โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

(มี E-BOOK) ทะลุมิติมาอยู่ในร่างสาวน้อยพร้อมระบบเส็งเคร็งยุค 70

นิยาย Dek-D

อัพเดต 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Ainthira06
(มี E-BOOK) ทะลุมิติมาอยู่ในร่างสาวน้อยพร้อมระบบเส็งเคร็งยุค 70
แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบ ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยงานจนกระทั่งเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครเคียงข้าง หลังจากทบทวนชีวิตดีแล้วจึงยื่นขอลาออกจากบริษัท และนับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยน ระบบเส็งเคร็งนี่คืออะไร!

ข้อมูลเบื้องต้น

คำโปรย

“ฉันบอกเธอแล้วว่าหลานสาวของเธอเชื่อถือไม่ได้! เธอดูสภาพลูกสาวของเธอตอนนี้สิสะใภ้สี่ เพราะหล่อนเฟิ่นอี้ของเราจึงบอบช้ำ! หลายครั้งที่ฉันเตือนเธอก็ไม่เคยฟัง” น้ำเสียงดุดันถูกเอ่ยจากปากพี่สะใภ้ใหญ่ของบ้านด้วยความโกธร สะใภ้ใหญ่ตบเข่าด้วยความโมโหเด็กสาวของบ้านอี้

ย้อนกลับไปหลายปีก่อนในตอนที่เฉินเฟิ่นอี้ยังเรียนอยู่ในโรงเรียนประถมของตำบล ในตอนนั้นเด็กสาวน้อยมากที่จะถูกส่งเข้าเรียนในแถบชนบท หากไม่ใช่เพราะเป็นที่รักของครอบครัวจริง ๆ หรือพอมีเงินส่งเรียนบ้าง

ในการศึกษาประถมชั้นปีสุดท้ายของเฉินเฟิ่นอี้หรือในตอนนั้นสิบสองปี หล่อนถูกหลานชายของเศรษฐีในตำบลที่เรียนด้วยกันถูกใจ จึงให้ผู้ใหญ่มาขอหมั้น อีกทั้งเฉินเฟิ่นอี้ยังบอกว่าหล่อนชอบเขาและตกลงที่จะหมั้นด้วย แม้คนในบ้านเฉินจะยังไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ นั่นคือหลานชายของเศรษฐีเชียวนะ! หากเฉินเฟิ่นอี้ได้แต่งเข้าสกุลหมิงอย่างน้อยก็สบายกว่ามาทำงานในแปลงนา

ทั้งสองจึงคบหากันมาตั้งแต่นั้นและพอถึงเวลาเข้าโรงเรียนมัธยมต้น ทั้งสองก็เข้าไปในโรงเรียนเดียวกัน แต่ว่าครั้งนี้มีญาติผู้พี่จากสกุลอี้บ้านเดิมของผู้เป็นแม่เข้าร่วมกลุ่มด้วย เนื่องจากเพื่อนของหล่อนทางบ้านไม่ส่งเรียนต่อในระดับมัธยมต้น

หากเจอเฉินเฟิ่นอี้ย่อมเจอหมิงหลานฮุ่ย หากเจอทั้งสองคนย่อมเจออี้เหม่ยเฟิ่ง ทั้งสามตัวติดกันมากไปไหนก็ไปด้วยกัน ทว่าหลัง ๆ มาเฉินเฟิ่นอี้ล้มป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ทั้ง ๆ ที่อีกไม่กี่เดือนก็จบมัธยมต้นแล้ว

หมิงหลานฮุ่ยว่าที่หลานเขยของบ้านเฉิน ชอบตามอี้เหม่ยเฟิ่งที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับเฉินเฟิ่นอี้มาเยี่ยมหญิงคนรักหลังเลิกเรียนอยู่บ่อยครั้ง คนในบ้านเฉินแรก ๆ ก็พอใจในเด็กคนนี้มาก ทว่าหลัง ๆ มา เริ่มไม่พอใจในการกระทำของหมิงหลานฮุ่ย เพราะทุกครั้งที่เขามายังหมู่บ้านเฟิ่งหลิน หมิงหลานฮุ่ยจะติดตามอี้เหม่ยเฟิ่งไปยังบ้านอี้ก่อน เมื่อถึงเวลากลับถึงจะแวะมาหาเฉินเฟิ่นอี้ที่อาการเริ่มดีขึ้นเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

ย่าเฉินเคยให้สะใภ้สี่ลูกสะใภ้คนเล็กไปเตือนหลานสาวจากบ้านเดิมของหล่อนเพราะมันไม่เหมาะสม เด็กคนนั้นก็รับปากว่าจะบอกหมิงหลานฮุ่ยให้ ทว่าเขากลับไม่พอใจและไม่ยอมมาที่บ้านเฉินอีกเลย

