โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที

บิ๊กเทคฯ พึ่ง ‘โรงไฟฟ้าเก่า’ ขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI และดาต้าเซ็นเตอร์

Amarin TV

เผยแพร่ 09 ก.ย เวลา 07.17 น.
บิ๊กเทคฯ พึ่ง ‘โรงไฟฟ้าเก่า’ ขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI และดาต้าเซ็นเตอร์
บิ๊กเทคฯ หันมาพึ่ง ‘โรงไฟฟ้าเก่า’ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI และดาต้าเซ็นเตอร์ หลังคาดว่า อุตสาหกรรมจะโตปีละ 10% ภายในปี 2030 ตาม McKinsey

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเติบโตของ AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ความต้องการของดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นสูงทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 มีดาต้าเซ็นเตอร์ประมาณ 8,000 แห่งในสหรัฐอเมริกา และคาดว่า อุตสาหกรรมนี้จะเติบโตเร็วขึ้นปีละ 10% ภายในปี 2030 ตามรายงานของ McKinsey

ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ กำลังกระตุ้นให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ และซัพพลายเออร์ของพวกเขา เริ่มพิจารณา มองหา และนำสถานที่อุตสาหกรรมที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว เช่น โรงไฟฟ้าเก่า มาปรับใช้เป็น ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ เพื่อรองรับการประมวลผลข้อมูลที่มากขึ้น

การนำโรงไฟฟ้าเก่ามาใช้ใหม่

บิ๊กเทคฯ อย่าง Microsoft, Google, และ Amazon ต่างทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อขับเคลื่อนการประมวลผลแบบคลาวด์ และบริการ AI แม้ตอนนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายในการค้นหาสถานที่ที่มีพลังงานเพียงพอ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Adam Cookson หัวหน้าฝ่ายธุรกรรมที่ดินสำหรับกลุ่มที่ปรึกษาด้านดาต้าเซ็นเตอร์ Emea ของ Cushman & Wakefield กล่าวว่า ‘ความพร้อมของที่ดิน’ และ ‘พลังงาน’ กลายเป็นข้อจำกัดที่สำคัญในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลก ส่งผลให้ความสนใจในตลาดขนาดเล็ก และไซต์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น อย่างโรงไฟฟ้าที่มีสภาพเก่า

ส่วน Daniel Thorpe หัวหน้าฝ่ายวิจัยศูนย์ข้อมูลของ JLL กล่าวว่า นักพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ กำลังมุ่งเป้าไปที่สถานที่โครงสร้างพื้นฐาน อย่าง ‘สถานีไฟฟ้าเก่า’ เนื่องจากสถานที่เหล่านี้ มีความน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ที่ดำเนินการโดยผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งรายใหญ่อย่าง Microsoft, Amazon, และ Google

ถึงแม้โรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังถูกปิดตัวลงในบางส่วนของสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่โรงไฟฟ้าเหล่านี้ อาจมีคุณลักษณะที่โครงการดาต้าเซ็นเตอร์ต้องการ เพราะโดยทั่วไปแล้ว ไซต์อุตสาหกรรมจะได้รับการออกแบบมาเพื่อการใช้พลังงานสูง และอาจมีโครงสร้างพื้นฐานในการส่งไฟฟ้า และตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำ

โดย Microsoft เอง ก็มีแผนที่จะพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์บนพื้นที่ของโรงไฟฟ้า Eggborough และ Skelton Grange เก่า ใกล้กับเมืองลีดส์ ทางตอนเหนือของอังกฤษ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2027 ส่วนในเวลาเดียวกัน Amazon กำลังวางแผนสร้างวิทยาเขตบนพื้นที่ของโรงไฟฟ้า Birchwood เก่าในรัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐอเมริกาด้วย

ในขณะเดียวกัน การค้นหาพื้นที่เพื่อขยายดาต้าเซ็นเตอร์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การนำโรงไฟฟ้าเก่ามาใช้งานใหม่เท่านั้น เพราะ Microsoft ยังพิจารณาการหลอมรวม ‘อะตอม’ เป็นแหล่งพลังงานใหม่เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงาน AI ที่กำลังเติบโตภายในปี 2028

มาตรการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ยั่งยืน

เนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์เป็นหนึ่งในผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ โดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกลเลอร์ ที่ใช้พลังงานสูงมาก เทียบเท่าการใช้ไฟฟ้าของ 80,000 ครัวเรือนรวมกัน ทำให้แรงกดดันในการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบยั่งยืนจึงสูงขึ้นมาก

โดยหน่วยงานกำกับดูแล และรัฐบาลบางแห่ง กำลังกำหนดมาตรฐานความยั่งยืนให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งการพัฒนาครั้งนี้ ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสช่วยดาต้าเซ็นเตอร์รักษาแหล่งพลังงานปลอดคาร์บอนได้

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้ออกมาเตือนว่า ข้อจำกัดด้านความพร้อมของไฟฟ้า อาจคุกคามการขยายตัวของ AI รวมถึงข้อกำหนดอื่นๆ เช่น การเชื่อมต่อไฟเบอร์ที่เพียงพอ ทำให้พื้นที่ที่อาจใช้เป็นศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ ลดน้อยลงไปอีก

นักวิเคราะห์ กล่าวว่า สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดความสนใจในตัวเลือกที่แตกต่างจากเดิม ข้อกำหนดที่แตกต่างกันของเวิร์กโหลด AI เปิดโอกาสให้มีการจัดวางดาต้าเซ็นเตอร์ในพื้นที่ศูนย์กลางน้อยลง ห่างจากศูนย์กลางการประมวลผลหลัก เนื่องจาก ‘ความหน่วง’ หรือเวลาที่ใช้ในการส่งข้อมูล และรับการตอบกลับ มีความสำคัญน้อยกว่าสำหรับการฝึกโมเดล AI

อย่างเช่น Virtus Data Centres ได้เข้าซื้อพื้นที่สองแห่งในกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนี ซึ่งส่วนหนึ่งเคยเป็นฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์มาก่อน รวมถึงโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยสงครามในสหราชอาณาจักร โดยบริษัทมีแผนที่จะแปลงพื้นที่ดังกล่าวเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ในปี 2026

นอกจากนี้ แนวโน้มนี้ ยังสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมการขุดบิตคอยน์ที่ใช้พลังงานมากเช่นกัน ซึ่งมุ่งหวังที่จะปรับเปลี่ยนสถานที่อุตสาหกรรมที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว รวมถึงโรงถลุงอลูมิเนียมเก่า

ความท้าทาย และอนาคตของดาต้าเซ็นเตอร์

อย่างไรก็ตาม บางคนก็ออกมาเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงสถานที่ดังกล่าว อาจเป็นกระบวนการที่ยาวนาน มีค่าใช้จ่ายสูง และมีความซับซ้อน ซึ่งอาจไม่สามารถทำได้จริงเสมอไป หากโรงไฟฟ้าถูกตัดการเชื่อมต่อจากสายส่งไฟฟ้า และไม่ได้รวมอยู่ในคำนึงของผู้ประกอบการในพื้นที่

Mark Dyson กรรมการผู้จัดการโครงการไฟฟ้าปลอดคาร์บอน Rocky Mountain Institute กล่าวว่า หากตัดสินใจเปลี่ยนโครงสร้างโรงงานไฟฟ้าเป็นแบบประหยัดพลังงานแล้ว การเปลี่ยนกลับมาสาแบบดั้งเดิมไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีความซับซ้อนด้านเทคนิค และโลจิสติกส์ที่ต้องคำนึกุถึง

ส่วน Thorpe จากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ JLL มองว่า ปัจจัยการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับข้อมูลจำเพาะของสถานที่ ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าใด ในการปรับรูปแบบโครงสร้างและการใช้งานใหม่ รวมทั้งจำนวน และราคาของที่ดินที่มีอยู่

ในขณะที่งานวิจัยของ RMI แนะนำว่า โรงงานพลังงานหมุนเวียนควรตั้งอยู่ข้างๆ การผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีอยู่ และส่งต่อไปยังโครงข่ายไฟฟ้า ผ่านการเชื่อมต่อที่มีอยู่ของโรงงานเมื่อคุ้มค่ากว่า เนื่องจากตามทฤษฎีแล้ว การผลิตไฟฟ้าส่วนเกินใดๆ สามารถนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าให้กับ on-site facility เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ได้

ที่มา Financial Times, Techopedia, McKinsey

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0

ความเห็น 0

ยังไม่มีความเห็น