โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

หลงมายุค70'ทั้งทีถ้าไม่ได้สามีทหารต้องตกเทนรด์แน่ๆเลย

นิยาย Dek-D

อัพเดต 24 เม.ย. เวลา 02.08 น. • เผยแพร่ 24 เม.ย. เวลา 02.08 น. • เฟยหลงเฟ้ย飛龍飛
หลงมายุค70'ทั้งทีถ้าไม่ได้สามีทหารต้องตกเทนรด์แน่ๆเลย
ฉู่เหม่ยเหม่ยตายแล้วเกิดใหม่ในยุค 70 เธอจับทหารที่แสนหล่อเหลาได้จากการแกล้งตกนำ้ หลังจากนั้นวางยาอีกฝ่ายจนตั้งท้องแล้วได้ลูกชายน่ารักมาหนึ่งคน

ข้อมูลเบื้องต้น

ฉู่เหม่ยเหม่ยเป็นโรคมะเร็งจึงทำให้เธอเสียชีวิตและในขณะเดียวกันก็ทำให้เธอได้มีชีวิตใหม่ที่แปลกประหลาด ตอนนี้เธอได้เข้ามาอยู่ในหนังสือเล่มนึงที่มีตัวละครที่มีชื่อและนามสกุลเหมือนกับเธอ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ประทับใจถ้าต้องใช้ชื่ออื่น

เวลาเป็นปี 1972 อีกสามปีโครงเรื่องในหนังสือเล่มนี้จะเริ่มต้นพ่อแม่ของพระเอกจะได้พบกันรักกันฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันซึ่งมันนำ้เน่ามากต่อมาอีกยี่สิบปีต่อมาพ่อของพระเอกในเรื่องจะมีตำแหน่งสูงศักดิ์มากอำนาจและฉู่เหม่ยเหม่ยในหนังสือที่เป็นแม่ของพระเอกในเรื่อง

ฉู่เหม่ยเหม่ย(คนปจัจุบัน)ไม่มีความสุขที่จะรับช่วงต่อความรักทรหดแบบนั้นกับสามีในอนาคตที่มีแนวโน้มเช่นนี้โดยไร้ความหวัง

ในเมื่อเธอได้เกิดใหม่ในยุคนี้มันน่าเบื่อมากเธอไม่สนใจเนื้อหาในหนังสืองี่เง่า

ในเมื่อเธอทั้งสาวและสวยขนาดนี้แถมยังมีสุขภาพที่ดีอีกต่างหาก

ฉันจะมีชีวิตเป็นของฉันเองใครจะทำไม?

เธอฉีกบททิ้งแล้วแสร้งทำเป็นตกน้ำเพื่อจับทหารหนุ่มที่หล่อเหลาในหมู่บ้านเดียวกัน

สุดท้ายยังวางยาอีกฝ่ายจนตั้งครรภ์ดังหวังและได้ลูกชายน่ารักมาคนนึงฉู่เหม่ยเหม่ยรู้สึกอยู่เสมอว่าพ่อของลูกเธอนั้นซื่อบื่อหรือผู้ชายในยุคนี้เป็นแบบนี้ทุกคน ถึงเธอจะเกลียดคนประเภทนี้มากที่สุดแต่เธอก็ได้คนแบบนั้นเป็นสามี

ในเมื่อในหนังสือนิยายส่วนใหญ่ในยุค70'จะมีสามีเป็นทหาร เธอเองในฐานะสาวจากยุคใหม่คงเป็นไม่ได้ถ้าไม่ตามเทนรด์

*จากผู้เขียน* มาติดตามเรื่องราวน่ารักของครอบครัวนี้กันนะค่ะ

ฝากกด❤และติดตามด้วยนะค่ะ

ขอบคุณสำหรับการสนับสนุน

สามี๊ กลับมาแล้ว ฮู้ฮู~~

ยามเช้าริมแม่น้ำชิงสุ่ยมักจะมีชีวิตชีวามาก ริมแม่น้ำเต็มไปด้วยหมอกยามเช้าสองฝั่งของริมแม่นำ้มีผู้หญิงมานั่งซักผ้า

หลังจากที่ฉู่เหม่ยเหม่ยซักเสื้อผ้าแล้วเธอก็หิ้วอ่างเข้าที่เอวแล้วเดินกลับบ้านไปตามเส้นทางริมแม่น้ำ

เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเดือนเมษายนแล้วอากาศเริ่มอุ่นขึ้นแต่เมื่อวานมีฝนตกหนักมากมีแอ่งน้ำเชื่อมต่อกันบนถนน เธอเฝ้าดูเท้าของเธออย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ก้าวลงไปในโคลน

แม่น้ำชิงสุ่ยล้อมรอบด้วยภูเขาด้านหนึ่งและทุ่งนาอีกด้านหนึ่ง นาข้าวที่ปลูกตามขั้นบันไดไล่ไปตามสันเขา ทุ่งนาเต็มไปด้วยน้ำเพื่อเตรียมปลูกต้นกล้าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า สายลมพัดคลื่นน้ำเป็นประกายสะท้อนเป็นประกายสีทอง ในตอนเช้ามี นกกระยางสองสามตัวลุยน้ำเพื่อหาอาหาร และท้องฟ้าเหนือป่าไผ่ที่อยู่ไกลออกไปมีควันสีเขียวลอยอยู่ผู้คนกำลังทำอาหารเช้า

เธอเห็นพี่สะใภ้ของครอบครัวเดียวกันเดินตรงมาที่เธอฉู่เหม่ยเหม่ยไม่ค่อยคุ้นเคยกับเธอมากนัก

เธอก็ตะโกนเรียกมาแต่ไกลว่า "เสี่ยวเหม่ย ทำไมเธอยังอยู่ที่นี่ เจียงเว่ยสามีเธอกลับมาแล้ว รีบๆ กลับไปเร็วๆ เถอะ!"

สามี๊~~~~~~ กลับมาแล้ววววว~~~ฮู้ฮู

พี่สะใภ้เดินมาจับแขนของเธอแล้วพูดว่า

"เมื่อวานพวกเขาบอกว่าไม่มีใครเทียบได้กับเสี่ยวเว่ยของเธอได้พอเขากลับมาปุ๊ปเขาก็ได้รับหน้าที่ ในฐานะเสนาธิการทำไมเขาถึงขยันและโชคดีแบบนี้นะ?”

ฉู่เหม่ยเหม่ยที่กำลังเหม่อลอยไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดแต่พยักหน้ารับเธออยากรีบเดินกลับบ้านไวๆๆ เมื่อนึกถึงซิคแพคแปดลูกนั่น แอบนำ้ลายไหล

อีกฝ่ายเห็นว่าเธอจะรีบกลับบ้านเลยพูดติดตลกว่า "ดูฉันสิ มัวแต่ดึงเธอไว้ ไป ไปกลับบ้านเร็ว ๆ แล้วฉันจะขอขนมหวานที่บ้านของเธอทีหลังนะ!"