จนมีข่าวลือว่าหมิงหลานฮุ่ยกับอี้เหม่ยเฟิ่งคบกัน และทั้งสองยังเหมาะสมกันมาก หมิงหลานฮุ่ยเป็นหลานชายของเศรษฐีในตำบลที่มีลูกชายคนเดียว อีกอย่างหมิงหลานฮุ่ยก็ยังเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านหมิง ในอนาคตเขาย่อมต้องขึ้นเป็นเจ้าบ้าน ส่วนอี้เหม่ยเฟิ่งก็เป็นหลานสาวของกรรมการในหมู่บ้าน ซึ่งพ่อของหล่อนก็กำลังจะขึ้นเป็นเลขาธิการเร็ว ๆ นี้ ไหนจะเรียนในระดับมัธยมปลายอีก ดีกว่าเฉินเหม่ยเฟิ่งที่ป่วยขี้โรคเป็นไหน ๆ

ตอนแรกบ้านเฉินไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เพราะหมิงหลานฮุ่ยหมั้นกับเฉินเฟิ่นอี้แล้ว แต่อยู่ ๆ หลายวันก่อนพ่อของหมิงหลานฮุ่ยกลับมายกเลิกสัญญาหมั้นหมายแถมยังบอกอีกว่าสินสอดบางส่วนที่ให้มาแล้วจะไม่เอาคืน สร้างความไม่พอใจให้สมาชิกในบ้านเฉินเป็นอย่างมาก หากเอาสินสอดคืนพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าหมิงหลานฮุ่ยเหยียบย่ำจิตใจอันบอบช้ำของเฉินเฟิ่นอี้ด้วยการพาอี้เหม่ยเฟิ่งมาด้วย

เฉินเฟิ่นอี้ที่ทนดูไม่ไหวถึงกลับทรุดตัวลงพื้นและนอนสลบไม่ได้สติมาหลายวันแล้ว ผู้ชายในออกไปทำงานเก็บแต้มเหมือนปกติ ส่วนผู้หญิงช่วยกันทำงานในบ้านและสลับกันดูหลานสาว

“ฉันเอ็นดูเหม่ยเฟิ่งเหมือนลูกแท้ ๆ ไม่คิดว่าหล่อนจะเป็นแบบนี้” สะใภ้สี่ร้องไห้เสียงดัง ลูกสาวคนโตของหล่อนล้มป่วยมาหลายวันยังไม่ได้สติก็ปวดใจมากแล้ว ยังมีเรื่องของหลานสาวจากบ้านเดิมที่หล่อนเอ็นดูไม่ต่างจากลูก

สวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกครั้งในนามปากกา Ainthira06 นิยายเรื่องนี้ผู้เขียนยังเขียนไม่จบจึงตอบไม่ได้อย่างแน่ชัดว่าจะกี่ตอนจบค่ะ แต่ออกเล่มละเดือนแน่นอน^^

คำเตือน

Ainthira06 เขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นด้วยการจินตนาการไม่อ้างอิงประวัติศาสตร์แต่ก็มีบางอย่างที่ใช้ โปรดอ่านอย่างพิจารณาว่าเหมาะสมจะทำตามหรือไม่ กดใจ กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ

เนื้อหา ตัวละคร สถานที่ เป็นเพียงเรื่องราวที่สมมุติขึ้นมา โปรดอ่านอย่างมีสติ

นิยายเรื่องนี้จะมีการติดเหรียญถาวรและไล่ปลดทีละตอนตามวันที่ลง หรือติดธุระด่วนอาจไม่ได้ปลดให้แต่วันต่อไปจะปลดแน่นอน

เปิดเรื่อง : 01/10/66

ปิดเรื่อง :

สงวนสิทธิ์ห้ามลอกเลียนแบบส่วนใดส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องนี้หรือคัดลอกไม่ว่าจะรูปแบบไหนยกเว้นจะได้รับอนุญาตจากผู้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัคิลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗

