โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“สน-ยุกต์” กับ “คำปรามาส” ที่ทำให้ไม่อยากเล่นละครแล้ว

TheHippoThai.com

อัพเดต 06 มิ.ย. 2561 เวลา 04.28 น. • เผยแพร่ 05 มิ.ย. 2561 เวลา 05.00 น.

“สน-ยุกต์กับคำปรามาส” ที่ทำให้ไม่อยากเล่นละครแล้ว

 “…ผมเริ่มจากการเดินแบบครับ ตอนสมัยมัธยม ช่วง ม.6  ก็มีแมวมองมาติดต่อ เริ่มไปเดินแบบเล็กๆก่อน แต่ตอนที่แจ้งเกิดจริงๆ ก็คือการได้มาเดินแบบในงาน ELLE Fashion Week ของ 27 Friday ครับ เพราะหลังจากนั้นก็มีงานเดินแบบ ถ่ายแบบ ติดต่อมาเยอะมาก แล้วต่อมา Exact เค้าก็กำลังมองหานักแสดงคลื่นลูกใหม่อยู่พอดี ก็มีคนมาชวนให้ลองไปแคสดู ซึ่งตอนนั้นผมเป็นห่วงมากเรื่องการเรียนของผม เพราะผมเพิ่งเข้าปีหนึ่ง วิศวะ จุฬาฯ กลัวเรียนไม่จบ เค้าก็บอกว่า เออ ลองไปทำเล่นๆ ก่อน เป็นงาน พาร์ทไทม์ แต่จริง ๆแล้วมันไม่ใช่เลยนะ มันเป็นงาน ฟูลไทม์ ที่ทำมาจนถึงวันนี้เลย (หัวเราะ)…” 

นี่คือสิ่งแรกจากปากของ “สน–ยุกต์ ส่งไพศาล” พระเอกแถวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย ที่เราได้ยิน ถึงจุดเริ่มต้นในวงการบันเทิง ในฐานะ “นักแสดง พาร์ทไทม์” ที่เราขอเชิญเค้ามาพูดคุยคุ้ยแคะถึงเรื่องราวหลังจอโทรทัศน์ และย้ำชัดๆกับความเห็นต่อ คอมเมนท์ ที่เคยถาโถมจนทำให้เค้ากลายมาเป็น “พระเอก ฟูลไทม์” ได้ในวันนี้ 

การแสดงที่ต้องพัฒนาไปพร้อมกับการเรียน

 “…ผมก็มีข้อแม้ว่าช่วงสอบผมขออ่านหนังสืออย่างเดียวนะ สักช่วง 2 สัปดาห์ก่อนสอบ แล้วก็ถ่ายแค่คราวละเรื่องนึง แต่เอาจริงตอนนั้นมันก็ไม่ค่อยจะไหวอยู่นะ ยอมรับเลยว่าตอนแรกแบ่งเวลาไม่ถูก เทอมแรกนี่เกรดร่วงเลยนะ แต่ก็ได้เพื่อนนี่แหละคอยช่วยเก็บ เลคเชอร์ ให้ ช่วยมาสอนเราทีหลัง ตอนแรกเราค่อนข้างเหนื่อยเลยล่ะ บางทีต้องถ่ายละครเช้าตรู่ บ่ายโมงไปเรียน แล้วสี่โมงก็กลับไปกองถ่าย ต้องประคองมาให้รอดทั้งสองอย่าง เรียนผมอาจจะทำเกรดสูงๆอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ให้มันแย่ อีกอย่างคืองานละครผมก็พยายามพัฒนาตัวเองนะ อย่างเรื่องแรกที่มาเล่นนี่ไม่รู้เลยนะว่าละครมันเป็นไง ต้องแสดงยังไง ผลมันก็ออกมาอย่างที่เค้า คอมเมนท์ กัน (หัวเราะ)…”

กับกระแสคอมเมนท์ด้านการแสดงของสน-ยุกต์”