“พี่สะใภ้ก็มาด้วยกันเถอะ” เธอยิ้มอย่างไม่เต็มใจเมื่อเธอก้าวเท้าไปได้ครึ่งหนึ่งเท้าของเธอก็จมลงไปในแอ่งน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจเธอมองลงไปที่รองเท้าผ้าสีเทามันถูกแช่อยู่ในน้ำและด้านบนก็มีรอยเปื้อนโคลน

อ่า ~~ช่างโชคร้าย

ในชาติที่แล้วเมื่อเธอหาเงินได้เธอจึงไม่เคยสวมรองเท้าแบบนี้อีกเลย

โรคมะเร็งทำให้เธอเสียชีวิตและในขณะเดียวกันก็ทำให้เธอได้มีชีวิตใหม่จากสาวโสดที่รอความตายสู่โหมดคุณแม่ยังสวยตอนนี้เธอได้เป็นทั้งเมียและมีลูกชายน่ารักอีกด้วย

ใช่แล้ว เธอตายแล้วลอยละล่องมาเข้ามาอยู่ในหนังสือนิยายรักเล่มนึงตัวละครตัวนี้มีชื่อและนามสกุลเหมือนกับเธอ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ประทับใจเลยถ้าเธอต้องใช้ชื่ออื่นที่ไม่คุ้นเคย

และตอนนี้ก็ยังเป็นปี 1972 ยังอีกสามปีที่โครงเรื่องในหนังสือจะเริ่มต้น

ในเวลานี้พ่อของพระเอกในเรื่องกำลังใต่เต้าเพื่อตำแหน่งและอำนาจฉู่เหม่ยเหม่ย (คนปัจุบัน) ในฐานะอนาคตแม่ของพระเอกในเรื่องเธอรู้สึกไม่มีความสุขที่จะรับช่วงต่อสามีในอนาคตที่มีแนวโน้มเช่นนี้โดยไร้ความหวัง

ขอโทษด้วยนะ เธอไม่ต้องการนี่มันเป็นชีวิตของเธอ

เพราะฉนั้นเธอจะเลือกสามีของเธอเอง

เพื่อที่จะทำความฝันยังสาวของเธอให้เป็นจริงการได้แต่งงานกับนายทหารหล่อเหล่าในหมู่บ้านก็เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งดีกว่าเฝ้ารอพ่อของพระเอกที่ไม่รู้จะหล่อเท่ากับพี่ทหารคนนี้ริเปล่า

เธอจึงแกล้งทำเป็นตกนำ้และเพื่อให้เขารับผิดชอบเธอทั้งร้องไห้และสร้างปัญหาหรือแม้แต่ขู่จะแขวนคอตาย ด้วยวิธีการต่างๆ

ในที่สุดความปรารถนาของเธอก็เป็นจริง

ความรู้สึกนั้นเกินบรรยายในฐานะมนุษย์คุณสามารถจะจินตนาการถึงมันได้

อย่างน้อยการที่เธอเสียชีวิตก็ไม่เปล่าประโยชน์

เพียงแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับเธอที่จะให้กำลังใจกับตัวเองและจัดการกับปัญหาที่อาจมีเพิ่มเติมเข้ามาทุกประเภท

เธอยังไม่เคยกลัวมะเร็งเมื่อเธอกำลังจะตาย

ผู้ชายหน้าบึ้งที่หายหน้าไปเกือบสองปี

เธอจะกลัวเขาในฐานะผู้ชายเหรอ?

เธอก็รีบเดินกลับบ้านอีกครั้งพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองฟ้า

ทันทีที่เธอเดินไปที่ประตูบ้านก็ได้ยินเสียงเด็กคนหนึ่งดังมาจากสนามหญ้าหน้าบ้านลูกชายที่น่ารักของเธอวัย 3 ขวบ เว่ยหยวนฉี้ และย่าของเขารวมถึงเว่ยเจียงเว่ยสามีที่รักของเธอ(แต่ไม่รู้ว่าเธอนั้นเป็นที่รักของสามีริเปล่าแต่ใครสนกันหล่ะ)ที่เพิ่งกลับมาจากกองทัพ

เดิมทีฉู่เหม่ยเหม่ยวางแผนที่จะเดินกรีดกรายซักหน่อยเพื่อยั่วยวนสามีซื่อบื่อของเธอ เขาเป็นทหารที่พูดเป็นอยู่แค่ไม่กี่คำ ถ้าไม่เพราะหน้าตาที่หล่อเหลาและสูงใหญ่ เธออาจจะเลิกกับเขาไปนานแล้วก็ได้ แต่เมื่อเธอรู้ว่ามีเด็กน้อยตัวอ้วนที่ดวงตาแหลมคมกำลังจับจ้องเธออยู่และเขาก็ตะโกนอย่างตื่นเต้น

"แม่ฮะ พ่อกลับมาแล้ว ซื้อลูกอมสีส้มมาให้เรามากมายเลยฮะ!"

ลูกชายที่น่ารักจะไม่ให้โอกาสเธอโชว์ออฟบ้างเลยเหรอ ฉู่เหม่ยเหม่ยเป็นเหมือนนกยูงที่ถูกดึงขน

เธอเสียอารมณ์มาก

เธอมองดูเว่ยเจียงเว่ยที่สูงใหญ่ร่างกายกำยำสมเป็นทหารผ่านศึกเขามีรัศมีอันเฉียบคมที่คนธรรมดาไม่มี ออร่าดังกล่าวมักทำให้ผู้คนไม่กล้ามองเขาตรงๆ แต่ไม่ใช่กับเธอแน่ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาของเขาหล่อมากขนาดนี้ เธอคงไม่ทุ่มทุนสร้างทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขามาได้ยังไง?

“เสี่ยวเหม่ยกลับมาแล้วเจียงเว่ยเองก็เพิ่งถึงบ้าน เหมือนกันพวกเธอสองคนก็คุยกันเถอะเดี้ยวแม่จะไปทำบะหมี่ให้เขา” หวังชุนฮวาแม่สามีที่แสนดีกล่าว

ดูท่าทางสามีที่รักของเธอไม่ต้องการอยู่ที่นี่เพื่อพูดคุย เขาพูดว่า "แม่ ไม่ต้องผมยังไม่หิว"

หวังชุนฮวาโบกมือหยิบผ้ากันเปื้อนแล้วมัดสายรอบเอว เดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

ดูซิ! ดูสามีของเธอแม้แต่หางตายังไม่เหลียวมองเธอเลย

ก่อนที่ฉู่เหม่ยเหม่ยจะอ้าปากพูดอะไร เด็กน้อยเว่ยหยวนฉี้ ก็วิ่งมาและดึงที่มุมเสื้อผ้าของเธอ

"แม่ แม่ดูนี่สิ มาดูสิ มีลูกอมสีส้มเยอะมาก เยอะมาก!"

เว่ยหยวนฉี้กล่าวว่า มันเยอะมากจริงๆ สองห่อใหญ่ๆ ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้หายาก ไม่ต้องพูดถึง น้ำตาล แม้แต่เกลือ หลายคนต้องประหยัดเงินเธอยังเห็นเมื่อวานนี้ว่ามีเด็กคนหนึ่งถือขนมผลไม้ ทุบขนมผ่านถุงบรรจุภัณฑ์ และแบ่งกลุ่มเพื่อนตัวเล็ก ๆ ออกเป็นชิ้น ๆ และขอให้พวกเขาปฏิบัติต่อเขาอย่างเชื่อฟังในฐานะหัวหน้า ฉากนี้ทั้งตลกและปนไปด้วยความเศร้า

เมื่อเว่ยเจียงเว่ยกลับมาบ้านลูกชายดูมีความสุขมาก ส่วนใหญ่เป็นเพราะขนมไม่เช่นนั้นเขาที่ไม่ได้กลับบ้านเลย ลูกที่อายุสองสามขวบก็คงหลงลืมเขาไปแล้ว

คงจะดีหากได้ลูกอมเพื่อนึกถึงพ่อ

“แม่ครับ ผมขอกินมันได้ไหม?” เด็กอ้วนตัวน้อยถือลูกกวาดในมือของเขามองดูเธออย่างกระตือรือร้น

ฉู่เหม่ยเหม่ยไม่สามารถบอกได้ว่าเธอชอบมากแค่ไหนเมื่อก่อน เช่นเดียวกับคนทั่วไป เมื่อเธอเห็นเด็กน่ารัก เธอก็มองสองสามครั้ง และเมื่อเธอเห็นเด็กหมีถอยหนี ลูกชายตัวอวบอ้วนที่มีหัวกลมๆ และใบหน้ากลมๆ

