมากินเงียบ ๆ

วันนี้นางยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารที่ยังไม่ตกถึงท้องเลยสักมื้อ นางจึงกำลังหิวโหยเป็นอย่างมาก

หญิงสาวกลืนของว่างด้วยความยากลำบาก เนื่องจากขนมแห้ง ๆ เหล่านี้กลืนค่อนข้างยาก นางเลยหันไปคว้ากาสุราแล้วยกดื่มโดยตรง

“หึ ๆ”

อีกด้านหนึ่ง ทันทีที่จวินหรูเย่เข้ามาในห้อง เขาก็บังเอิญเห็นฉากที่เฟิ่งมู่ชิงกำลังกินของว่างบนโต๊ะ ทำให้ชายหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสตรีที่ไม่สงวนท่าทีเวลากินเช่นนี้

เมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย นางก็หยุดกินก่อนจะมองไปยังคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วยความข้องใจ

“โม่อิ๋ง ให้ในครัวทำอาหารง่าย ๆ มาสักหน่อย”

พอจวินหรูเย่เห็นสีหน้าที่ดูไม่พอใจของพระชายา เขาจึงออกคำสั่งกับคนสนิทของตน เพียงชั่วอึดใจเฟิ่งมู่ชิงสังเกตเห็นเงาดำวูบวาบผ่านไปราวกับลมกระโชกแรง

ถัดมา ชายหนุ่มบังคับรถเข็นของตนไปทางเฟิ่งมู่ชิงช้า ๆ และเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าดื่มกินอย่างไม่มีท่าทีเอียงอาย เขาก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย

“พระองค์ยังมีสุราเหลืออยู่อีกหรือไม่เพคะ?”

เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยถามพลางเขย่ากาสุราไปมาให้อีกคนเห็นว่าในกาไม่มีสุราเหลืออยู่แม้แต่หยดเดียว

“นี่คือสุราเหอจิ่น” จวินหรูเย่กล่าวขึ้นมาเสียงขุ่น

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0