 “…ตอนเล่นละครเรื่องแรกเสร็จ ผมไม่อยากเล่นละครอีกเลยนะ (หัวเราะ) รู้สึกว่าตรงนี้มันไม่ใช่ทางของเรามั้ง ก็อย่างที่บอกว่าโอเคมันเป็น พาร์ทไทม์ นี่ งั้นเราไม่ทำก็ได้ ตอนนั้นโดนคนว่าเยอะแล้วก็ไม่เอาแล้ว แต่ “พี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ)” แล้วก็ “หม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล)” เค้าก็บอกว่า จริงๆงานในวงการนี่มันมีข้อดีเยอะมากนะ ข้อนึงเลยก็คือเราสามารถให้ความสุขกับคนได้เยอะ ในหนึ่งวัน เค้าไปเจองานมาหนักๆ เจอเรื่องแย่ๆ เจอชีวิตประจำวันที่ไม่ แฮปปี้ แต่มีหนึ่งชั่วโมงที่เค้าดูละครเราแล้วเค้ามีความสุขได้ ฟังแล้วเราก็มีใจที่จะพัฒนาตัวเองแล้วก็มองใหม่ว่า แบบนี้ก็คือโอกาสให้เราพัฒนาไปได้ไกลอีกมาก มีพื้นที่ให้เราแก้ไขและเรียนรู้ไปอีกเยอะ…”

พยายามพัฒนาร่างกาย เพื่อให้เชื่อมต่อกับจิตใจ

 “…ตอนแรกที่มาเรียนการแสดงกับ "หม่อมน้อย" ช่วงมหา’ลัย พอเราเลิกเรียนเสร็จก็ไป เวิร์กชอป กับ "หม่อมน้อย" แทบจะทุกเย็น เป็น คลาส ของ Exact เลยก็จะมีนักแสดงในรุ่นเดียวกันไปเรียนด้วยกัน แรกๆผมก็ไม่เข้าใจมันหรอก เค้าให้ทำไรผมก็ทำตามเค้า คือการเรียนของ "หม่อมน้อย" คือ การทำให้อินเนอร์ ข้างในของเราเชื่อและเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ ไม่วอกแวกกลับมาเป็นตัวเอง มันยากมากเลยนะ (เน้นเสียง) แรกสุดเค้าก็จะให้วอร์มร่างกายก่อน โยคะ แอโรบิคไป แล้วหลังจากนั้นหม่อมก็จะให้นั่งสมาธิ เดินจงกรม เราก็งงว่ามันเกี่ยวอะไร คือตอนนั้นผมไม่สามารถเอาร่างกายและจิตใจมาเชื่อมกันได้เลยนะ ก็ทำตามเค้าไป จนกระทั่งเรามาเข้าใจว่าการวอร์มร่างกายเนี่ย มันทำให้เราสามารถใช้ร่างกายของเราได้อย่างเต็มที่ ส่วนจิตใจนั้น การนั่งสมาธิทำให้เราอยู่กับตัวละคร  พอเราเริ่มคล่องแล้วเราก็อยากจะไปเจอบทใหม่ๆ ที่ผมอยากทำเลยก็คือบทตลก แล้วก็บทที่กดดันท้าทาย เล่นเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนทางจิตใจ…” 

ห้องเรียนการแสดงที่ชื่อ “เป็นต่อ”

 “…การเล่น "เป็นต่อ" ทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับ คอมเมดี้ เยอะมากเลยนะ ซึ่งทำให้เราได้เอามาใช้ในละครเรื่องอื่นด้วย เหมือนเป็นห้องเรียนเลยนะ เข้าไปเล่นเป็นนักแสดงเด็กคนเดียว พี่ๆเค้าเป็นผู้ใหญ่ที่มากประสบการณ์อยู่แล้ว เข้าไปก็ต้องพยายามตามเค้าให้ทัน พี่เค้าก็ช่วยเราหลายอย่างบวกกับการสังเกตุว่าพี่ๆ เค้าเล่นกันยังไง ตอนแรกที่ผมเข้าไปแบบจังหวะนรกมากๆเลยนะ เค้ากำลังฮาๆกันอยู่ เราก็เข้าไปตัดเค้า (หัวเราะ) 

แรกๆก็งงเหมือนกันว่า sit-com มันเป็นยังไง เราก็อาศัยที่เวลาถ่าย เค้าก็จะมีคนดูจริงๆอยู่ด้วย เราก็ เช็ก ฟีดแบค จากเค้าได้ เรียนรู้ว่าจังหวะอะไรที่เราเล่นไปแล้วเค้าหัวเราะ เป็นอันใช้ได้ เราก็ต้องสื่อสารให้คนดูจริงๆ ไม่ใช่เล่นอยู่กับตัวเอง มันก็กึ่งๆ ละครเวทีเลยนะครับ โอเคมันอาจจะเทคได้ แต่พอเล่นอีกทีคนดูก็ไม่ขำแล้ว ดังนั้นไม่เทคเลยจะดีกว่า ทำยังไงก็ได้ให้จังหวะแรกคนขำเยอะที่สุด ทุกอย่างลื่นไหลมากที่สุด ทุกวันนี้ผมยังเรียนรู้การด้นสดอยู่เลยนะ บางทีพวกพี่เค้าเล่นกันสดๆ ไม่มีในบทเลย เพราะเค้าทำงานกันมาเป็นสิบปี เค้าก็ใส่ได้เต็มที่อยากใส่อะไรก็ใส่เลย แต่ของผมตอนนี้ เอาแค่บทของตัวเองที่เขียนไว้ให้รอดก่อนดีกว่า (หัวเราะ)…”

อะไรในวงการบันเทิงที่อยากทำอีกบ้าง ?