เขาเป็นเด็กอารมณ์ดีแม้ว่าเขาจะซุกซนเป็นบางครั้งเขาแต่นั่นมันก็เป็นวัยของเขา

เสี่ยวฉี้ตัวน้อยเขาค่อนข้างเข้าใจและเชื่อฟัง เมื่อไม่กี่วันก่อน เนื่องจากมีอาการไอ แม่ของเขาจึงปฏิเสธที่จะให้เขากินของเย็นและของหวาน

ดังนั้นเขาจึงเชื่อฟัง สิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อเขาอยากกินมันมาก เขาจงใจพูดขึ้นต่อหน้าแม่ด้วยเสียงน้ำนมออดอ้อน

"ลูกรักหนูกินน้ำตาลไม่ได้เมื่อไอนะครับมันจะทำ ไอหนักขึ้นอีกนะ แล้วเมื่อคืนหนูยังไออยู่เลยนะ” ฉู่เหม่ยเหม่ยแตะหัวของเขา และเห็นสามีเดินออกไปที่ลานจากมุมตาของเธอ

“ผมไม่ไอแล้วนะฮะ แม่!” ดวงตาของเขาสว่างขึ้น และเขาก็พูดทันทีว่า "จริงๆ นะ"

สุดท้ายฉู่เหม่ยเหม่ยก็พยักหน้าหยิบลูกอมออกมาสองอันและยื่นให้ลูกชาย "จะกินมากกว่านี้ไม่ได้ "

“ผมรู้ ผมรู้ว่าถ้ากินมากเกินไปจะไอ ส่วนแม่ก็กินเยอะไม่ได้เหมือนกัน!” เว่ยหยวนฉี้กล่าวอย่างรีบร้อนเขากลัวแม่จะแอบกินลูกอมของเขา

“เจ้าตัวเหม็น” ฉู่เหม่ยเหม่ยพูดขึ้นอย่างขบขัน

เมื่อเธอได้ยินเสียงเสื้อผ้าสะบัด และหันกลับไปเป็นเว่ยเจียงเว่ยที่เอาเสื้อผ้าของเธอไปตากบนกำแพงหินให้แห้ง

"เฮ้…" เธอกำลังจะหยุดเขาแต่จำได้ว่าเสื้อผ้าทั้งหมดนั้นเป็นเสื้อผ้าของลูกชายไม่ใช่เสื้อผ้าของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เริ่มที่จะทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งทำให้เธอประหลาดใจเพราะผู้ชายส่วนใหญ่ทำงานจ่ายเฉพาะคะแนนการทำงานเท่านั้น จากมุมมองของพวกเขา งานบ้านเป็นหน้าที่ของผู้หญิง

ระหว่างทางกลับ พี่สะใภ้พูดถึง "เสี่ยวเว่ยคนของเธอ" เพราะเขาทำอาหารและล้างจานเมื่ออยู่ที่บ้าน ตอนที่เสี่ยวฉี้อายุได้ขวบและเขาป่วย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้หญิงคนอื่นอิจฉา

ถึงอย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับเธอเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ตั้งแต่เธอเข้าประตูมาจนถึงปัจจุบันทั้งสองไม่ได้คุยกันเลย

เธอยังไม่ได้กล่าวคำทักทายที่จริงจังด้วยซ้ำและดูเหมือนเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเริ่มพูดด้วยซำ้

คู่ที่เป็นแบบอย่างของการ "เคารพกัน" จริงๆ

เว่ยหยวนฉี้วิ่งกับมาขอขนมอีกชิ้นเพื่อแบ่งให้สาวน้อยข้างบ้าน หลังจากที่เขาวิ่งออกไปฉู่เหม่ยเหม่ยก็เข้าไปในบ้านเพื่อช่วยแม่สามี

เว่ยเจียงเว่ยตากเสื้อผ้าให้แห้งเอนอ่างซักผ้าพิงผนังแล้วเหลือบมองที่หลังของเธอแล้วก็เดินกลับไปแยกสัมภาระที่เขานำกลับมา

หวังชุนฮวาตัดบะหมี่ในห้องครัวฉู่เหม่ยเหม่ยก็นั่งอยู่ใต้เตาเติมน้ำในหม้อแล้วจุดไฟ

หวังชุนฮวาเหลือบมองเธอขณะที่สะบัดบะหมี่ออกไป

ลูกสะใภ้คนที่สองคนนี้ครั้งแรกเธอไม่พอใจมากนักตั้งแต่แรกบุคลิกของเธอก้าวร้าวเกินไป และเธอก็พยายามอย่างหนักเพื่อจะแต่งเข้าบ้านในเวลานั้นเธอยืนกรานที่จะแต่งงานกับเจียงเว่ยโดยใช้การข่มขู่

หวังชุนฮวากลัวว่าเธอจะตายและอนาคตของลูกชายของเธอในกองทัพจะดับดังนั้นเธอจึงตกลงที่จะเขาแต่งงานกับเธอ

แต่หลังจากแต่งงานแล้วเธอก็สงบลงเล็กน้อยขัดแย้งกันเล็กน้อย ในฐานะผู้อาวุโส เธอเดินผ่านไปโดยเปิดตาข้างเดียวและปิดตาข้างหนึ่ง

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาหลานชายตัวน้อยก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น หลังจากฟังคำพูดของลูกสะใภ้คนที่สองว่าเธออยากจะแยกครอบครัว

บ้านหลังนี้มีสามห้องนอนเล็กๆ มีห้องใช้สำหรับกินข้าวอยู่ตรงกลางแต่มันก็เล็กมากแค่ผู้ชายก็เต็มแล้วเธอกับสะใภ้จะนั่งกินข้าวในครัวดีที่ตอนนี้ลูกชายคนเล็กอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่

เมื่อหวังชุนฮวาคิดว่าครอบครัวจะต้องแยกบ้านกันในไม่ช้าก็เร็วอยู่ดีในเมื่อลูกชายคนที่สองกลับมาคราวนี้จะดีกว่าถ้าครอบครัวมาพูดคุยหารือกันเพื่อที่ลูกสะใภ้คนที่สองจะไม่สร้างปัญหาอีกครั้ง

“พรุ่งนี้ให้เจียงเว่ยพาเธอกลับบ้านเดิมเดี้ยวจะเริ่มปลูกต้นกล้าในอีกสองวัน” เมื่อน้ำเดือด หวังชุนฮวาก็ใส่บะหมี่ลงในหม้อแล้วคนมันด้วยตะเกียบ

ฉู่เหม่ยเหม่ยผงะอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตระหนักได้ว่าแม่สามีกำลังพูดถึงการกลับไปเยี่ยมบ้านของครอบ ครัวเธอลูกเขยหายากที่จะกลับมาเธอควรจะพาเขาไปเยี่ยมบ้านพ่อตา ใช่มั้ย หล่ะ

-------------------------------------------------

จากผู้เขียน

ถ้าถูกใจฝากกดติดตามและกดหัวใจด้วยนะค่ะ

ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนค่ะ

คงไม่ใช่ จดหมายขอหย่าหรอกนะ สามี๊!

