โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของนางร้ายตัวประกอบ ยุค 70

นิยาย Dek-D

อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • นมหอมมิ้นท์
ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของนางร้ายตัวประกอบ ยุค 70
นั่งทำงานอยู่ดี ๆ ดันทะลุมิติมาอยู่ในยุคที่ข้าวยากหมากแพง ไม่พอเธอดันมาอยู่ในร่างของนางร้ายในนิยายที่ทำลายชีวิตของพระนางในเรื่อง นางเอกก็ย้อนเวลากลับมา ก่อนอื่นเธอจะต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน

ข้อมูลเบื้องต้น

นิยายเรื่องนี้เล่าถึงนางเอกที่ทะลุมิติไปอยู่ในนิยายเรื่องหนึ่ง ชีวิตช่างอับโชคดันทะลุมิติไปอยู่ในยุค 70 ยุคที่ข้าวยากหมากแพงลำบากยากจน ยุคที่ประเทศยังไม่พัฒนาเศรษฐกิจยังไม่เปิดกว้าง

โชคร้ายไปกว่านั้น…เธอคือนักศึกษาสาวยุวปัญญาชนจากปักกิ่งที่ถูกส่งตัวไปทำงานที่ชนบทหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ความลำบากในแต่ละวันที่เธอต้องเผชิญไม่อยากจะพูดถึง ไม่พอแค่นั้นเธอดันมาอยู่ในร่างของนางร้ายตัวประกอบในนิยายอีก

นางร้ายตัวประกอบที่อยากจะร่ำรวยแต่ชีวิตดันลำบากยากจน ทิ้งสามีและลูก ๆ ไป…หลังจากนั้น นางเอกในเรื่องก็ย้อนเวลากลับมาเพื่อแก้แค้นเอาคืนนางร้ายอย่างเธอ ทำให้เธอมีจุดจบอย่างอนาถ

ก่อนอื่นเลย นางร้ายอย่างเธอจะต้องรักชีวิตกลัวตาย อยู่ให้ห่างจากพระนางในนิยายเรื่องนี้ นอกจากนี้เธอยังต้องสอบเข้ามหาลัยให้ได้ รับเงินเดือนรัฐ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้วรอวันตาย…

แนะนำ

นิยายเรื่องนี้เล่าถึงนางเอกที่ทะลุมิติไปอยู่ในนิยายเรื่องหนึ่ง ชีวิตช่างอับโชคดันทะลุมิติไปอยู่ในยุค 70 ยุคที่ข้าวยากหมากแพงลำบากยากจน ยุคที่ประเทศยังไม่พัฒนาเศรษฐกิจยังไม่เปิดกว้าง

โชคร้ายไปกว่านั้น…เธอคือนักศึกษาสาวยุวปัญญาชนจากปักกิ่งที่ถูกส่งตัวไปทำงานที่ชนบทหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ความลำบากในแต่ละวันที่เธอต้องเผชิญไม่อยากจะพูดถึง ไม่พอแค่นั้นเธอดันมาอยู่ในร่างของนางร้ายตัวประกอบในนิยายอีก

นางร้ายตัวประกอบที่อยากจะร่ำรวยแต่ชีวิตดันลำบากยากจน ทิ้งสามีและลูก ๆ ไป…หลังจากนั้น นางเอกในเรื่องก็ย้อนเวลากลับมาเพื่อแก้แค้นเอาคืนนางร้ายอย่างเธอ ทำให้เธอมีจุดจบอย่างอนาถ

ก่อนอื่นเลย นางร้ายอย่างเธอจะต้องรักชีวิตกลัวตาย อยู่ให้ห่างจากพระนางในนิยายเรื่องนี้ นอกจากนี้เธอยังต้องสอบเข้ามหาลัยให้ได้ รับเงินเดือนรัฐ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้วรอวันตาย…