 “…ตอนนี้มีอยู่สองอย่างที่ยังไม่ได้ทำ คือละครเวที กับภาพยนตร์ ละครเวทีนี่ผมกลัว กลัวจริงๆนะ เพราะเห็นว่าต้องซ้อมหนักมาก คือผมอยากทำงานอย่างอื่นในวงการไปด้วย แต่ถ้าทำละครเวทีแล้วผมก็จะต้องใช้เวลาทั้งหมดอยู่จุดนั้น เพราะมันยากแล้วต้องใช้ศาสตร์หลายๆอย่าง ดังนั้นตอนนี้เลยมองๆไว้ แต่เราสนใจเพราะเราเล่นเป็นต่อมาด้วย ดังนั้นขอไว้เมื่อพร้อมจริงๆ ก็จะทำครับ 

ส่วนภาพยนตร์นี่อยากทำเพราะเป็นงานที่ใช้ทักษะการแสดงอีกสายหนึ่งครับ มันอาจจะไม่ได้เล่นใหญ่แบบละครเวที หรือละครโทรทัศน์ แต่มันจะใช้ความรู้สึก ใช้สายตาได้มากกว่า เพราะจอมันใหญ่ แล้วคนก็ตั้งใจดูเรา มัน เรียล กว่า ภาพยนตร์ที่อยากเล่นก็จะเป็นแนวโรแมนติกหนักๆ กับตลกสุดๆไปเลย แต่หนังผีผมไม่เอานะ (หัวเราะ) ให้ผมไปโดนผีหลอก ทำหน้ากลัวๆ แต่ผมเฉยๆ อาจจะเป็นเพราะคุณย่าเคยบอกว่าอย่าไปเล่นนะ ละครผี ย่าไม่อยากเห็นเราทำหน้ากลัวๆ มันก็อาจจะเป็นอะไรที่อยู่ในใจเรามั้ง ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะ แต่เราอยากมองอย่างอื่นมากกว่า จริงๆ ก็มีถ่ายไว้ที่จีนแล้วเรื่องนึง แต่ก็รออยู่ว่าจะได้ฉายที่บ้านเราด้วยรึเปล่า แต่ที่ไทยยังไม่มี ติดต่อกันมาได้นะครับ อยากเล่น (หัวเราะ)…”

ชีวิตนอกจอของ “สน-ยุกต์”

 “…ผมชอบออกกำลังกายนะ ผมเอาเวลาไปลงกับการออกกำลังกายเยอะมาก มันทำให้เราโอเค สุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ทุกวันนี้ทำได้อย่างเดียวคือเล่น เวท นะ เพราะผมชอบตีแบต เล่นบาสมาก ถ้าไม่ติดที่สังขารนี่ก็คงไปเล่นตลอด บางทีเราทำงานในวงการ เราก็ไม่อยากจะบาดเจ็บ คือผมเล่นอะไรแล้วก็จะเข้าไปจริงจัง แล้วเราดันเล่นแต่กีฬาที่มีการปะทะไง เดี๋ยวก็เจ็บข้อมือ ข้อเท้า ก็เลยกลัวทำงานไม่ได้…”