ลูกชายที่น่ารักวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วหลังจากให้ลูกอมกับสาวน้อยข้างบ้านเขากลัวว่าแม่จะแอบกินลูกอมของเขา
เว่ยเจียงเว่ยที่กินบะหมี่นั่งหันหลังพิงกับประตูเด็กชายตัวน้อยก็พิงประตูดูพ่อของเขา เขามีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับพ่อของเขาเล็กน้อยเมื่อเขาเรียกคำว่าพ่อออกมาเหมือนว่าจะดูยิ่งใหญ่และเพิ่มความสุขให้แก่เขาอย่างบอกไม่ถูกในหัวเล็กๆ ของเขาก็ไม่รู้ว่าชื่อนี้หมายถึงอะไร
ครั้งสุดท้ายที่พ่อของเขากลับมาตอนนั้นเขาอายุหนึ่งขวบแม่เคยบอกว่าเขาป่วยและพ่อก็ช่วยดูแลเขาด้วยแม่มักจะเล่าเรื่องของความกล้าหาญของพ่อเสมอทำให้เขารู้สึกว่าการที่พ่อจะอยู่หรือไม่อยู่นั้นก็ไม่แตกต่างแต่วันนี้เขาได้เห็นพ่ออีกครั้งเกือบจะสองปีแล้วความทรงจำยาวนานเหล่านั้นมันก็ค่อยๆกลับมา เขาตื่นเต้น พ่อของเขาตัวใหญ่มาก
หลังจากเขานั่งดูพ่อไปได้สักพักเขาก็ค่อยๆ เดินข้ามโต๊ะไป ส่วนสูงของเขาสูงกว่าโต๊ะเพียงเล็กน้อยเขาเลยวางคางลงบนโต๊ะแล้วเอียงหัวไปมองพ่อของเขาต่อยิ่งมองเขาก็ยิ่งชอบพ่อของเขามากขึ้น
เจียงเว่ยที่ถือตะเกียบอยู่ในมือเขามองไปที่หมีอ้วนที่อยู่ตรงข้ามลูกชายของเขากระพริบตาแล้วมองกลับไปกลับมายังมีลูกอมสีส้มอยู่ในปากและแก้มของเขาก็พองออก
“ฉี้เออร์”ฉู่เหม่ยเหม่ยกำลังจะเปลี่ยนรองเท้าที่เปียกเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นเธอก็เห็นลูกชายตัวอ้วนกำลังจ้องมองคนเป็นพ่อที่กำลังกินข้าวอยู่ เธอจึงเรียกหาเขา
"โอ้!" หมีน้อยวิ่งออกจากบ้านมานั่งยองๆอยู่ข้างท่อระบายน้ำในสวนมองแม่ของเขาแปรงรองเท้าของเธอ
“แม่ฮะ แม่เรียกผมทำไม?”
ฉู่เหม่ยเหม่ยเหลือบมองเขาและจงใจพูดว่า
"แม่ต้องมีอะไรถึงจะเรียกเราได้รึ? จะไม่อยู่กับแม่ใช่ไหม"
เว่ยหยวนฉี้ขมวดคิ้วและคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าอย่างจริงจัง "อยู่ฮะ"
ฉู่เหม่ยเหม่ยรู้สึกขบขันเมื่อคิดถึงภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่นี้ และถามลูกชายตัวน้อยว่า
"เมื่อเช้านี้หมูอ้วนของแม่กินข้าวหรือยังเอ่ย?"
เธอไปที่ริมนำ้ตั้งแต่เช้าเพื่อซักผ้าเด็กน้อยยังหลับอยู่และเมื่อเธอกลับมาก็เห็นเขาก็วิ่งไปรอบ ๆบ้านแล้วเลยไม่รู้ว่าเขากินอาหารเช้าไปมากแค่ไหน
“กินแล้วฮะ ผมกินโจ๊กชามใหญ่ด้วย!” เว่ยหยวนฉี้ภูมิใจมากเขาตีไปที่หน้าอกที่เล็กๆของเขา
เด็กน้อยวัยสามขวบพูดเก่งและพูดอยู่ตลอดเวลาทั้งวันไม่มีเบื่อ เขามักจะเทก้อนกรวดเล็กๆใส่ลงตะกร้าทีละใบมันก็เหมือนกับเวลาเขาคำพูดเล็กๆน้อยๆแต่บางครั้งลิ้นของเขายังยืดหยุ่นไม่พอและคำบางคำก็ไม่สามารถพูดออกมาชัดๆได้
ดูน่ารักเหมือนแมวชื่อเสี่ยวมีมี่ที่อยู่ข้างบ้านถ้าเปลี่ยนได้ต้องน่ารักแน่ๆ เสียดายเธอได้ลูกชายไม่ใช่แมว
“ตอนนี้หิวหรือยังหล่ะ?”
“ผมไม่หิวฮะ ผมมีลูกอมสีส้ม” เขาอ้าปากโชว์ลิ้นสีส้มให้แม่ของเขาเห็น
ฉู่เหม่ยเหม่ยพูดว่า"ถ้าอย่างนั้นอย่าจ้องมองคนอื่นเวลาเขากินนะ พวกเขาจะรู้สึกเขินอายนะรู้ไหม?"
เว่ยหยวนฉี้เอียงศีรษะและสงสัยว่า
"เขินอายทำไมฮะ?"
ฉู่เหม่ยเหม่ยถูกเขาถามแบบเจ้าหนูจำไม เธอก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เธอเพียงแค่หันออกไปมองที่สวนผักแล้วชี้ไปที่แปลงผักในสวนกะหล่ำปลีเพื่อเบี่ยงประเด็น
"เร็วเข้าหมูน้อย เห็นมั้ย รีบไล่ผีเสื้อออกไปเร็วๆ มันจะทำให้แมลงตัวเล็กๆ มากินผักของเรา"
แน่นอนว่าความสนใจของเด็กน้อยถูกเบี่ยงเบนไปเขารีบลุกขึ้นยืนและวิ่งไปทันทีและตะโกนออกมาว่า
"ไปให้พ้น อย่ามากินอาหารของฉันนะ !"
เมื่อเห็นแผ่นหลังของลูกชายที่วิ่งไปแล้วเธอก็ยกนิ้วให้ตัวเองในใจ
หลังจากล้างรองเท้าเสร็จแล้วเว่ยเจียงเว่ยไม่ได้อยู่ในห้องหลักอีกต่อไป คาดว่าเขาคงกำลังจัดของอยู่ในห้องนอน เธอยังไม่อยากกลับเข้าห้องตอนนี้กิจกรรมเข้าจังหวะต้องเริ่มตอนกลางคืนดังนั้นเธอจึงเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารเสริมกำลัง
แม้ว่าเธอจะมาจากยุคใหม่แต่ก็เติบโตมาในชนบทเช่นกัน ในช่วงทศวรรษ 1970 แบบนี้สำหรับเธอแล้วไม่มีปัญหาในการปรับตัวเลย อาจเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ดูคุ้นเคยกับการทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตก่อนหน้านี้
ในห้องครัวหวังชุนฮวาถือชามอยู่ในมือเมื่อเห็นเธอเข้ามา เธอจึงพูดขึ้นว่า "เจียงเว่ย เอาบะหมี่ออกไว้ครึ่งหนึ่ง ยังมีไข่ลวกอีกครึ่งหนึ่งเอาไปให้เสี่ยวฉี้กินเถอะ"
อาจเป็นเพราะเจ้าลูกชายจ้องมองเขาอยู่ตอนนั้น ซึ่งทำให้เจียงเว่ยคิดว่าลูกชายของเขาอยากกินไม่เช่นนั้นบะหมี่ชามนี้คงไม่เหลือครึ่งนึง
สถานการณ์ทางครอบครัวของตระกูลเว่ย ถือว่าดีเมื่อเทียบกับครอบครัวชาวนาที่บ้านนี้มีแรงงานเพียงพอและเงินอุดหนุนของเว่ยเจียงเว่ยแต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถกินข้าวและบะหมี่ขาวได้ทุกวัน
ที่บ้านไม่ค่อยมีแป้งขัดสีมากนักมีเพียงแป้งหยาบที่ได้มาทุกปีเท่านั้นหวังชุนหัวจึงเก็บแป้งขัดสีขาวด้ละเอียดอย่างระมัดระวังและวางแผนว่าจะใช้เมื่อไหร่ที่ไหนอย่างไร
ถึงคุณไม่สามารถทำเกี๊ยวในช่วงตรุษจีนได้แต่ในวันนั้นคนในครอบครัวสามารถกินบะหมี่ได้หนึ่งชาม ทุกครั้งที่เจียงเว่ยจากไปและกลับมา เขาจะต้องกินบะหมี่หนึ่งครั้ง ซึ่งหมายถึงความปลอดภัยและความราบรื่น ล่าสุดพี่สะใภ้ที่กำลังท้องแล้วกินอะไรไม่ได้เลยแม่สามีจึงแบ่งแป้งมอบให้เธอบ้างนิดหน่อย ฉู่เหม่ยเหมายเองก็ทำซุปก๋วยเตี๋ยวสองสามครั้งให้เว่ยหยวนฉี้ และบางครั้งเขาก็อยากทำซุปก๋วยเตี๋ยวให้ย่าของเขา
หวังชุนฮวาวางชามไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกไปข้างนอกแล้วพูดว่า
"ฉันจะไปที่บ่อเพื่อดูว่าวันนี้มีใครตกปลาบ้างไหม ฉันอยากจะต้มซุปปลาตอนเที่ยง "
