มีคนบอกว่าใช้ชีวิตให้มีสมดุลแล้วชีวิตจะมีทุกข์น้อยลงหรือมีความสุขมากขึ้น แล้วชีวิตที่มีสมดุลคืออะไร สมดุลของแต่ละคนมันต่างกัน
คำว่าสมดุลนี้ในพระพุทธศาสนาเรียกว่ามัชฌิมาปฎิปทาหรือ ทางสายกลาง
ทางสายกลาง ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนและยกตัวอย่างเปรียบเทียบไว้ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว คือการเปรียบเทียบ กับสายพิณ ถ้าขึงสายหย่อนเกินไปดีดก็ไม่มีเสียง ถ้าขึงตึงเกินไป ดีดก็ขาด
ในทางจิต ก็ยกตัวอย่างเช่น ปัญญาต้องเสมอกับศรัทธา ศรัทธามากไปก็งมงาย ปัญญามากไปไม่มีศรัทธาก็กลายเป็นทิฐิมานะเพิ่มอัตตา ได้แต่คิดไม่ลงมือปฎิบัติ ต้องรักษาสมดุลให้พอเหมาะพอดีกัน
ผมเคยถูกสอนมาว่าให้ทำงานหนักในวัยหนุ่ม ในตอนที่ยังมีแรง มีไฟ เพื่อความเจริญก้าวหน้าและเพื่อเก็บหอมรอมริบ ไว้ใช้ในยามแก่เฒ่า ซึ่งก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล และในเวลานั้นผมก็เห็นด้วย มีบางช่วงของชีวิต ที่ผมเรียงลำดับความสำคัญให้งานมาเป็นอันดับ 1 ถ้าคนรักหรือครอบครัวนัดจะไปเที่ยวกันแล้วต้องจองล่วงหน้า ผมจะไม่รับปากว่าจะไปด้วยเพราะกลัวจะพลาดโอกาสหากมีงานเข้ามา
ซึ่งก็มักจะเป็นอย่างนั้น ทำให้ชีวิตช่วงนั้นทุกทริปที่ครอบครัวผมไปเที่ยวกันมักจะไม่มีผม สมัยก่อนเหตุผลเดียวที่ผมจะยอมล็อคคิวไม่รับงานหลายๆ วัน ล่วงหน้าเป็นเดือนๆ คือไปปฏิบัติธรรม เพราะเห็นความจำเป็นของนิสัยที่ไม่มีระเบียบวินัยของตัวเอง ต้องมีคนคอยบังคับขัดเกลา เป็นครั้งคราว
มีอยู่ปีนึงพี่สาวมาบอกว่าสนใจไปเที่ยวพร้อมหน้าทั้งครอบครัวมั้ย ไม่ได้ทำแบบนั้นมานานมากๆ แล้วนะ ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเพิ่งไปทำโครงการเตรียมตัวตายมาพอดี ทำให้คิดว่า พ่อแม่ก็อายุมากแล้ว หรือแม้กระทั่งตัวเราก็อาจตายได้ทุกวัน คงรู้สึกเสียดายถ้าไม่ได้ใช้เวลาดีๆ ร่วมกับเขาบ้าง แต่ติดตรงที่วันเดินทางที่ทุกคนในครอบครัววางโปรแกรมไว้ ผมมีงานพอดี ผมเลยเลือกที่จะตามไปทีหลังซึ่งช้าไปแค่วันเดียว เป็นการแก้ปัญหา ซึ่งก็ผ่านมาได้ด้วยดี โชคดีว่าวันที่ทำงานไม่ได้อยู่กลางทริป แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ความคิดผมก็เปลี่ยนไป ผมก็เริ่มล็อคคิวล่วงหน้าเพื่อไปเที่ยวแบบรู้สึกผิดน้อยลง เพราะมองว่าความสัมพันธ์กับคนรักและครอบครัวมีค่ามากไม่น้อยกว่างาน
จนตอนหลังมานี่ผมเริ่มคิดว่าผมจะเที่ยวพักผ่อนเยอะเกินไปจนไม่เป็นอันทำงาน สายพิณเริ่มจะหย่อนยานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องขึงสายพิณให้ตึงขึ้นบ้าง คนเล่นกีตาร์ก็คงจะคุ้นเคยกับการต้องคอยหมั่นปรับตั้งสายให้พอดี เสียงไม่เพี้ยน ชีวิตก็เหมือนกัน เดี๋ยวตึงเดี๋ยวหย่อน
ที่ญี่ปุ่นมีคนตายเพราะทำงานหนักปีละ 200 ราย เพราะญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมการทำงานที่หนักหน่วง ทุ่มเทจริงๆ นี่เรียกว่าตึงจนสายขาด เป็นบทพิสูจน์ คำพูดที่ว่า งานหนักไม่เคยฆ่าคน ไม่เป็นความจริง
คงไม่มีค่าอะไรถ้าเงินที่หามาได้ต้องมาใช้รักษาสุขภาพ ที่เสียจากการถูกทำลายเพราะใช้งานหนักเกินไป หรือประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแต่มีปัญหาครอบครัว แต่ความสำเร็จก็มาจากการทำงานหนักมิใช่หรือ?