ทะลุมิติมาอยู่ในยุค 70

บนถนนบนภูเขาที่คดเคี้ยวยาวกว่าสิบไมล์ มีเกวียนคันหนึ่งเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หลังเกวียนเต็มไปด้วยกองฟาง ด้านบนกองฟางมีหญิงสาวตัวเล็ก ๆ นั่งพยายามสงบสติอารมณ์อยู่ เธออายุประมาณ 18 ปี

หญิงสาวถักเปียสองข้างแลดูสดใสและน่ารักสมวัย สวมเครื่องแบบสีเขียวของคณะแพทย์กองทัพปลดแอก เสื้อผ้าดูมีขนาดใหญ่สวมใส่สบาย ทว่าครู่นั้น…ถนนข้างหน้าก็มีหินก้อนใหญ่ขวางกั้นทางผ่านอยู่ เกวียนจึงต้องหยุดลง

เมื่อคืนฝนตกหนักจึงทำให้หินก้อนนั้นกลิ้งลงมาจากภูเขา ปิดกั้นถนนสายเดียวที่มุ่งสู่หมู่บ้านกุ้ยหลิว ช่องว่างระหว่างหินกับหน้าผามีแค่ผู้คนที่สามารถผ่านมันไปได้ แต่สำหรับเกวียนนั้นไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถผ่านไปได้

“นางหนู ถนนข้างหน้ามันไปต่อไม่ได้แล้ว ลุงพาหนูมาได้แค่นี้เท่านั้นนะ หนูเดินไปตามถนนสายนี้ไปหนูจะเห็นบ้านสองสามหลังข้างหน้าและนั้นแหละคือหมู่บ้านกุ้ยหลิว ”

คนขับเกวียนคือชายวัยกลางคน อายุราว ๆ 50 กว่า เกวียนของเขาคือยานพาหนะอันล้ำค่าที่ค่อยรับส่งเหล่าปัญญาชนจากอำเภอมาสู่หมู่บ้านต่าง ๆ …หญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ท้ายเกวียนคือยุวปัญญาชนที่จบการศึกษาจากเมืองปักกิ่ง

มีชายหนุ่มอีกสองสามคนที่นั่งเกวียนมากับเธอ แต่ดูเหมือนหญิงสาวคนนี้จะโชคร้าย เธอถูกจัดให้ไปยังเขตที่ห่างไกลที่สุดคือหมู่บ้านกุ้ยหลิวและการเดินทางไปมาแต่ละครั้งนั้นไม่ง่ายเลย

เสียงของลุงขับเกวียนที่ดังก้องในหูของหญิงสาว ทำให้หม่า หนิงเหอที่กำลังตกอยู่ในอาการมึนงงลืมตาตื่นขึ้น เธอรีบเก็บข้าวของหยิบถุงเสื้อผ้าแล้วก้าวลงจากเกวียนทันที

เสียงเกวียนวัวค่อย ๆ เดินหายไปอย่างช้าๆ หนิงเหอยืนทำหน้างงในดงที่มีภูเขาล้อมรอบตัวเธอ ข้างถนนที่หญิงสาวเดินอยู่มีลำธารเล็ก ๆ และหนทางข้างหน้าดูเหมือนจะทอดยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด

หนิงเหอถอนหายใจแรงยอมรับชะตากรรมของเธอที่ต้องเผชิญแล้วเดินไปตามถนนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยโคลนไปยังหมู่บ้านกุ้ยหลิว…รองเท้าสีเขียวของเธอตอนนี้กลายเป็นสีเหลืองเปื้อนโคลนไปแล้ว ทำให้ทุกย่างก้าวของหนิงเหอลำบากยิ่งนัก

หญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ เธอยังนั่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ ? เธอแค่งีบหลับเอง สถานที่กลับเปลี่ยนไป ยุคสมัยก็เปลี่ยนไป แม้แต่ความทรงจำที่ไม่ได้เป็นของเธอก็ปรากฏอยู่ในหัวไม่หยุด