ฉู่เหม่ยเหม่ยตอบตกลงเธอยกเลิกความคิดที่จะขึ้นไปบนภูเขาชั่วคราว เธอเรียกลูกชายให้มากินบะหมี่ แต่เด็กก็เกิดคำถามว่า
"แม่ฮะ ทำไมผีเสื้อถึงให้กำเนิดแมลงตัวเล็กๆละฮะ ??"
“มันให้กำเนิดไข่ และไข่จะกลายเป็นแมลงเล็กๆ”
ฉู่เหม่ยเหม่ยตอบอย่างสบายๆ หลังจากล้างชามแล้ว
เว่ยหยวนฉี้เขาดูยิ่งสับสนมากขึ้น "ไข่? ทำไมไข่กลายเป็นแมลงได้ ? ทำไมมันไม่เป็นผีเสื้อหล่ะฮะ?"
"เอ่อ…"
ฉู่เหม่ยเหม่ยเริ่มคิดหนักสมัยนี้ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือหนังสือวิทยาศาสตร์ยอดนิยมมาแสดงให้เขาเห็นเพื่อที่จะหยุดปัญหาของเด็กน้อยจำไม เธอจึงตัดสินใจหาบางอย่างให้เขาแทน
เธอดึงกล่องไม้ออกมาจากมุมตู้มีอยู่ในครัวพาลูกชายออกไปที่สวนผักแล้วพูดว่า "ไปลองเก็บไข่สองสามฟองแล้วลูกก็สังเกตพวกมันว่าจะกลายเป็นแมลงได้อย่างไร แล้วค่อยมาบอกแม่ดีมั้ย?"
"ตกลงฮะ!" เด็กน้อยก็กระตือรือร้น
มีที่ดินผืนเล็กๆในสวนหลังบ้านซึ่งมีการปลูกพืชผักอย่างกะหล่ำปลี ต้นหอม ผักกาดขาว ฯลฯ ฉู่เหม่ยเหม่ยเริ่มมองหาตามใบผักในที่สุดเธอก็พบกับไข่สีเหลืองและสีขาวจำนวนมากอยู่ที่ด้านหลังของใบ หากปล่อยให้ไข่เหล่านี้เติบโตขึ้นคาดว่าสวนผักเล็กๆ แห่งนี้คงไม่พอให้พวกมันกิน เธอเหยียบย่ำไข่ส่วนใหญ่จนตาย เหลือเพียงไม่กี่ฟองแล้วใส่ไว้ในกล่องให้เว่ยหยวนฉี้เล่น
“ที่นี่ยังมีอีก ที่นี่ยังมีอีก! แม่ฮะ ที่นี่!”
เสียงนำ้นมของเด็กน้อยดังขึ้นเป็นครั้งคราว เว่ยเจียงเว่ยที่กำลังจัดกระเป๋าเดินทางของเขา ก็เดินออกจากห้อง เขาเห็นแม่และลูกชายกำลังนั่งยองๆ อยู่ในสวนผักกำลังมองหาไข่หนอนผีเสื้อ
เว่ยหยวนฉี้เมื่อเขาเห็นพ่อเขาก็ตะโกนขึ้นทันที "พ่อฮะ นี่กล่องใส่ไข่หนอนผีเสื้อฮะ!"
พูดจบก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปหาพ่อเพื่อจะอยากจะโชว์ไข่หนอนผีเสื้อแต่พื้นดินไม่ราบเรียบเขาไม่ได้ระวังตัวมือทั้งสองข้างที่ถือกล่องไม้ไว้เขาทำให้เขาไม่ได้เท้าเลย ขาของเขาเลยสะดุดก้อนหินหน้าของเขาจิ้มลงกับพื้นโคลนและกล่องไม้เก่าๆก็แตกเด็กน้อยก็เริ่มร้องเสียงดัง
ฉู่เหม่ยเหม่ยที่กำลังก้มหาไข่หนอนผีเสื้อเมื่อเธอได้ยินเสียงร้องของลูกชายเธอก็รีบลุกไป
“ไหน เจ็บตรงไหน? ลุกขึ้นมาให้แม่ดูสิ”
เธอยกเด็กน้อยขึ้นมาจากพื้นแล้วตรวจดูเข่าและมือของเขา โชคดีที่พื้นนั้นเรียบ ไม่มีหินแตกที่ฝ่ามือมีรอยขีดข่วนเล็กน้อย
ริมฝีปากของเขาก็สั่นขณะยืนอยู่ตรงนั้น เขาเริ่มร้องไห้หนักขึ้นเพราะกล่องไม้ของเขาแตก
" โฮ มันแตกหมดแล้ว—"
ฉู่เหม่ยเหม่ยเกลี้ยกล่อมลูกชาย"ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร "
เว่ยเจียงเว่ยเดินไปหยิบกล่องไม้ที่แตกหักขึ้นมา
“กล่องของผม—” เว่ยหยวนฉี้เสียใจมากเขาเพิ่งจะใส่ไข่หนอนลงไปได้ไม่กี่ฟองเอง
ฉู่เหม่ยเหม่ยกำลังจะบอกว่าอย่าร้องไห้เว่ยเจียงเว่ยก็เอ่ยขึ้น" พ่อจะทำอันใหม่ให้"
คำพูดนี้หยุดเสียงร้องเด็กน้อยเขาสูดนำ้มูกเสียงดัง
"ผมต้องการกล่องใหญ่ฮะ" เขากางแขนออกทั้งสองข้าง
พ่อของเขาพยักหน้าและเด็กน้อยก็พูดว่า
"แม่ฮะ ไข่"
“ได้ แม่จะไปจับให้อีกครั้ง” ฉู่เหม่ยเหม่ยตอบ
"ไปล้างหน้าซะดูสิมีแต่นำ้มูกเต็มไปหมดเดี้ยว หยานหยานเห็นนะ"
หยานหยานเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆข้างบ้านเธออายุรุ่นราวคราวเดียวกับเว่ยหยวนฉี้และเด็กน้อยทั้งสองก็ชอบเล่นด้วยกันเสมอ
เว่ยหยวนฉี้เดินตามหลังแม่เหมือนลูกเป็ดตัวน้อยเข้าไปในบ้านอย่างเชื่อฟังและทำความสะอาดตัวเอง
เมื่อเขาออกมาอีกครั้งกล่องไม้และใบผักบนพื้นก็ถูกกวาดทิ้งไปหมดแล้วเขาเห็นพ่อของเขากำลังถือกระดานไม้และเลื่อยอยู่ในมือดูเหมือนว่าเขากำลังจะทำกล่องอันใหม่
เว่ยหยวนฉี้รีบวิ่งไปดูว่าแล้วถามพ่อของเขาว่ากำลังจะทำกล่องไม้ให้เขาใช่หรือเปล่าทุกวันเขาจะล้อมรอบซ้ายขวาแม่ของเขาจนเธอรู้สึกว่าเจ้าตัวน้อยกำลังพูดมาก ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่รอบตัวเธอแล้ว
หัวใจของเธอก็รู้สึกเปรี้ยวขึ้นมานิดหน่อย
เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสักพักยังเร็วเกินไปที่จะเริ่มทำอาหารกลางวัน แต่วันนี้อากาศดีมากๆน่าจะสามารถนำผ้าห่มและเสื้อผ้ากันหนาวออกมาตากให้ได้ ไม่เช่นนั้นหลังฤดูฝนเสื้อผ้าจะเกิดเชื้อรา
หลังจากเข้าไปในห้องแล้วผ้าห่มก็ถูกจัดวางอยู่อย่างเรียบร้อยแต่ยังไม่พับเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าเธอจึงอยากจะย้ายออกไปตากแดดเว่ยเจียงเว่ยก็เดินตามเข้ามาในห้องด้วย
เธอแกล้งทำเป็นไม่รู้และแอบมองเขาอยู่ตลอดเมื่อเห็นเขาควักดินสอออกมาจากกระเป๋าเป๋เธอคิดว่าอาจใช้ทำเครื่องหมายบนกระดานไม้
เธอรอให้เขาพูดแต่เมื่อเขาใส่ดินสอไว้ในกระเป๋าแล้วมองหาอยางอื่นต่อ จากนั้นก็กยิบซองจด หมายแล้วเดินมาที่เธอ
ฉู่เหม่ยเหม่ยรีบถอนสายตาของเธอออกอย่างรวดเร็ว โดยแสร้งทำเป็นจริงจังอยู่กับการพับผ้าห่มและกำลังยุ่งอยู่กับการไปที่ตู้เพื่อไปเก็บเสื้อผ้าของเธอ
แต่ทันทีที่เธอหันกลับมาซองจดหมายก็ถูกยื่นมาตรงหน้า
เธอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว นั่งลงที่ขอบเตียง
"อะไร อะไร" คงไม่ใช่จดหมายขอหย่านะในหัวสมองของฉู่เหม่ยเหม่ยกำลังปั่นป่วนแค่หายหน้าหายตาไปสองปีนี่เขาคิดจะหย่ากับเธอเลยเหรอ
"ค่าครองชีพ" น้ำเสียงของเว่ยเจียงเว่ยค่อนข้างสงบเมื่อเขากลับถึงบ้านเขาก็จัดสรรไว้ล่วงหน้ายกเว้นส่วนของที่บ้านแม่เขาแยกไว้ต่างหากบ้านมีพี่น้องสามคนในตระกูลเว่ยและยังไม่แยกครอบ ครัว การเงินของครอบครัวอยู่ในความดูแลของแม่ พวกเขาแชร์ห้อง อาหาร และการใช้จ่ายร่วมกันแต่มักจะไม่มีอะไรให้ใช้จ่ายเงินมากนัก
ฉู่เหม่ยเหม่ยที่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นหนังสือขอหย่าเธออดที่จะมองนิ้วมือเรียวที่ยื่นออกมาไล่จนขึ้นไปถึงบ่าของสามีไม่ได้