บทนำ

ตั้งแต่จำความได้ชีวิตของแป้งร่ำก็เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ส่วนพ่อเหรอเธอไม่เคยถามแม่เลย คนที่เลี้ยงอยู่ตรงหน้าจะถามหาผู้ชายคนอื่นทำไม แม่ของเธอเป็นแม่ค้าขายผักมาตั้งแต่เธอยังเด็กเพื่อหาเงินเลี้ยงลูกสาวจึงต้องทำงานตั้งแต่เช้าและกลับบ้านดึก ๆ จนกระทั่งแป้งร่ำอายุได้ยี่สิบสามและเพิ่งเรียนจบมหาลัยคิดที่จะให้แม่หยุดทำงาน ก็ได้รับข่าวร้ายว่าแม่ของเธอถูกรถชนเสียชีวิตคาที่ เหมือนฟ้าผ่าลงตรงหน้าของหญิงสาวที่ต้องการตอบแทนพระคุณแม่ของเธอกลับต้องได้รับข่าวร้าย โดยคนที่ชนแม่ของเธอให้การกับตำรวจว่าครอบครัวของเขาเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงฉลอง พอมาถึงที่เกิดเหตุไฟบริเวณนั้นมืดมากและไม่เห็นแม่ของเธอ ซึ่งมันเป็นทางลัดที่หลายคนเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก แป้งร่ำไม่ได้เอาความเจ้าของรถที่ขับชนแม่เธอเสียชีวิต จากกล้องหน้ารถและกล้องวงจรปิดแถวนั้นพร้อมทั้งคำให้การมันตรงกันจริง ๆ และดูเหมือนว่าแม่ของเธอจะเดินตัดหน้ารถของเขาด้วย อีกทั้งเขายังเต็มใจรับเธอเข้าทำงานในฐานะพนักงานของบริษัทขนาดเล็ก และยินดีส่งเสียให้เธอเดือนละสองหมื่นจนกว่าจะอายุหกสิบซึ่งแน่นอนว่ามันไม่รวมกับเงินเดือน จนกระทั่งยี่สิบกว่าปีมานี้เติบโตขึ้นมากและแป้งร่ำยังทำงานในบริษัทเดิม ในตอนนั้นเธอคิดแค่ว่าตัวเองยังเด็กจึงมุ่งมั่นศึกษางาน แม้แต่เพื่อน ๆ ที่สนิทกันชวนไปสังสรรค์ แป้งร่ำก็ปฏิเสธตลอด รู้ตัวอีกทีเธอก็ไม่เหลือใครแล้ว แม่ผู้เป็นที่พึ่งเดียวก็จากไป คุณลุงฉวีประธานบริษัทคนก่อนหรือก็คือคนที่พาเธอเข้าทำงานที่นี่ก็เสียชีวิตไปสองปีก่อนจากโรคประจำตัว ภรรยาของเขาจึงขึ้นบริหารแทน แม้อีกฝ่ายจะเอ็นดูเธอเหมือนลูกแต่มันก็ควรที่เธอจะออกมาเดินด้วยตนเองได้แล้ว แป้งร่ำในวัยสี่สิบเจ็ดปีตัดสินใจยื่นซองขาวขอลาออกจากบริษัทท่ามกลางบรรดาเพื่อนร่วมงานและรุ่นน้องที่ไม่เห็นด้วย เพราะแป้งร่ำเลื่อนเป็นเลขาของท่านประธานเมื่อห้าปีก่อนและแป้งร่ำก็ทำงานเก่งมากทั้งยังให้คำปรึกษากับทุกคนอย่างเท่าเทียม แม้แต่คุณหญิงอรวรรณผู้มีพระคุณของเธอยังถามแล้วถามอีก เพราะอีกฝ่ายก็เอ็นดูเธอเหมือนลูกเหมือนหลาน แต่แป้งร่ำก็ยังยืนยันที่จะลาออก เพราะคอนโด รถ ก็จ่ายไปหมดแล้ว เงินเก็บก็มีให้เธอใช้ได้อีกหลายสิบปี คุณหญิงอรวรรณเซ็นยินยอมให้เธอลาออกพร้อมทั้งยื่นเงินก้อนใหญ่ให้เธอ ทั้งยังบอกว่าเป็นเงินที่คุณลุงฉวีตั้งใจจะให้เธอหากแป้งร่ำลาออกจากบริษัท พอเห็นว่ามีเงินก้อนใหญ่แป้งร่ำจึงตัดสินใจไม่หางานทำในเร็ว ๆ นี้ จึงหาซื้อนิยายที่กำลังฮิต ๆ อย่างนิยายจีนย้อนยุคมาอ่านอย่างรวดเร็ว แต่คงเป็นเพราะอ่านติดต่อกันอย่างเอาเป็นเอาตายมาหลายวัน แป้งร่ำจึงนอนหลับไปพร้อมทั้งนิยายในมือ