ถ้าจะให้พูด…เธอคือหม่าหนิงเหอที่ทะลุมิติมาอยู่ในอีกยุคหนึ่ง ยุคปี 1975

ความจำของเจ้าของร่างเดิมค่อย ๆ ผุดเข้ามาในหัวของเธอทีละน้อย เจ้าของร่างเดิมมีชื่อเหมือนกันกับเธอ นั่นก็คือ ‘หม่าหนิงเหอ’ อายุ 18 ปีและเพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลาย…ในยุคนี้เรียนจบมัธยมปลายถือเป็นระดับการศึกษาที่สูงมาก

ตามทฤษฎีแล้ว…ด้วยระดับการศึกษาของเจ้าของร่างเดิมแล้ว เธอสามารถสมัครเป็นครูสอนได้และมีหน้าที่การงานที่ดี เมื่อเทียบกับการที่ต้องมาทำงานและอาศัยอยู่ในที่ลำบากเช่นนี้ กลายเป็นยุวปัญญาชนทำไร่ของตัวเองสบายกว่าเยอะ

แต่ครอบครัวของเจ้าของร่างเดิมไม่เหมือนครอบครัวคนอื่น พ่อแท้ ๆ ได้เสียชีวิตไป เธอจึงตามไปอยู่กับแม่ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อเลี้ยง ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อเลี้ยงไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก

ในความคิดของเจ้าของร่างเดิมอยากจะหนีออกมาจากครอบครัวนั้นมาโดยตลอด เมื่อตอนที่จบมัธยมต้นกำลังจะหนีออกมา เธอกลับได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะเฉียบพลัน เพราะแบบนั้นเธอถึงพลาดโอกาสที่จะหลบหนีออกมา

แต่ครั้งนี้…ทันทีที่เธอเรียนจบมัธยมปลาย ไม่ทันจะได้บอกให้คนในครอบครัวได้รู้ เธอก็รีบเก็บเอาเสื้อผ้านั่งรถไฟหนีออกมาจากเมืองปักกิ่ง

หนิงเหอทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ตอนที่เจ้าของร่างเดิมนั่งรถไฟเดินทางมาที่หมู่บ้านกุ้ยหลิว เมื่อลืมตา…ก็เห็นภูเขาลูกใหญ่ ถนนที่ลุกรัง โคลนเปื้อนเต็มไปหมด ยานพาหนะก็มีแค่เกวียนวัวและเกวียนควายเท่านั้น

สำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอที่เติบโตในเมือง ไม่เคยใช้ชีวิตยุ่งยากลำบากมาก่อน ภาพที่อยู่ตรงหน้าแปลกตาทำให้เธอตกใจไม่น้อย

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ชาวบ้านกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิต อากาศที่ร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนยังไม่ผ่านไป แสงแดดส่องจนแทบมองไม่เห็นที่ให้หลบแสง หนิงเหอเห็นว่าอากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็เลยรีบเร่งฝีเท้าเดินไปตามถนน

ก่อนที่ฟ้าจะมืดหนิงเหอจะต้องเดินไปให้ถึงหมู่บ้านกุ้ยหลิวซึ่งเป็นสถานที่ที่เจ้าของเดิมต้องการที่จะไป…แค่คิดว่าคืนนี้เธอเดินไปไม่ถึงหมู่บ้านกุ้ยหลิวและต้องค้างในป่าหนาทึบรกร้างเช่นนี้ ก็รู้สึกกลัวขนหนาวลุกแล้ว

มีบ่อโคลนอยู่ทั้งสองข้างถนน มีต้นบอระเพ็ดมากมายเรียงเป็นแถวยาวอยู่รอบ ๆ ใบสีเขียวคมเป็นหนามเหมือนมีดเล็กๆ ถ้าไม่ระวังอาจถูกทิ่มทำให้บาดเจ็บได้ง่าย

มือเล็กของหนิงเหอมีคราบเลือดเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ทันได้ระวังบังเอิญไปโดนหนามของใบไม้เข้า ครู่นั้น…เสียงท้องร้อง หนิงเหอก็รีบหยิบเอาขวดน้ำออกมาดื่ม