เขาว่ากันว่าขนาดความยาวของปืนใหญ่ดูได้จากนิ้วมือ

อืม มันก็จริงอย่างเขาว่า

เธออยากกดเขาลงเตียงมากตอนนี้ ให้ตายเถอะ
เธอยื่นมืออกไปรับมันด้วยความลังเลเล็กน้อยและแอบสัมผัสปลายนิ้วของเขามันเหมือนกับไฟช๊อตความร้อนทำให้ใบหน้าของเธอเริ่มไหม้เล็กน้อยราวกับว่าเงินมันร้อนเมื่อถึงมือของเธอ
…ขอบคุณน้า สามี๊ ~~

นอนเถอะ

ไม่นานนักหวังชุนฮวาก็นำปลากลับมาจากข้างนอก ทั้งบ้านมีคนทั้งหมดแปดคนแต่วันนี้มีเพียงสี่คนเท่านั้นที่อยู่ที่บ้าน พ่อเว่ยไปที่กองพลอื่นเพื่อซ่อมแซมหลังคาเขาไม่ได้กลับมาทานอาหารเย็นตอนเที่ยง ลูก ชายคนโตพาลูกสะใภ้กลับไปเยี่ยมบ้านพ่อตา เว่ยเจียงเว่ยเป็นลูกคนที่สองส่วนคนสุดท้องเขายังเป็นเด็กผู้ชายเรียนอยู่มัธยมปลายในชุมชนและกลับบ้านเฉพาะช่วงวันหยุดยาวเท่านั้น
ฉู่เหม่ยเหม่ยทำข้าวมันเทศเป็นอาหารกลางวัน ข้าวครึ่งหนึ่งและมันเทศครึ่งหนึ่งหลังจากปรุงอาหารแล้วมันเทศก็ถูกบดเป็นน้ำซุปข้นด้วยไม้พายข้าวผสมกับมันหวานอร่อยมาก
ฉู่เหม่ยเหม่ยอธิษฐานขอบคุณสามีที่รักที่ทำให้เธอมีซุปปลาดื่มในวันนี้ และสตูว์กะหล่ำปลีมันฝรั่ง ผักดองที่เหลือจากโจ๊กในตอนเช้าก็อร่อยเหมือนกัน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็เก็บจานและตะเกียบไป มีผู้หญิงจากกองพลน้อยมาเยี่ยม หวังชุนฮวาหยิบลูกอมสีส้มสองกำมือและถั่วลิสงทอดหลายกำมือมาวางบนถาดเพื่อไว้กินเล่น
นี่เป็นประเพณีท้องถิ่นด้วยเมื่อมีคนกลับมาจากที่อื่นไม่ว่าจะเป็นทหารหรือทำงานชั่วคราวหรือธุรกิจต่างเมืองเพื่อนบ้านก็ต้องมาขอขนม
มีเสียงหัวเราะดังมาจากข้างนอกฉู่เหม่ยเหม่ยกำลังล้างจานในครัว เธอไม่อยากออกไปข้างนอกเพราะกลัวว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะล้อเลียนเธอกับสามี
เธอเดินจากประตูหลังห้องครัวไปที่สนามหลังบ้านสนามหญ้าด้านหลังไม่ใหญ่นักอยู่ติดกับป่าไผ่และยังปลูกต้นพลับฤดูนี้ทำให้กิ่งก้านขยายและใบสีเขียวเต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมีคอกหมูและเล้าไก่ด้วย
ชุมชนอนุญาตให้เลี้ยงไก่ 3 ตัวและหมู 2 ตัวแบบส่วนตัวได้ แม่ไก่ตัวน้อยทั้งสามของตระกูลเว่ยกำลังออกหาอาหารใต้ป่าไผ่ ภายในสิ้นปีนี้จะมีการมอบสิ่งหนึ่งให้กับครอบครัวสาธารณะเพื่อดำเนินการซื้อให้เสร็จสิ้น ถือเป็นการชำระภาษี ตัวหนึ่งถูกเชือดที่บ้าน และอีกตัวสามารถขายในตลาดเล็กๆ ได้เพื่อเปลี่ยนสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันบางอย่าง
มีหมูเพียงตัวเดียวและคนส่วนใหญ่ไม่สามารถเลี้ยงหมูสองตัวได้ อาหารหมูมีไม่มากนักที่จะเลี้ยง ถ้าอ้วนจะเชือดการส่วนตัวไม่ได้คุณต้องนำไปที่สถานีอาหารหลังจากการเชือดแล้วชาวบ้านจะซื้อครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือเป็นเงินที่ได้จากการซื้อก็หักภาษีแล้วก็เหลือน้อยมากซึ่งแทบจะไม่พอครอบคลุมลูกหมูและอาหารหมูครึ่งปี
ทุกครึ่งปีก็ต้องซื้อหญ้าให้หมูเองหรือซื้ออาหารหมูจากคนอื่นที่ไม่ได้เลี้ยงหมู เลี้ยงหมูก็เท่ากับไม่ได้เงินแต่รัฐจะให้รางวัลและคนจำนวนมากก็ทำสิ่งนี้
เธอกวาดสวนหลังบ้านคาดว่าทุกคนที่มาหน้าประตูก็ไปที่ลานหน้าบ้าน
เว่ยเจียงเว่ยทำกล่องไม้เสร็จแล้วก็ไปเก็บไข่หนอนมาสองสามฟองให้ลูกชาย เขารีบวิ่งออกไปที่ประตูอย่างมีความสุขและแสดงให้หยานหยานดู
หวัง ชุนฮวาตำหนิลูกชายของเธอว่า "ไม้ดีๆก็ถูกใช้เป็นขยะ เด็กๆ ชอบเล่นแต่เดี้ยวก็เบื่อลูกก็ตามใจเขาเกินไป จะมาเลี้ยงแมลงอะไรกัน"
ฉู่เหม่ยเหม่ยที่แอบแลบลิ้นอยู่ในใจไม่อายเลยที่จะบอกว่าเป็นความคิดของเธอเอง เธอรีบหยิบตะกร้าขึ้นมาแล้วบอกหวังชุนหัวว่าเธอกำลังจะไปที่ภูเขา
เมื่อเห็นลูกสะใภ้ออกไปแล้ว หวังชุนฮวาก็เหลือบมองลูกชายที่เงียบงันของเธอ และอดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมาว่า