“ฉันบอกเธอแล้วว่าหลานสาวของเธอเชื่อถือไม่ได้! เธอดูสภาพลูกสาวของเธอตอนนี้สิสะใภ้สี่ เพราะหล่อนเฟิ่นอี้ของเราจึงบอบช้ำ! หลายครั้งที่ฉันเตือนเธอก็ไม่เคยฟัง” น้ำเสียงดุดันถูกเอ่ยจากปากพี่สะใภ้ใหญ่ของบ้านด้วยความโกธร สะใภ้ใหญ่ตบเข่าด้วยความโมโหเด็กสาวของบ้านอี้ ย้อนกลับไปหลายปีก่อนในตอนที่เฉินเฟิ่นอี้ยังเรียนอยู่ในโรงเรียนประถมของตำบล ในตอนนั้นเด็กสาวน้อยมากที่จะถูกส่งเข้าเรียนในแถบชนบท หากไม่ใช่เพราะเป็นที่รักของครอบครัวจริง ๆ หรือพอมีเงินส่งเรียนบ้าง ในการศึกษาประถมชั้นปีสุดท้ายของเฉินเฟิ่นอี้หรือในตอนนั้นสิบสองปี หล่อนถูกหลานชายของเศรษฐีในตำบลที่เรียนด้วยกันถูกใจ จึงให้ผู้ใหญ่มาขอหมั้น อีกทั้งเฉินเฟิ่นอี้ยังบอกว่าหล่อนชอบเขาและตกลงที่จะหมั้นด้วย แม้คนในบ้านเฉินจะยังไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ นั่นคือหลานชายของเศรษฐีเชียวนะ! หากเฉินเฟิ่นอี้ได้แต่งเข้าสกุลหมิงอย่างน้อยก็สบายกว่ามาทำงานในแปลงนา ทั้งสองจึงคบหากันมาตั้งแต่นั้นและพอถึงเวลาเข้าโรงเรียนมัธยมต้น ทั้งสองก็เข้าไปในโรงเรียนเดียวกัน แต่ว่าครั้งนี้มีญาติผู้พี่จากสกุลอี้บ้านเดิมของผู้เป็นแม่เข้าร่วมกลุ่มด้วย เนื่องจากเพื่อนของหล่อนทางบ้านไม่ส่งเรียนต่อในระดับมัธยมต้น หากเจอเฉินเฟิ่นอี้ย่อมเจอหมิงหลานฮุ่ย หากเจอทั้งสองคนย่อมเจออี้เหม่ยเฟิ่ง ทั้งสามตัวติดกันมากไปไหนก็ไปด้วยกัน ทว่าหลัง ๆ มาเฉินเฟิ่นอี้ล้มป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ทั้ง ๆ ที่อีกไม่กี่เดือนก็จบมัธยมต้นแล้ว หมิงหลานฮุ่ยว่าที่หลานเขยของบ้านเฉิน ชอบตามอี้เหม่ยเฟิ่งที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับเฉินเฟิ่นอี้มาเยี่ยมหญิงคนรักหลังเลิกเรียนอยู่บ่อยครั้ง คนในบ้านเฉินแรก ๆ ก็พอใจในเด็กคนนี้มาก ทว่าหลัง ๆ มา เริ่มไม่พอใจในการกระทำของหมิงหลานฮุ่ย เพราะทุกครั้งที่เขามายังหมู่บ้านเฟิ่งหลิน หมิงหลานฮุ่ยจะติดตามอี้เหม่ยเฟิ่งไปยังบ้านอี้ก่อน เมื่อถึงเวลากลับถึงจะแวะมาหาเฉินเฟิ่นอี้ที่อาการเริ่มดีขึ้นเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ย่าเฉินเคยให้สะใภ้สี่ลูกสะใภ้คนเล็กไปเตือนหลานสาวจากบ้านเดิมของหล่อนเพราะมันไม่เหมาะสม เด็กคนนั้นก็รับปากว่าจะบอกหมิงหลานฮุ่ยให้ ทว่าเขากลับไม่พอใจและไม่ยอมมาที่บ้านเฉินอีกเลย จนมีข่าวลือว่าหมิงหลานฮุ่ยกับอี้เหม่ยเฟิ่งคบกัน และทั้งสองยังเหมาะสมกันมาก หมิงหลานฮุ่ยเป็นหลานชายของเศรษฐีในตำบลที่มีลูกชายคนเดียว อีกอย่างหมิงหลานฮุ่ยก็ยังเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านหมิง ในอนาคตเขาย่อมต้องขึ้นเป็นเจ้าบ้าน ส่วนอี้เหม่ยเฟิ่งก็เป็นหลานสาวของกรรมการในหมู่บ้าน ซึ่งพ่อของหล่อนก็กำลังจะขึ้นเป็นเลขาธิการเร็ว ๆ นี้ ไหนจะเรียนในระดับมัธยมปลายอีก ดีกว่าเฉินเหม่ยเฟิ่งที่ป่วยขี้โรคเป็นไหน ๆ ตอนแรกบ้านเฉินไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เพราะหมิงหลานฮุ่ยหมั้นกับเฉินเฟิ่นอี้แล้ว แต่อยู่ ๆ หลายวันก่อนพ่อของหมิงหลานฮุ่ยกลับมายกเลิกสัญญาหมั้นหมายแถมยังบอกอีกว่าสินสอดบางส่วนที่ให้มาแล้วจะไม่เอาคืน สร้างความไม่พอใจให้สมาชิกในบ้านเฉินเป็นอย่างมาก หากเอาสินสอดคืนพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าหมิงหลานฮุ่ยเหยียบย่ำจิตใจอันบอบช้ำของเฉินเฟิ่นอี้ด้วยการพาอี้เหม่ยเฟิ่งมาด้วย เฉินเฟิ่นอี้ที่ทนดูไม่ไหวถึงกลับทรุดตัวลงพื้นและนอนสลบไม่ได้สติมาหลายวันแล้ว ผู้ชายในออกไปทำงานเก็บแต้มเหมือนปกติ ส่วนผู้หญิงช่วยกันทำงานในบ้านและสลับกันดูหลานสาว “ฉันเอ็นดูเหม่ยเฟิ่งเหมือนลูกแท้ ๆ ไม่คิดว่าหล่อนจะเป็นแบบนี้” สะใภ้สี่ร้องไห้เสียงดัง ลูกสาวคนโตของหล่อนล้มป่วยมาหลายวันยังไม่ได้สติก็ปวดใจมากแล้ว ยังมีเรื่องของหลานสาวจากบ้านเดิมที่หล่อนเอ็นดูไม่ต่างจากลูก “พอได้แล้วสะใภ้ใหญ่ เธอก็เห็นแล้วว่าสะใภ้สี่เสียใจมากแค่ไหน” ย่าเฉินที่ป้อนข้าวหลานชายคนเล็กเงยหน้าขึ้นมาพร้อมทั้งเอ่ยปราม ผู้หญิงในบ้านเฉินจะหยุดทำงานในแปลงนาก็เมื่อมีเหตุจำเป็นไม่ก็ทำงานบ้านหรือป่วย ต่างจากบ้านหลังอื่นที่อยู่ในหมู่บ้านเฟิ่งหลินที่ต่อให้ใกล้ตายก็ต้องลากสังขารลงแปลงนา ต้องยกความดีความชอบให้กับเฉินหมิงและเฉินจง ลูกชายคนที่สามและหลานชายคนโตของบ้านที่ตอนนี้เป็นทหาร ทุก ๆ เดือนพวกเขาจะส่งเงินมาที่บ้านพร้อมคูปองต่าง ๆ ไม่อย่างนั้นบ้านเฉินคงไม่มีปัญญาส่งลูกส่งหลานเข้าเรียนทั้งหลานชายและหลานสาว ส่วนเด็กชายเด็กสาวในบ้านหน้าที่หลัก ๆ คือการเรียน เรียนเสร็จกลับมาถ้าไม่ช่วยทำงานในบ้านก็ต้องออกไปเก็บผักแลกแต้มค่าแรง ได้แต้มเดียวก็ยังดีกว่าไม่ได้ “คุณแม่ก็เข้าข้างหล่อน ถ้าฉันไม่รักเฟิ่นอี้ฉันจะบ่นไหม” เสียงด้านนอกห้องนอนดังมาก จนทำให้หญิงสาวที่หลับรู้สึกตัวตื่น แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบปลาย ๆ พยุงตัวขึ้นอย่างเมื่อยล้า ความทรงจำล่าสุดก็คือนอนอ่านนิยายแบบหามรุ่งหามค่ำให้สมกลับการลาออกจากงาน แต่ก็ไม่คิดว่าตื่นขึ้นมาเธอจะเมื่อยล้าขนาดนี้! คงเป็นเพราะอายุของเธอด้วย “เดี๋ยวนะ” แป้งร่ำเงยหน้าขึ้นมองรอบ ๆ ห้องของเธออย่างมึนงง คอนโดราคาเฉียดยี่สิบล้านเธอเพิ่งจ่ายงวดสุดท้ายไปเดือนก่อน ทำไมถึงได้เล็กและแคบแบบนี้ อีกทั้งยังมีกลิ่นอับชื้นที่ไม่ควรมีเพราะให้แม่บ้านทำความสะอาดทุกอาทิตย์ อยู่ ๆ ความทรงจำบางอย่างก็แล่นใส่หัวจนทนไม่ไหว แป้งร่ำทิ้งตัวลงนอนพื้นแข็งอย่างปวดหัว อยากกรีดร้องออกมาแต่ก็ทำไม่ได้เพราะเสียงของเธอแทบไม่มีก่อนจะหมดสติไปทั้งอย่างนั้น