วันนี้อากาศร้อนมากแม้จะนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ก็ไม่สามารถบดบังความร้อนเอาไว้ได้ เธอยกมือขึ้นเพื่อปิดบังแสงแดดที่กระทบดวงตา แต่พอมองไปข้างหน้า แสงแดดอันร้อนแรงแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ

ข้างหน้าของหนิงเหอมีเงาสีดำสองสามจุดปรากฏขึ้นแล้วก็หายไป…ระหว่างทางหญิงสาวเดินไปบ้างพักผ่อนบ้างเวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ พระอาทิตย์ก็ค่อย ๆ ตกลับฟ้า แสงสีแดงกลมกลืนไปกับครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า

หญิงสาวร่างผอมบางยืนอยู่ที่ไหนสักแห่งบนภูเขาเล็กๆ ทอดสายตามองไปข้างหน้า ด้านล่างเชิงเขามีทุ่งนาข้าวสีทอง มีลมพัดแรง เธอสามารถเห็นต้นข้าวสั่นไหวตามคลื่นลมพัดอย่างต่อเนื่อง ไกลออกไปมีบ้านเล็ก ๆ

หนิงเหอมีความสุขและดีใจมาก ๆ ในที่สุดเธอก็มาถึงก่อนฟ้ามืด เธอรีบสาวเท้าเดินไปข้างหน้า ก่อนหน้านี้มีทีท่าที่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก ตอนนี้เธอกลับเดินได้อย่างคล่องตัวว่องไว

ทุ่งนาข้าวล้อมรอบไปด้วยผู้คนที่กำลังลงมือเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างขยันขันแข็ง เสียงเครื่องเกี่ยวข้าวก็ดังก้องอยู่ตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

ในความทรงจำของเจ้าร่างของเดิม ก็เคยเห็นภาพเก็บเกี่ยวผลผลิตในที่อื่น ๆ มาก่อน แต่ผู้คนส่วนใหญ่จะเกียจคร้านและเฉื่อยชา เมื่อเทียบกับจิตวิญญาณปัจจุบันของคนในหมู่บ้านกุ้ยหลิวแล้วดูแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

หนิงเหอยืนอยู่ที่ข้างแปลงทุ่งนามองชาวบ้านที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า

ณ ที่หมู่บ้านกุ้ยหลิว

“นี่ ~!!!” เสียงของเธอดึงดูดผู้คนมากมายให้หันศีรษะหันมามองเธอ

ในหมู่บ้านมีกันแค่นั้น ผู้คนในหมู่บ้านแวะเวียนไปมาหาสู่กันทุกวันและคุ้นเคยกันดี อยู่ ๆ ก็มีคนแปลกหน้าจากที่ไหนไม่รู้โผล่มาถึงที่นี่ พวกเขาย่อมจำหน้าได้

หนิงเหอเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในฝูงชนทำท่าทางภาษามือ จากนั้นก็เดินตรงมาทิศทางที่เธอยืนอยู่ ก่อนที่เธอจะทะลุมิติมาอยู่ในยุคนี้ เมื่อตอนที่เรียนมัธยมต้นสายตาเธอไม่ค่อยดี แต่กลับมองเห็นร่างของชายหนุ่มที่กำลังเดินมาหาเธอได้อย่างชัดเจน รูปร่างของเขาดีมาก

แม้เขาจะอยู่ในระยะไกล เธอก็ยังมองเห็นร่างของชายหนุ่มคนนั้นได้ชัดเจน เขาตัดทรงผมสั้นเรียบ ดวงตาดำขลับมีเสน่ห์น่าหลงใหล บุคลิกของเขาดูมุ่งมั่นจริงจังมาก นัยน์ตาดูหนักแน่นมั่นคง เขาไม่ลังเลสักนิดเลยเมื่อเดินตรงมาหาหนิงเหอ