"ถึงลูกจะไม่สนใจเธอแต่ถ้าคนอื่นเห็นมันจะดูเป็นเรื่องตลกเสี่ยวเว่ยลูกควรรักษาหน้าของตัวเองไว้บ้างนะ แม่คิดว่าลูกก็ควรจะมีความสุขได้แล้ว ลูกก็มีแล้ว ดูสิเสี่ยวฉี้น่ารักขนาดไหน …”
เธอถอนหายใจขณะพูดถึงลูกสะใภ้คนที่สองของเธอนั้นออกจะดูโง่เขลาและทำตัวแปลกๆไปบ้าง
ฉู่เหม่ยเหม่ยเดินเล่นบนภูเขาในช่วงบ่ายสั้นๆ เก็บเฟิร์นหนึ่งกำมือและเห็ดป่าบนภูเขาสองสามกอ ฤดูกาลนี้ภูเขาอุดมไปด้วยผลผลิตมีหลายคนมารับซื้อพวกเขาขึ้นไปบนภูเขาและการเก็บเกี่ยวของเธอก็ไม่เลวเลย
หลังจากลงจากภูเขาก่อนกลับบ้านเธอเห็นลูก ชายตัวน้อยเล่นอยู่นอกบ้านมีแอ่งน้ำอยู่บนพื้น เขากระทืบลงไปทำให้น้ำโคลนทำให้มันกระเซ็นเต็มตัวเขาดูสนุกสนานมากเสื้อผ้าเละเทะ
เมื่อก่อนฉู่เหม่ยเหม่ยไม่เข้าใจว่าทำไมบรรดาแม่ๆถึงชอบตะโกนใส่ลูก ๆ ตลอดเวลา ตอนนี้มันชัด เจนมากแล้วเพราะเธอเองก็ต้องซักเสื้อผ้าที่ดูเหมือนกลิ้งอยู่ในเล้าหมู!
“เว่ยหยวนฉี้!”เธอเรียกชื่อเต็มของลูกชายด้วยนำ้เสียงดุดัน
เด็กที่ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นเห็นเธอจึงกระโดดข้ามไปเหยียบแอ่งน้ำตามทาง
" อ๊ะ แม่ แม่กลับมาแล้ว!"
เขาไม่รู้ว่าเขากำลังเดือดร้อน เขาเดินไปรอบๆ แม่เหมือนลูกไก่ตัวน้อยและกระซิบถาม
"แม่ ไปไหนมา แม่ถืออะไรมา กินได้มั้ย?"
ฉู่เหม่ยเหม่ยจ้องเขาแล้วพูดว่า "ใครสอนลูกให้เหยียบแอ่งน้ำแบบนี้ ดูสิดู! สกปรกเหมือนหมูตัวน้อย เสื้อผ้าที่เพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อวานยังไม่แห้งเลยนะอยากจะแก้ผ้าใช่มั้ย ห๊า มาเลยมาให้แม่ตีซะดีๆๆ”
เว่ยหยวนฉี้ส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า
"ไม่นะ แม่ ไม่เอา อย่าตีก้นนะ "
ฉู่เหม่ยเหม่ยจับมือลูกชายกลับบ้านและร้องเพลงไปด้วยเธอดูมีความสุขบนความทุกข์ของลูกชายตัวน้อย
"ตี ตี ฉันจะตีก้นเธอ มาเร็วๆ ฉันจะตีก้นเธอ"
"ไม่เอา" เขาเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริงเขาทำหน้าบูดบึ้ง
หลังจากเข้าประตูบ้านเธอเห็นสามีรูปหล่อกำลังสานตะกร้าไม้ไผ่ในลานหน้าบ้านของใช้ในตระกูลใช้กันมาหลายปีแล้วมันทั้งเก่าและดูจะพังมิพังแหล่หวังชุนฮวาขอให้เขาทำเพิ่มอีกสองอัน ฝีมือของเขาดีกว่าของพ่อและน้องชายของเขามาก
เมื่อเว่ยหยวนฉี้เห็นเขาเขาก็รีบวิ่งไปหาพ่อเขาโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อฟ้องว่า "พ่อฮะ แม่อยากทำให้ผมอับอายและจะตีก้นผมด้วย"
เมื่อฉู่เหม่ยเหม่ยเห็นการแสดงขั้นเทพเธอรู้สึกว่าเด็กชายตัวอ้วนคนนี้ไม่มีความละอายเลยเขาไม่คิดว่าใครที่ซักผ้าและนอนกับเขาทำกับข้าวให้เขา แค่เห็นพ่อที่เพิ่งกลับมาหัวใจดวงน้อยก็หันไปทางอื่นแล้วอนาคตข้างหน้าเธอจะยังมีสถานะใดเนี่ย?
เว่ยเจียงเว่ยหยุดงานในมือของเขามองไปที่ลูกชายที่อยู่ข้างๆ จากนั้นมองไปที่ภรรยาแล้วถามว่า
"เกิดอะไรขึ้น?"
ฉู่เหม่ยเหม่ยเท้าสะเอวแล้วบ่นขึ้นว่า " สามีค่ะ คุณก็ดูเขาสิ มีแต่โคลน เขาเล่นแอ่งนำ้ คุณไม่ดูเขาไว้เหรอค่ะ"
เมื่อเว่ยเจียงเว่ยมองไปที่เว่ยหยวนฉี้อีกครั้ง ลูก ชายของเขาสกปรกจริงๆ เขาหมกมุ่นอยู่กับการสานตะกร้าไม้ไผ่ โดยไม่ได้สนใจการเคลื่อนไหวของเจ้าลูกชาย เขารู้แค่ว่าเจ้าเด็กตัวเหม็นไม่ได้วิ่งออกไปไหนจึงไม่ได้ออกไปดู ตอนนี้เมื่อเผชิญกับข้อกล่าวหาของภรรยาเขาก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
ฉู่เหม่ยเหม่ยจึงยืดเอวของเธอให้ตรงเหมือนผู้มีอำนาจที่เหนือกว่า "เว่ย หยวนฉี้ มานี่เดี้ยวนี้เลย"
เจ้าเด็กน้อยชำเลืองเหลือบมองแม่และพ่อที่เงียบงันของเขา ในที่สุดหัวเล็ก ๆ ของเขาก็ได้ประมวลผลถึงเข้าใจว่าไม่มีประโยชน์ที่จะหาพ่อเพื่อช่วยเมื่อแม่โกรธพ่อของเขาก็ต้องถูกแม่ดุเหมือนกัน
เป็นเวลาเย็นแล้วถึงเวลาอาบน้ำฉู่เหม่ยเหม่ยก็ต้มน้ำในหม้อและอาบน้ำให้เจ้าเด็กอ้วน เขาถอดเสื้อ ผ้าของเขาออก แม่ของเขาก็ซักผ้าของเขาไปด้วยและถามเจ้าตัวเหม็น" หมูน้อยบอกแม่ตามตรงนะ หมูน้อยชอบแม่หรือพ่อมากกว่ากัน?"