บทที่ 1 นี่มันอะไรกัน

แป้งร่ำรู้สึกตัวขึ้นอีกทีตอนเย็นเพราะด้านนอกมีเสียงผู้คนมากมาย เธอจึงลุกขึ้นนั่งเพื่อทบทวนสติ และความทรงจำบางอย่างที่เพิ่งได้รับมาอย่างตกใจ ตอนนี้เธอไม่ใช่แป้งร่ำหญิงวัยกลางคนเหมือนเดิมแล้ว เธอคือเฉินเฟิ่นอี้สาวน้อยที่อยู่ในครอบครัวเฉินยุค 70

โชคดีที่บ้านเฉินมีแต่คนขยันจึงสามารถส่งหลาน ๆ เข้าเรียนในตำบลได้ ร่างของสาวน้อยที่เธออยู่ในตอนนี้มีอาการอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่แต่ก่อนมีร่างกายที่แข็งแรงมาก แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจเพราะช่วงหลัง ๆ มานี้ เฉินเฟิ่นอี้เหมือนจะจับได้ว่าคนรักของหล่อนเปลี่ยนไป จึงไม่ค่อยรับประทานอาหาร

ซึ่งสาวน้อยคนนี้น่าสงสารมากเพราะถูกคนรักและเพื่อนสนิทที่เป็นญาติผู้พี่หักหลัง ยังดีที่บ้านเฉินรักหลานอย่างเท่าเทียมกันไม่อย่างนั้นหล่อนคงถูกตีตาย