ชายหนุ่มเดินไปหาหญิงสาว ลมหายใจร้อน ๆ ของเขาทำให้ใบหน้าของหนิงเหอแดงเล็กน้อย ประกอบกับแสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน จึงทำให้แก้มของเธอดูไม่ต่างจากลูกพีชเลย

ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยสุงสิงกับผู้ชายมาก่อน เธอเปรียบเหมือนผ้าขาวที่บริสุทธิ์ไม่เคยผ่านชายใดมาก่อน ไม่แปลกที่จะมีอาการเขินอายอีกฝ่ายเช่นนั้น

ในเมื่อก่อนเธอใช้เวลาทั้งหมดที่มีอ่านแต่หนังสือไม่กล้าคุยกับผู้ชายคนอื่นมากนักจึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยการแพทย์ที่ดีที่สุดในประเทศได้อย่างราบรื่น

หลังจากสำเร็จการศึกษา ครอบครัวของหนิงเหอก็ได้ช่วยให้เธอได้ทำงานในโรงพยาบาลในเมือง เธอยึดถือเวลาให้กับการทำงานเสมอและเธอก็ไม่ชอบไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน ชีวิตของหนิงเหอนั้นเรียบง่ายไร้เงาไฟแสงสี

หากเธอไม่ได้ทะลุมิติมาอยู่ที่นี่ ชีวิตของเธอก็คงจะต้องแต่งงานและมีลูกตามความปรารถนาของพ่อแม่ไปแล้ว จากนั้นก็ใช้ชีวิตปกติสงบสุขต่อไป

ทว่า…บังเอิญเห็นผู้ชายเปลือยกายต่อหน้าเธอ ภายในใจก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ดวงตากลมโตไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่อื่น ชายหนุ่มมองสำรวจหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าสักพัก เขาไม่คุ้นหน้าเธอเลย จึงเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า

“คุณคือนักศึกษาที่มาจากต่างเมืองเหรอ ? ” หญิงสาวได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถามจึงพยักหน้าเบา ๆ แล้วรีบบอกออกไป

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหม่าหนิงเหอค่ะ” คิ้วหนาขมวดชนกันเล็กน้อย ในแววตาเกิดความสงสัย

หมู่บ้านของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากอำเภอมาก การจราจรไม่สะดวก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีคนจากที่อื่นเดินทางมาที่นี่น้อยมาก ทุกคนในหมู่บ้านรู้เรื่องนี้ดี ไม่เคยมีใครสุภาพอ่อนน้อมเหมือน หนิงเหอมาก่อน

“คุณเรียกผมว่าเต๋อเฉิงก็ได้ครับ” เขาเอ่ยบอกพร้อมกับชี้นิ้วไปที่กลุ่มชาวบ้านที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่ที่ทุ่งนา

“คุณรอผมอยู่ที่นี่ก่อนนะ ผมทำงานเสร็จจะพาคุณไปพบหัวหน้าหมู่บ้าน”

เต๋อเฉิงค่อย ๆ วิ่งไปหาชาวบ้านปล่อยให้หนิงเหอนั่งเหงาอยู่คนเดียวที่ข้างทุ่งนา…เธอมองดูเงาที่ยุ่งวุ่นวายของทุกคนและ ความคิดของเธอก็ค่อย ๆ ล่องลอยไป

หมู่บ้านกุ้ยหลิวเป็นหมู่บ้านเล็กๆ หากมีคนใดคนหนึ่งขว้างเมล็ดข้าวทิ้งทุกคนจะรู้กันหมด นับประสาอะไรกับคนแปลกหน้าที่มาที่นี่ จึงทำให้คนในหมู่บ้านอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น

“เฮ้ ~ พี่เต๋อเฉิงผู้หญิงคนนั้นมาจากที่ไหนเหรอ? ทำไมเธอถึงมาที่หมู่บ้านของพวกเราล่ะ? ”

“นักศึกษาที่มาจากต่างเมืองน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมกับเก็บเกี่ยวข้าวไปด้วยอย่างชำนาญ