ระหว่างความสำเร็จที่รวดเร็ว กับ ชีวิต คุณเลือกอะไร?
เชื่อว่าก็มีคนเลือกความสำเร็จอยู่ดี เพราะมันเป็นสิทธิของแต่ละคน
ผมชอบคำแนะนำที่ว่า work smarter not harder คือ ทำงานแบบใช้ปัญญา เน้นคุณภาพไม่ใช่เน้นปริมาณ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้แบบไม่เหนื่อยจนเกินพอดี
การรักษาสมดุลชีวิต คือ ศิลปะอย่างหนึ่ง ที่แต่ละคนต้องปรับด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ ให้พอดี เพราะสมดุลของแต่ละคนไม่เท่ากันยิ่งคนที่เข้าใจผิด นำข้อนี้มาใช้เป็นข้ออ้างตามใจกิเลสตัวเอง ผลที่ออกมาก็คงไม่พอดี
สมดุลในชีวิตเราคงไม่ใช่แค่ 2 สิ่ง มีทั้งความสัมพันธ์ ครอบครัว หน้าที่การงาน สุขภาพ จะให้เวลากับสิ่งไหนมากน้อยแค่ไหนถึงจะ พอดี คำว่าพอดีนี่ใช้ได้กับทุกเรื่องจริงๆ เช่น อาหารที่ดีมีประโยชน์ กินมากเกินไปก็ไม่ดี แม้กระทั่งเรื่องชีวิตคู่ ดีเกินไปก็ยังทำให้อยู่กันไม่ยืดเท่ากับนิสัยพอดีกัน
ผมชอบที่ท่านชยสาโร พระภิกษุชาวอังกฤษ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ ให้ความหมายของคำว่า พอดี ไว้ก็คือ “ฉลาด” ฉลาดในที่นี้คือต้องรู้ขอบเขตด้วย เช่น ถ้ามีคำถาม 2+2 เท่ากับเท่าไหร่ ถ้ามีคนนึงตอบ 5 คนนึงตอบ 7 เราคิดว่าสายกลางคือ 6 ก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องอยู่ดี คนฉลาดจะไม่เลือกสร้างเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ที่ตามมาในอนาคต เพราะมนุษย์เราล้วนต้องการความสุข
ขอความพอดีจงมีแด่ผู้อ่านทุกท่านครับ
ความเห็น 20
เขาก็ไม่ได้บ้งคับให้ใครเชื่อ เอาที่สบายใจ
18 ก.ย 2561 เวลา 11.12 น.
🐣..FoN..🐣
พี่อุ๋ย สุดยอดมากค่ะ ชื่นชมค่ะ
18 ก.ย 2561 เวลา 15.03 น.
มิ้งค์ HEMAX
ทางสายกลาง พอดี พอเหมาะ พอควร😘Love oui
18 ก.ย 2561 เวลา 20.23 น.
Kit
บทความนี้ มีบางประโยคไขข้อข้องใจของผมได้
ขอบคุณครับ
19 ก.ย 2561 เวลา 02.00 น.
ก.คนบ้านไกล
ผมก็สายกลางๆนะ ถ้าสายบ่อยกว่านี้มีหวังโดน HR เรียกเตือน
18 ก.ย 2561 เวลา 14.24 น.
ดูทั้งหมด