โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

เช็กอาการ "ติดโควิด" ซีซั่นนี้ ใครไม่รอด ! เข้าระบบรักษาอย่างไร

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 28 มิ.ย. 2565 เวลา 06.28 น. • เผยแพร่ 28 มิ.ย. 2565 เวลา 06.00 น.

สถานการณ์ "โควิด-19" ที่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหมดไป การผ่อนคลายมาตรการต่างๆ รวมถึงสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ทำให้ยังสามารถพบผู้ติดเชื้ออยู่ ดังนั้น หากใครไม่รอดซีซั่นนี้ ต้องเข้าระบบการรักษาอย่างไร

แม้ว่า สถานการณ์ โควิด-19 ในประเทศขณะนี้จะผ่านช่วงวิกฤติ โดยล่าสุดข้อมูล ณ วันที่ 28 มิ.ย. 65 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,761 ราย และ เสียชีวิตเพิ่ม 13 ราย อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คาดว่าประเทศไทยสามารถพ้นการระบาดใหญ่ตามแผนที่กำหนด แต่อาจพบการระบาดเป็นคลัสเตอร์ได้และอยู่ในการควบคุม

ขณะเดียวกัน การเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการ ปลดล็อก "หน้ากากอนามัย" และ "เปิดประเทศ" รวมถึงการพบสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 โดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงพบโควิด-19 สายพันธุ์ดังกล่าวระบาดในไทยแล้วกว่าร้อยละ 45

แม้จะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าโควิดสายพันธุ์ โอมิครอน BA.4 และ BA.5 แพร่เร็วและรุนแรงขึ้น แต่ก็อาจยังพบผู้ติดเชื้ออยู่ เมื่อโควิดไม่ได้หายไป เราจะอยู่ร่วมกับมันอย่างไรให้ปลอดภัย ขณะเดียวกัน สธ. แนะว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ โดยหลังเข็ม 3 สามารถฉีดได้ทุก 4 เดือน

โดยล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พบผลตรวจเป็นบวก หลังจากเดินทางเข้าร่วมประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 170 ของสำนักงานองค์การนิทรรศการนานาชาติ ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (ICEB) และ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : รมว.สธ.ติดโควิด! "อนุทิน" ลาประชุม ครม. หลังปฏิบัติภารกิจที่ฝรั่งเศส-สวิสเซอร์แลนด์

เช็กอาการโควิด BA.4 และ BA.5

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โพสต์เฟซบุ๊ก ประเด็น "โควิดสายพันธุ์ใหม่" BA.4 BA.5 เผยอาการของผู้ป่วย จากข้อมูลของหน่วยงานสาธารณสุขของฝรั่งเศส โดยเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยจำนวนใกล้เคียงกันคือประมาณ 280 - 290 คน โดยอาการที่พบมากกว่า 50% ของผู้ป่วย คือ

  • อ่อนเพลีย
  • ไอ
  • ไข้
  • ปวดศีรษะ
  • น้ำมูกไหล

เป็นที่น่าสนใจว่า กลุ่มอาการทางเดินหายใจ เช่น หายใจถี่ และ หายใจลำบาก พบได้ในกลุ่ม BA.4/BA.5 เช่นเดียวกัน กลุ่มอาการทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องเสียก็พบได้มากกว่าในกลุ่ม BA.4/BA.5

แต่ในรายงานก็เขียนไว้ว่า ในบรรดากรณีศึกษาของการติดเชื้อ BA.4 หรือ BA.5 นั้น การรักษาในโรงพยาบาล 12 ครั้ง ไม่มีการรับผู้ป่วยวิกฤติ และไม่มีรายงานการเสียชีวิตในบรรดาผู้ป่วยในโรงพยาบาล 10 ราย มีปัจจัยเสี่ยงและระยะเวลาการรักษาในโรงพยาบาลเฉลี่ย 5 วัน ซึ่งนับว่าเป็นข้อมูลที่เป็นข่าวดี เพราะ BA.4 / BA.5 อาจไม่ใช่ไวรัสโอมิครอนที่เปลี่ยนแปลงไปแบบอ่อนเชื้อลง แต่ภูมิจากร่างกายที่ได้รับวัคซีนกันมายังเพียงพอต่ออาการรุนแรงได้อยู่

ติดโควิด-19 ยังรักษาฟรีหรือไม่

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565 การรักษาผู้ติดโควิด-19 จะเป็นไปตามสิทธิรักษาพยาบาลที่จะเข้ารับการรักษาฟรีได้ใน รพ. ที่แต่ละคนมีสิทธิ์อยู่ แต่หากมีอาการป่วยฉุกเฉินวิกฤติตามเกณฑ์ของการรักษาฟรีทุกที่(UCEP) ก็ยังสามารถรักษาฟรีได้ทุกที่เช่นเดิม แต่หากต้องการอยู่ใน รพ.อื่นที่นอกเหนือจากสิทธิ์รักษาฟรีของตนเอง ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง

ขณะที่ ข้อมูลจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ระบุว่า ตั้งแต่ 16 มีนาคม 2565 หลังยกเลิก UCEP (เจ็บป่วยฉุกเฉิน) โควิด-19 ในกลุ่มสีเขียว (ไม่มีอาการ-อาการเล็กน้อย) ผู้ที่ตรวจ ATK แล้วขึ้น 2 ขีด ติดเชื้อโควิด-19 แต่ละสิทธิการรักษา เข้ารักษาโควิด ดังนี้

กลุ่มสีเขียว

  • ไม่มีอาการ
  • มีไข้อุณหภูมิ 37.5 องศาขึ้นไป
  • ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส
  • เจ็บคอ ไอ/มีน้ำมูก
  • มีผื่น ถ่ายเหลว ตาแดง

รักษากับสถานพยาบาลตามสิทธิด้วยแนวทาง

  • ผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน (เจอ แจก จบ) หรือ
  • รักษาที่บ้าน (Home Isolation)

หากมีอาการเปลี่ยนแปลง เข้าสู่กลุ่มสีเหลือง/แดง
ส่งต่อ รพ.ที่สามารถดูแล (ใช้สิทธิ UCEP Plus ได้)

สิทธิบัตรทอง 30 บาท (สปสช.)

นอกจากไปที่สถานพยาบาลประจำที่ท่านลงทะเบียนไว้ ยังไปที่หน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ (ไม่ใช้ใบส่งตัว)

ตัวอย่างหน่วยบริการปฐมภูมิ

  • สถานีอนามัย
  • รพ.สต.
  • หน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาล
  • โรงพยาบาลประจำอำเภอ-จังหวัด
  • ศูนย์สุขภาพชุมชน
  • ศูนย์บริการสาธารณสุข
  • รวมถึง คลินิกชุมชนอบอุ่น เป็นต้น
  • รพ.เอกชนที่ทำข้อตกลงรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มสีเขียวกับ สปสช. ดูรายชื่อ คลิก
  • ร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการเจอ แจก จบ ดูรายชื่อได้ที่ คลิก
  • แอป Spring Up ดูแลด้วยระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) กับ กู๊ดด็อกเตอร์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) นำร่องเฉพาะ กทม.-ปริมณฑล

สิทธิประกันสังคม

  • รพ.ที่ลงทะเบียนไว้ สถานพยาบาลคู่สัญญาในระบบประกันสังคมทุกแห่ง (ดูรายชื่อได้ที่นี่ คลิก)
  • สถานพยาบาลรัฐทุกแห่ง และร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการเจอ แจก จบ ดูรายชื่อได้ที่ คลิก

สิทธิข้าราชการ

  • สถานพยาบาลรัฐทุกแห่ง
  • รพ.เอกชนที่ทำข้อตกลงรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มสีเขียวกับ สปสช. ดูรายชื่อได้ที่ คลิก
  • รวมถึงร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการเจอ แจก จบ ดูรายชื่อได้ที่ คลิก
  • แอป Spring Up ดูแลด้วยระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) กับ กู๊ดด็อกเตอร์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) นำร่องเฉพาะ กทม.-ปริมณฑล

กรณีกลุ่มเสี่ยงทุกสิทธิการรักษา

  • กลุ่ม 608
  • หญิงตั้งครรภ์
  • เด็กอายุ 0-5 ปี
  • คนพิการ
  • ผู้ป่วยติดเตียง

โทร. 1330 กด 18 ประเมินอาการเพื่อเข้าระบบรักษาตามอาการต่อไป หากมีอาการรุนแรงเข้าสู่ระบบการประสานหาเตียง (เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ผู้ป่วย/ญาติผู้ป่วยติดต่อสถานพยาบาลที่เคยไปใช้บริการเป็นประจำไว้ด้วย เพื่อเป็นทางเลือกในการให้ความช่วยเหลือและลดการรอคอย)

ติดต่อ

  • สปสช. 1330
  • ประกันสังคม 1506
  • กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 1426

ผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง

  • แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย
  • ปอดอักเสบ ไอแล้วเหนื่อย
  • อ่อนเพลีย ถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน
  • อาการแทรกซ้อนจากโรคประจำตัว
  • เด็กเล็กซึม หายใจลำบาก กินนม/อาหารน้อยลง
  • กลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง, หัวใจและหลอดเลือด, ไตวายเรื้อรัง, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคอ้วน น้ำหนักมากกว่า> 90 กก., มะเร็ง, เบาหวาน และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป)