“ถึงได้ว่าทำไมผิวของเธอถึงได้ขาวผ่องขนาดนั้น ที่แท้ก็เติบโตจากในเมืองนี่เอง”

เต๋อเฉิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาที่ไม่รักดีพลันเหลือบไปมองหนิงเหอที่กำลังนั่งรอเขาอยู่

หญิงสาวร่างบางนั่งกอดเข่าจ้องมองผู้คนที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่ตรงหน้าสวยงามราวกับภาพวาด

“พี่ !!! มองอะไรขนาดนั้น? ” ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เต๋อเฉิงใช้ไหล่กว้างของตัวเองเพื่อสะกิด

“ยังจะพูดมากอีก พอดีว่าหลังหมู่บ้านมีบ่อน้ำเสียที่ยังไม่มีใครขุด นายมีแรงเหลือเยอะหนิ งั้นงานนี้ฉันมอบให้นายทำก็แล้วกันนะ”

สีหน้าของชายคนนั้นพลันดูหดหู่ เขารีบถอยห่างจากเต๋อเฉิงทันที

‘หูเต๋อเฉิง’ คือหัวหน้าทีมเก็บเกี่ยวผลผลิตในหมู่บ้าน งานทุกอย่างในหมู่บ้าน เขาจะเป็นคนจัดการแบ่งหน้าที่และดูแลทั้งหมด เต๋อเฉิงได้เป็นหัวหน้าทีมเก็บเกี่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มหรือเป็นเพราะว่าพ่อของเขาคือหัวหน้าหมู่บ้านกันนะ

แต่…เต๋อเฉิงไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่ทุกคนคิด เขาเป็นคนขยันตั้งใจทำงานมากประสบการณ์และยังฉลาดแก้ไขปัญหาได้ดี นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนในหมู่บ้านถึงได้ไว้วางใจเขามาก แล้วเลือกให้เขามาเป็นหัวหน้าทีมเก็บเกี่ยวผลผลิต

สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง แสงจันทร์อันสดใสลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า หนิงเหอรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นทุกคนอีกด้านหนึ่งเก็บข้าวของหลังจากทำงานเสร็จ

เธอปะปนเดินไปกับฝูงชน ทุกคนล้วนมองมาที่เธอพวกเขาทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย บุคลิกของหนิงเหอค่อนข้างเงียบนิ่ง เธอพูดคุยกับคนอื่นเข้าหาใครไม่ค่อยเก่งและเธอไม่รู้ว่าจะทำให้คนอื่นรู้สึกดีกับเธอได้อย่างไร โชคดีที่เธอคือลูกคนเดียวในครอบครัวและได้รับความรักจากพ่อแม่ของเธอเสมอ

หลังจากที่ทุกคนทำงานหนักมาทั้งวัน คนในหมู่บ้านก็ค่อย ๆ เดินหายไป หนิงเหอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในตอนนี้ก็เหลือเพียงเธอกับเต๋อเฉิงเท่านั้น ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน…คนหนึ่งเดินไปข้างหน้า อีกคนหนึ่งเดินตามหลังอย่างห่าง ๆ ห่างกันเพียงแค่สองก้าว

หนิงเหอเดินบนถนนด้วยความรู้สึกเศร้าหมองและไม่รู้จะพูดอะไร ส่วนเต๋อเฉิงที่เดินอยู่ข้างหน้านั้น เขาก็ค่อย ๆ เดินช้าลงเพื่อรอหญิงสาว

หญิงสาวเดินตามหลังไปโดยไปทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายนั้นหยุดเดิน จึงบังเอิญเดินไปชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างของเต๋อเฉิง

“ฉะ…ฉันขอโทษค่ะ” หนิงเหอรีบถอยห่างจากชายหนุ่มทันที เพราะว่าตกใจมากเธอจึงพูดติดขัด

“ถึงแล้ว” เต๋อเฉิงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งไม่แฝงนัยใด ๆ แต่ไหล่กว้างกับสั่นไหวเล็กน้อย

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0