‘ชีวิตของฉันไม่มีอะไรให้ห่วง ต่อจากนี้ฉันขอให้เธอไปสู่สุคตินะเฉินเฟิ่นอี้ ฉันสัญญาว่าจะดูแลครอบครัวของเธอให้ดี’ แป้งร่ำในร่างของเฉินเฟิ่นอี้คิดในใจ ต่อจากนี้เธอคือเฉินเฟิ่นอี้ไม่ใช่แป้งร่ำอีกแล้ว

ถ้าถามว่าทำไมเธอถึงทำใจได้เร็วขนาดนี้ คงเป็นเพราะชีวิตของแป้งร่ำมีแต่การทำงาน แม้แต่การรับประทานอาหารตอนเช้าก็ยังไม่ทันได้แตะ พอได้ลาออกพักผ่อนดูมันก็รู้สึกดีแต่อย่าลืมว่าเธอทำงานมาทั้งชีวิตแล้ว พอรู้ตัวว่าตายจากโลกเดิมและมายังอดีตของคน ๆ หนึ่ง ที่หมดอายุไขไป ก็รู้สึกสงสารและเธอมาที่นี่คงไม่ใช่ความบังเอิญ

เฉินเฟิ่นอี้ตั้งสติก่อนลุกขึ้นเพื่อเดินออกมาดูด้านนอก จากความทรงจำของร่างเดิม ตอนนี้คงเป็นตอนเย็นเพราะหลังเลิกงานทุกคนจะเข้าบ้านมาพูดคุยก่อนแยกย้ายไปทำงานบ้าน จริง ๆ ก็นั่งพักนั่นแหละ ซึ่งห้องนี้เล็กมาก เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าประตูแล้ว

“เฟิ่นอี้!” สะใภ้สี่ที่เห็นประตูห้องนอนของลูกสาวคนโตเปิดก็รีบลุกมาดูอาการของลูกสาวทันที วันนี้เป็นวันที่ห้าที่หล่อนหมดสติ หากหล่อนไม่ฟื้นสะใภ้สี่คงจะสำนึกผิดไปตลอดชีวิต

เพราะเห็นว่าหลานสาวจากบ้านเดิมไม่มีเพื่อน สะใภ้สี่จึงเป็นคนบอกให้หล่อนเข้าหาญาติผู้น้องอย่างเฉินเฟิ่นอี้ แต่ใครจะรู้ว่าหล่อนเป็นงูพิษ แย่งแม้กระทั่งคู่หมั้นน้องสาวตนเองได้

“คะ…คุณแม่” เฉินเฟิ่นอี้มีสีหน้าตกใจก่อนจะมีน้ำตาไหลออกจากดวงตางดงาม แม่ของเฉินเฟิ่นอี้มีใบหน้าที่เหมือนกับแม่ของเธอที่เสียชีวิตไปแล้วไม่มีผิด

“เฟิ่นอี้ของแม่”

ท่ามกลางความเงียบที่หันมามองสองแม่ลูก ผู้หญิงในบ้านที่เฝ้าหลานสาวต่างพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก เฉินเฟิ่นอี้ฟื้นแล้วพรุ่งนี้ทุกคนจะได้ไปทำงานสักที

“ดี ๆ หลานสาวสามฟื้นแล้ว” เฉินอี้หรือก็คือลุงใหญ่ของบ้านเฉินเอ่ย

“ต่อไปนี้สะใภ้สี่ก็ห่าง ๆ กับบ้านเดิมด้วยก็แล้วกัน ตาเฒ่าอี้กับยายแก่อี้เข้าข้างหลานสาวของพวกเขา เหยียบย่ำหลานสาวอีกคน คนแบบนี้ไม่สมควรเป็นตาเป็นยายใคร!”

ปู่เฉินโพล่งขึ้นมาอย่างโมโห ไม่ได้โมโหให้ลูกสะใภ้แต่โมโหให้บ้านอี้ต่างหาก จริงอยู่ที่หลานสายในกับหลานสายนอกมันต่างกัน แต่อย่าลืมสิทั้งสองคนก็เป็นหลานเหมือนกัน เพราะความอยากได้โดยไม่สนถูกผิดสนับสนุนหลานสาวแย่งคู่หมั้นคนอื่น

“ค่ะ ฉันรู้แล้ว” สะใภ้สี่ตอบพ่อสามีพร้อมพยุงตัวลูกสาวนั่งลงพื้นที่มีโต๊ะรับประทานอาหารอยู่ด้านหน้า

“พี่สาวฟื้นแล้ว! ฉันอยากให้พี่สอนวิชานี้ให้มาก ๆ เลยค่ะ!” เฉินเหม่ยเย่น้องสาวสี่หรือก็คือหลานสาวคนเล็กของบ้าน ที่มีพ่อแม่คนเดียวกันกับเฉินเฟิ่นอี้ร้องบอก