จากบทเรียนก่อนหน้านี้เขาเลยพูดดัง ๆ โดยไม่ลังเล
"แน่นอนผมชอบแม่ของมากที่สุด! ผมชอบแม่ของผมมากที่สุด!"
พร้อมช้างน้อยที่แกว่งไปมาตรงหว่างขาของเด็กอ้วน
“ฮึ่ม นับว่ายังอยู่เป็นนะเรา ” ฉู่เหม่ยเหม่ยยิ้มให้กับเจ้าตัวน้อย
จนกระทั่งหลังอาหารเย็นพวกผู้ชายก็มารวมตัวกันเพื่อซ่อมเครื่องมือการเกษตรหรือคุยกันเรื่องการปลูกต้นกล้าข้าวในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเมื่อแม่สามีและลูกสะใภ้ทำงานบ้านเสร็จและคุยกันสักพักต่างคนก็แยกย้ายกลับเข้าห้องเมื่อท้องฟ้ามืดลง
เว่ยหยวนฉี้ถือกล่องไม้เข้าไปในห้องนอน เขาควรจะวางไว้ข้างเตียงแล้วนอนด้วยกันตอนกลางคืน
อย่างไรก็ตาม แม่ของเขาขัดขวางเขาอย่างเด็ดเดี่ยว เขาจึงต้องวางมันบนโต๊ะและคอยสังเกตไข่
เสื้อผ้าที่ซักในตอนเช้าแห้งหมดแล้วฉู่เหม่ยเหม่ยนำมันมาพับแล้วใส่ตู้เก็บไว้ ที่นี่แทบไม่มีความบันเทิงในตอนกลางคืนเธอทำได้เพียงพูดคุยและร้องเพลงกับลูกชายตัวน้อย
เมื่อเว่ยเจียงเว่ยเดินเข้าไปในห้อง นี่คือเวลาที่เธอรอมายาวนานเกือบสองปีเขาจะร่วมกิจกรรมเข้าจังหวะกับเธอในคืนนี้เลยริไม่? !
แต่เขาแค่เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปอีกครั้งฉู่เหม่ยเหม่ยยังไม่หมดความหวังเธอรู้ว่าเขาจะเข้ามานอนที่นี่ คืนนี้เธอพร้อมลงสนามมาก
ลูกแกะจะได้กลายเป็นหมาป่า
ในขณะนี้จิตใจของเธอเปลี่ยนไปมาอย่างรวด เร็วหัวใจของเธอกำลังเต้นรัวพูดตามตรงเธอกำลังนั่งนับทุกนาทีที่ผ่านไป
เดี้ยว ! แล้วเจ้าอ้วนตัวน้อยนี่หล่ะ!
สายตาของเธอจับจ้องไปที่เด็กอ้วนทันที ที่กำลังจ้องไข่หนอนผีเสื้อบนโต๊ะเขาเป็นเด็กที่นอนหลับแย่มากเขาสามารถเตะผ้าห่มได้ห้าหรือหกครั้งต่อคืน หลังจากหลับไปแล้ว เขาก็ชอบต่อยเธอด้วยหมัดและเตะอีกด้วยเขาเตะเธอหลายครั้งเธอยังคิดเลยว่าเธอกำลังจะตายด้วยความเกลียดชัง
ขณะที่เว่ยเจียงเว่ยยังไม่ได้เข้ามาเธอก็วางแผนที่จะส่งเด็กอ้วนเข้านอนโดยเร็วที่สุด
"มานอนได้แล้ว"
"เดี้ยว แม่ " เขาพึมพำขณะพูดคุยกับไข่
ฉู่เหม่ยเหม่ยรีบมองออกไปที่ประตูและเร่งเขา
"มาเถอะ ไม่อย่างนั้นแม่จะเอาผ้าเน่าไปไว้นอกห้องนะ"
“ไม่ ไม่ แม่เอาผ้าห่มของผมไปไม่ได้!” เว่ยหยวนฉี้รีบโยนกล่องไม้ลงแล้วรีบวิ่งไปโดยถือผ้าห่มอันเป็นที่รักไว้ในอ้อมแขน
ผ้านวมผืนเล็กนี้คลุมเขาไว้ตั้งแต่แรกเกิด และซักจนเปื่อยจนคลุมตัวไม่ได้อีกต่อไปแต่เขาจะต้องกอดมันนอนทุกคืน บางครั้งเขาก็กัดผ้าห่มด้วย
ฉู่เหม่ยเหม่ยอุ้มเขาขึ้นไปบนเตียงพร้อมกับผ้า ห่มผืนเล็กถอดเสื้อของเขาแล้วยัดเข้าไปในผ้าห่ม ให้เขานอนมุมด้านในสุดของเตียงและเธอยังหาผ้าผืนใหญ่มากั้นเอาไว้เขานอนด้านอยู่ด้านในเธอจัดมุมผ้า ห่มให้แน่นเพื่อความปลอดภัย
แต่เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดเรื่อยเปื่อยหลังจากคิดอยู่พักหนึ่งสามีเธอจะต้องนอนด้านนอกของเตียงเธอเขยิบพื้นที่ ไว้ให้สามี ดีที่สมัยก่อนเป็นเตียงเตามันทั้งใหญ่และยาวมาก
เด็กน้อยที่อยู่ข้างๆ เธอผล็อยหลับไปในเวลาสั้นๆ เธอยังคงเป็นเหมือนม้าป่าคิดไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และมีพลังมากขึ้น
ในที่สุดเว่ยเจียงเว่ยก็เดินเข้ามาเธอแกล้งนอนนิ่งไม่ขยับตัวเพื่อรอเวลากินเหยื่อแต่เธอก็ยังให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของเขาอยู่เสมอแอบดูเขากำลังเคลียร์พื้นที่เล็กๆ ในห้อง
แต่เมื่อเห็นเขาหยิบเสื่อฟางออกมาแล้วปูมันลงบนพื้นและหยิบผ้าห่มจากตู้และวางผ้าห่มบนเสื่อ
เขาปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน
ฉู่เหม่ยเหม่ย "…"
เดี๋ยว ! มันต้องไม่ใช่ แบบนี้สิ
เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง "สามี๊~~"เสียงหวานมาก
"นอนเถอะ"
เงิบไปเลย

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0