ผู้ป่วยกลุ่มสีแดง

  • หอบเหนื่อยหนักมาก พูดไม่เป็นประโยค
  • แน่นหน้าอก หายใจเจ็บหน้าอก
  • ปอดอักเสบรุนแรง
  • อ่อนเพลีย ตอบสนองช้า ไม่รู้สึกตัว มีภาวะช็อก/โคม่า ซึมลง
  • ไข้สูงกว่า 39 องศาต่อเนื่อง
  • ค่าออกซิเจนต่ำกว่า 94

สีเหลือง-สีแดง เข้าเกณฑ์ UCEP Plus

  • รักษาฟรีใน รพ.ตามสิทธิรักษาของท่าน
  • หรือ UCEP Plus เข้ารักษาใน รพ.ใดก็ได้ที่อยู่ใกล้ (รัฐ/เอกชน) ไม่เสียค่าใช้จ่าย รพ.ดูแลรักษาจนหายหรือส่งต่อไป รพ.อื่นได้หากศักยภาพไม่เพียงพอ หรือส่งต่อให้ รพ.ในเครือข่ายที่จัดไว้

***ขั้นตอนนี้ ผู้ป่วย/ญาติปฏิเสธ ต้องออกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง

หมายเหตุ

  • กรณีผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเหลือง/แดง มีประกันชีวิต ให้ใช้สิทธิตามประกันชีวิตก่อน
  • กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่ม 608, หญิงตั้งครรภ์, เด็กอายุ 0-5 ปี, คนพิการ, ผู้ป่วยติดเตียง โทร. 1330 กด 18 ประเมินอาการเพื่อเข้าระบบรักษาตามอาการต่อไป หากมีอาการรุนแรงเข้าสู่ระบบการประสานหาเตียง

+ติดต่อ +

  • สพฉ. 1669 เจ็บป่วยฉุกเฉิน
  • สปสช. 1330 สิทธิบัตรทอง 30 บาท (สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)
  • ประกันสังคม 1506
  • สายด่วนกรมบัญชีกลาง 02-2706400 วันและเวลาราชการ
  • สอบถามสิทธิ UCEP Plus 028721669

แนะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

วานนี้ (27 มิ.ย. 65) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.4/BA.5 ว่าในประเทศไทย จากการส่งตรวจสายพันธุ์ยังพบสัดส่วนในคนต่างชาติมากกว่าคนไทย และจากการเฝ้าระวังเรื่องการทำให้เกิดอาการรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลมากขึ้น ขณะนี้ยังไม่พบว่ามีลักษณะเช่นนั้น

"สิ่งสำคัญคือ พบว่า BA.4/BA.5 ทำให้ภูมิต้านทานเชื้อลดลงบ้าง จึงแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่ม โดยผู้ที่ฉีด 3 เข็มแล้ว หากถึงระยะเวลาที่แนะนำ คือ 4 เดือน ควรมาฉีดกระตุ้นซ้ำ เพราะมีข้อมูลในต่างประเทศว่าผู้ป่วยจากสายพันธุ์ BA.4/BA.5 ถ้าได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นอาการจะน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ฉีด ซึ่งชัดเจนว่าวัคซีนยังได้ผลในการป้องกันอาการหนักและเสียชีวิต"

การขับเคลื่อนโรคโควิด 19 สู่ระยะหลังการระบาดใหญ่ (Post-Pandemic) หลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 คาดว่าจะเป็นไปตามแผน ซึ่งประเด็นสำคัญคือ การระบาดใหญ่ในประเทศไทยคงไม่มีแล้ว โรคลดความรุนแรงลง และระบบสาธารณสุขรองรับได้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโรคเกิดขึ้น แต่อาจมีเป็นคลัสเตอร์ขึ้นมาบ้างแล้วลดลงไป ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุม ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม มีระบบเฝ้าระวังและเตรียมการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยหนักและใส่ท่อช่วยหายใจ รวมถึงยัง ต้องฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุและมีโรคเรื้อรัง ซึ่งยังเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อและเสียชีวิตที่สำคัญ

ขณะนี้สามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 สะสมเกือบ 140 ล้านโดสแล้ว มีประชาชนได้ฉีดเข็มแรก 60 ล้านคน ส่วนกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี อย.สหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ฉีดได้แล้ว ในประเทศไทยหากได้รับการอนุมัติจาก อย. ไทยแล้ว จะมีการหารือถึงเวลาและรูปแบบการฉีดที่เหมาะสมต่อไป

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0