เฉินเฟิ่นอี้เป็นเด็กผู้หญิงที่เรียนเก่งมาก เรียกได้ว่าเธออยู่อันดับต้น ๆ ของชั้นปีเลยก็ว่าได้ แต่น่าเสียดายที่ล้มป่วยกลางคันซะก่อน ไม่อย่างนั้นคงขึ้นชั้นมัธยมปลายแล้ว ตอนแรกเฉินเฟิ่นอี้ไม่ยอมลาออกจากโรงเรียนเพราะเธอเรียนมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว แต่เพราะยิ่งเรียนอาการยิ่งหนักและเป็นช่วงที่ลุงสามของบ้านกลับมาพอดี เขาจึงยื่นคำขาดหากอยากเรียนเขาจะพาไปที่กองทัพด้วย เฉินเฟิ่นอี้ที่ได้ยินว่ากองทัพก็รีบตกลงลาออกทันที

“เหม่ยเย่จ๊ะ หลานต้องรอพี่สาวสามหายดีก่อนนะ” สะใภ้รองกล่าวยิ้ม ๆ อย่างเอ็นดูหลานสาว

รุ่นปัจจุบันของบ้านเฉินมีทั้งหมด 9 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 5 คนผู้หญิง 4 คน ซึ่งตอนนี้เฉินจงพี่ชายใหญ่ของบ้านตามผู้เป็นอาไปทำงานในกองทัพทหาร พี่สาวใหญ่เฉินเจียอี๋แต่งงาน 2 ปีก่อนกับคนในตำบล ตอนนี้มีลูกสาวชื่อเหรินอี้หล่อนหนึ่งปีแล้ว พี่สาวรองเฉินเยี่ยนฉิงเพิ่งแต่งงานไปปีก่อนกับคนในหมู่บ้านข้าง ๆ ปัจจุบันยังไม่มีลูก

ส่วนคนที่เหลือในบ้านก็ยังเรียนอยู่ยกเว้นเฉินเฟิ่นอี้พี่สาวสามที่ลาออกจากโรงเรียนไปแล้ว เฉินไห่หลิวน้องชายรองและเฉินตงน้องชายสามตอนนี้กำลังเรียนในระดับมัธยมต้น เฉินเหม่ยเย่น้องสาวสี่และเฉินจางน้องชายสี่ตอนนี้เรียนระดับประถม ส่วนน้องชายคนเล็กของบ้านอย่างเฉินชิงชิงน้องชายห้าเพิ่งสองขวบปี จึงอยู่ในความดูแลของสะใภ้สี่ผู้เป็นแม่ และย่าเฉินที่หลงหลานชายคนเล็ก

“ไม่เป็นไรค่ะป้าสะใภ้รอง ฉันหายดีแล้ว” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของเธอซีดเซี่ยวอยู่

“หายดีอะไรกัน! ไป ๆ สะใภ้ใหญ่พาเหล่าน้องสะใภ้ไปทำอาหาร” ย่าเฉินว่าหลานสาว ก่อนจะบอกลูกสะใภ้ให้ไปทำอาหารมื้อเย็นของวันนี้ได้แล้ว

“ค่ะ”

เฉินเฟิ่นอี้ได้โอกาสเหลือบมองทุกคนอย่างละเอียด ทุกคนไม่ได้ผอมเหมือนชาวบ้านคนอื่นแต่ก็ไม่ได้อวบอ้วน ง่าย ๆ ก็คือได้รับสารอาหารครบถ้วน และเหมือนว่าในแต่ละวันทุกคนจะได้รับประทานไข่ไก่ต้มคนละครึ่งลูก

ประตูในบ้านเยอะมากบางประตูติดกันก็มี ในความทรงจำก็คือทุกคนมีห้องแยกเป็นของตนเอง แต่มันเป็นเพียงห้องเล็ก ๆ ที่พอนอนได้เท่านั้น สมาชิกทั้งหมดมีถึงสิบแปดคนแน่นอนว่าบ้านหลังแค่นี้มันไม่พอ ด้านนอกยังมีการต่อเติมยื่นออกไปจากตัวบ้านอีก

“เหม่ยเย่จ๊ะพาพี่ชายน้องชายหลานไปเก็บผักหลังบ้านให้ที” สะใภ้สามที่ตามพี่สะใภ้ออกไปไม่นานกลับเข้ามาบอกหลานสาว

“ได้ค่ะ”

เฉินเหม่ยเย่พยักหน้ารีบเก็บการบ้านที่กำลังใส่กระเป๋า เมื่อถึงเวลาทำงานบ้าน ต่อให้เป็นการบ้านที่สำคัญหล่อนก็ต้องทำงานบ้านก่อน พอลุกขึ้นหล่อนชะงักเล็กน้อยเพราะถูกกระตุกแขนเสื้อ

“คะ?” เฉินเหม่ยเย่เอียงศีรษะมองพี่สาวอย่างไม่เข้าใจ

“พี่ไปด้วย”

“ได้ค่ะ”

เฉินเฟิ่นอี้มองบรรดาน้องชายน้องสาวที่ช่วยกันเก็บผักในสวนผักหลังบ้าน เธอได้รับอนุญาตให้ตามมาด้วยแต่ไม่ให้ช่วยน้อง ๆ เก็บเพราะเพิ่งฟื้น มือเล็กยกขึ้นไขว่หลังมองบ้านเฉินที่หลังไม่เล็ก คงเป็นเพราะการต่อเติมตลอด จากบ้านหลังเล็กจึงดูใหญ่เมื่อเทียบกับบ้านใกล้ ๆ

