หลังการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมิถุนายนปี 2010 สมาชิกสภาราษฎรของเบลเยี่ยมที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งมา ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพราะความแตกต่างทางนโยบายระหว่างฝ่ายเฟลมมิชและฟรองโคโฟน กฎหมายเบลเยี่ยมกำหนดให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องมาจากส.ส.ในรัฐบาลกลาง เมื่อยังไม่มีรัฐบาลกลาง จึงทำให้ประเทศไม่มีผู้นำไปโดยอัตโนมัติ
ปัญหาขัดแย้งที่ใหญ่สุดคือความคิดเห็นต่อการปฏิรูปประเทศ ฝั่งเฟลมมิชต้องการกระจายอำนาจจากรัฐบาลกลางสู่ฝ่ายปกครองท้องถิ่นมากขึ้น ขณะที่ฝั่งฟรองโคโฟนต่อต้านการกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลางเพราะจะทำให้พื้นที่ยากจนที่ส่วนใหญ่เป็นฝั่งฟรองโคโฟนได้รับเงินทุนรัฐบาลน้อยลงด้วย
หลังการเจรจาผ่านคนกลางจากหลายฝ่าย รวมทั้งคนกลางที่แต่งตั้งโดยกษัตริย์อัลเบิร์ตที่ 2 ของเบลเยี่ยม ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็สามารถหาข้อยุติลงได้ในเดือนตุลาคมปีต่อมา รวมระยะเวลาที่เบลเยี่ยมไม่มีรัฐบาลกลางนานถึง 541 วัน
ในระหว่าง 18 เดือนนั้น ระบบการปกครองของเบลเยี่ยมที่เป็นแบบกระจายอำนาจ ทำให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถทำงานต่อไปได้ นักวิเคราะห์ระบุว่าความซับซ้อนยุ่งยากของระบบราชการที่เคยถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนของประเทศและข้าราชการที่ไม่ฝักใฝ่ทางการเมืองกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศสามารถฝ่าฟันช่วงวิกฤติทางการเมืองไปได้
ชาวเบลเยี่ยมเองก็ผ่านช่วงวิกฤติมาได้ด้วยการประท้วงรัฐบาลและอารมณ์ขัน ไม่ว่าจะมีการออกมาเรียกร้องให้ชาวเบลเยี่ยมงดการมีเพศสัมพันธ์และหยุดโกนขนจนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ ในขณะที่มีการแจกจ่ายเฟรนช์ฟรายด์และเบียร์เมื่อเบลเยี่ยมทำลายสถิติโลกเดิมกลายเป็นประเทศที่ใช้เวลาจัดตั้งรัฐบาลยาวนานที่สุดในโลก รับรองโดย กินเนส เวิร์ล เรคคอร์ด
ขณะที่ใกล้ๆกันและเป็นประเทศพี่ใหญ่ของยุโรปอย่างเยอรมนี ก็เกือบจะจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ จนเกือบจะต้องมีเลือกตั้งใหม่ด้วยเช่นกัน เมื่อนางอังเกลา แมร์เคิล นำพรรคสหภาพคริสเตียน เดโมแครต หรือ CDU ชนะการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกันยายนปี 2017 ด้วยคะแนน 33 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าต่ำ จึงต้องจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคอื่น เพื่อปูทางให้นางแมร์เคิลได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 4
พรรค CDU พยายามเจรจาจับมือกับพรรคต่างๆ แต่ล้มเหลว จึงทำให้ต้องหันไปเจรจากับพรรคสังคมประชาธิปไตย หรือ SDP ซึ่งได้ที่นั่งมาเป็นอันดับสอง แต่การเจรจาก็ล้มเหลวหลายครั้งเช่นกัน เพราะมีนโยบายที่ไม่ตรงกันในหลายเรื่อง เช่นปัญหา ผู้อพยพ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก รวมถึงเรื่องสหภาพยุโรป
นางแมร์เคิลและพรรค CDU ใช้เวลาถึง 136 วัน ในการเจรจากับพรรค SDP ท้ายที่สุด นางแมร์เคิลต้องยอมถอยในบางประเด็น เช่นต้องยกกระทรวงหลักๆ เช่นกระทรวงการคลัง กระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงแรงงานให้พรรค SDP จึงทำให้ทั้งสองพรรคประกาศจัดตั้งรัฐบาลกันได้ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ปี 2018
กินเวลามากกว่าสี่เดือน ถือเป็นการใช้เวลาเจรจาจัดตั้งรัฐบาลนานที่สุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้งสหพันธรัฐเยอรมนี ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่พรรค CDU ต้องสูญเสียการคุมอำนาจในส่วนที่สำคัญด้วย
ปิดท้ายกันที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 มีนาคมปีที่แล้ว นายมาร์ค รัทเท่อ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ ใช้เวลาเจรจาจัดตั้งรัฐบาลนานถึง 208 วัน หรือ เกือบ 7 เดือนกว่าจะบรรลุข้อตกลงตั้งรัฐบาลได้ในเดือนตุลาคม การเจรจาดังกล่าวถือว่ายาวนานสุดในประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่ของเนเธอร์แลนด์เลยทีเดียว
รัฐบาลสี่พรรคผสมของเนเธอร์แลนด์นี้ ต้องเผชิญความท้าทายเนื่องจากมีทั้งพรรคสายเสรีนิยม และอนุรักษ์นิยม ที่บางพรรคนั้นส่งเสริมสิทธิกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ สนับสนุนการรวมตัวของสหภาพยุโรป รวมถึงสิทธิในการเลือกตาย ในขณะที่บางพรรคไม่สนับสนุนการทำแท้ง หรือการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน
และสิทธิในการเลือกตาย นอกจากนี้รัฐบาลผสมชุดนี้ยังมีเสียงเกินเสียงข้างมากในสภาเพียง 1 เสียงเท่านั้น ขณะที่มีพรรคการเมืองถึง 13 พรรคในรัฐสภา จึงทำให้เกิดคำถามว่า รัฐบาลชุดนี้จะสามารถอยู่ครบวาระสี่ปีได้หรือไม่