“สน-ยุกต์” ในอีกสิบปีข้างหน้า

“…สิบปีข้างหน้า ผมอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วนะ อยากมีอะไรที่เราเข้าไปคลุกคลีอยู่ทุกวัน ตอนนี้ก็มีหุ้นๆกับเพื่อนๆอยู่บ้าง แต่สุดท้ายให้เรามองต่อไป เราก็อยากจะมีอะไรที่เรารักที่จะทำมันแล้วเป็นธุรกิจที่เลี้ยงตัวเองต่อไปได้ แต่วิศวกรนี่คงไม่ได้ทำแล้วล่ะ อาจจะเป็นธุรกิจที่ใช้ความรู้จากทางวิศวะแทน จริงๆ บางทีถ้าย้อนกลับไปได้ก็อาจจะเลือกเรียนหมอเลยนะ เพราะวิชาที่ผมสนใจมากๆเลย คือชีววิทยานะ เป็น Top ของห้องเลยนะ ผมชอบจำ ชอบเรียนเกี่ยวกับร่างกาย ชอบดูสารคดี ชอบดูการใช้ชีวิตของสัตว์ อีกอย่างคืออยากทำยานะ ผมเลยเลือกเรียนวิศวกรรมนาโนไง มันเกี่ยวกับการทำยาในโมเลกุลเล็ก แต่ว่าเรียนไปเรียนมาแล้วรู้สึกเหนื่อยมาก ท่าทางจะไม่ใช่ทางของเรา (หัวเราะ)

ส่วนงานแสดง มันมาควบคู่กันนะ แต่เราเลือกทำตรงนี้ก่อน เพราะโอกาสเราอยู่ตรงนี้ แล้วก็ถ้าจะทำตอนแก่ก็คงไม่ใช่เรื่อง ไม่น่าจะไหว (หัวเราะ) ถ้าให้มองอนาคตทางนี้ ผมเรียกว่าเป็นอะไรที่ผมอยากรู้ว่ามันจะไปถึงไหน จะมีโอกาสให้เราทำอะไรต่อไปบ้าง ปล่อยไปตามโอกาสเลย ผมก็สงสัยเหมือนที่ถามมาเหมือนกันว่ามันจะพัฒนาเราไปทางไหน…”

เรื่องในวงการที่ไม่มีทางลืม

“…ผมว่ามันไม่ลืมอยู่แล้ว การเล่นละครทุกเรื่องมันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องจำอยู่แล้ว อย่างผมเล่นเรื่องเรือนแพ มันจะมีฉากแพไฟไหม้แล้วแพจะล่ม ผมอยู่กับฝนเทียมสามวัน ตัวเปื่อยเลย แล้วก็มีพัดลมยักษ์ มีไฟ ทรหดมาก แต่สนุกดีนะ เพราะชีวิตจริงคงไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมชอบการแสดง อย่างการขอแต่งงานผู้หญิงในรูปแบบต่างๆกัน (หัวเราะ) เพราะในชีวิตจริงเราออาจจะได้ขอแค่ครั้งเดียวไง ผมเล่นละครมาสิบกว่าเรื่องก็ได้ขอผู้หญิงแต่งงานหลายรอบมาก…”

ผลงานต่อไปที่จะได้เห็นของ “สน-ยุกต์” 

“…บทบาทต่อไปนี่แหละ ที่อยากให้ทุกคนติดตาม ก่อนหน้านี้จะเห็นผมเป็นเจ้านาย คุณขาย นักธุรกิจ แต่เรื่องนี้นี่แหละ ผมเล่นเป็นทาส คือคิดไปคิดมา เราไม่เคยเล่นอะไรที่รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยเลยนะ เป็นบ่าวเลย เคยแต่เป็นเจ้านายตลอด มันเลยเป็นอะไรที่ท้าทายมากเลยนะ ต้องโดนเฆี่ยน โดนข่มเหง ชื่อเรื่อง "สัตยาธิษฐาน" ของ "พี่ไก่ วรายุธ" เป็นละครสองยุค คือย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ 4-5 กับอีกชาตินึงคือปัจจุบันที่เรามาเกิดใหม่ น่าสนุกเลยนะ น่าจะได้เห็นกันประมาณปีหน้าครับ

ส่วนอีกเรื่อง คือ "มารร้ายคู่หมายรัก" เป็นซีรีส์ของ GMMTV ครับ น่าจะได้ดูกันยายนนี้เลย เพราะถ่ายทำใกล้จะจบแล้ว เรื่องนี้ก็อยากจะนำเสนอเลยเหมือนกัน เพราะไม่มีใครเคยเห็นผมมุมนี้มาก่อน เรื่องนี่ผมกวนมากๆ อาจจะไม่ได้ตลกโปกฮาขนาดนั้น แต่เป็นบทของคนกวนๆ มากๆ ผมอ่านแล้วผมยังยิ้มเลย ฝากด้วยนะครับ (ยิ้ม)…”

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณผู้อ่านก็คงจะรู้สึกเหมือนเราแล้วใช่ไหมว่า

สน-ยุกต์คนนี้มีอะไรที่มากกว่าเราเห็นในจอทีวีอีกเยอะ!

 

สถานที่ : ร้าน Mocking tales

เครื่องแต่งกาย : POEM

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0