บ้านเฉินมีเนื้อที่ทั้งหมด 3 หมู่ แบ่งเป็นบ้าน 2 หมู่ และการทำสวนผักรวมถึงเลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด และเลี้ยงหมู่อีก 1 หมู่ ซึ่งมากกว่าหลายบ้านด้วยซ้ำ ส่วนมากจะมีแค่ 1 – 2 หมู่ เท่านั้น ที่สำคัญยังเป็นบ้านดินผสมฟางอีก

ปี 1970 ยังมีการจำกัดจำนวนการเลี้ยงไก่ 2 คน สามารถเลี้ยงไก่ได้ 1 ตัว ที่บ้านมีทั้งหมด 18 คน จึงเลี้ยงไก่ได้ทั้งหมด 9 ตัว และพวกมันก็ออกไข่ทุกวัน บ้านหลังอื่นจะนำไข่ไปขายแต่ไม่ใช่บ้านเฉินที่ให้ทุกคนรับประทาน

ติ้ง!

[ระบบเชื่อมต่อสำเร็จแล้ว ผู้เชื่อมต่อโปรดกดตกลง]

เฉินเฟิ่นอี้รีบมองไปยังสวนผักที่น้อง ๆ กำลังเก็บอยู่ ทุกคนไม่ได้หันมามองทางนี้ และด้านหน้าของเธอปรากฏแผ่นใส ๆ บางอย่างที่มีตัวหนังสือ มุมซ้ายล่างมีคำว่ายกเลิก ส่วนมุมขวาล่างมีคำว่าตกลง

“นี่คืออะไร” เฉินเฟิ่นอี้พึมพำและไม่มีท่าทีว่าจะกดเลย ไม่มีคำอธิบายใด ๆ เธอจะกดทำไม

‘นายหญิงรีบ ๆ กดตกลงนะ! ข้าต้องทำงานต่อ’

อยู่ ๆ ก็มีเสียงที่ดังขึ้นมาภายในหัวเฉินเฟิ่นอี้ตกใจจนเดินถอยหลัง แต่ยิ่งเดินเจ้ากระดานใสก็เดินตาม เหมือนกับว่ามันติดตัวเธออยู่ จนกระทั่งมาหยุดในที่ไม่มีคนเฉินเฟิ่นอี้จึงตัดสินใจถามเสียงในหัว

“ตกลงจะไม่บอกใช่ไหมว่าคืออะไร” เฉินเฟิ่นอี้กระตุกยิ้ม นี่คงเป็นสุดยอดการโกงเหมือนกับนิยายที่เธออ่านล่าสุดสินะ เธอโชคดีจริง ๆ อย่างน้อยก็คงไม่ลำบาก

‘ข้าคือระบบสุดแกร่งที่มาเพื่อช่วยนายหญิงยังไงล่ะ”

น้ำเสียงยียวนทำให้เฉินเฟิ่นอี้ขมวดคิ้ว นี่คือระบบของเธออย่างนั้นเหรอ! ไม่เอาแล้วได้ไหมเหมือนมันจะไม่ถูกชะตากับเธอเลย แต่เหมือนมันจะรู้ทันจึงบอกวิธีใช้ตัวมันเอง

‘ก็ได้ ๆ ข้าเป็นระบบที่มีภารกิจให้นายหญิงทำ หากทำภารกิจสำเร็จก็จะได้รับรางวัลตอบแทน แน่นอนว่านายหญิงไม่มีทางรู้ว่ารางวัลคืออะไร ในหนึ่งวันจะได้รับหนึ่งภารกิจ ครบหนึ่งร้อยภารกิจนายหญิงจะได้วันละสองภารกิจ อีกอย่างภารกิจแต่ละอย่างก็มีแต้มสะสมแล้วแต่ความยากง่าย มันสามารถแลกกับของในระบบได้หลายอย่าง ซึ่งระบบแลกแต้มของนายหญิงที่สามารถเปิดได้ก็ต่อเมื่อมีคะแนนถึงหนึ่งพันแต้ม’

เฉินเฟิ่นอี้ประมวลคำอธิบายอยู่ครู่หนึ่งหนึ่งจึงสามารถเข้าใจได้ หมายความว่าหากเธอทำภารกิจทุกวันจนครบหนึ่งร้อยภารกิจ เธอจะสามารถเพิ่มภารกิจในแต่ละวันได้ และยังสามารถแลกแต้มสะสมได้อีก นี่มันโชคหล่นทับชัด ๆ

“แล้วแต่ละภารกิจจะได้กี่แต้ม”

‘ภารกิจต่ำหนึ่งถึงสิบแต้ม’

“หะ หาาา”

เธอต้องทำภารกิจอีกกี่ชาติกันถึงจะเปิดระบบแลกของได้! สิบแต้มคูณหนึ่งร้อยวันก็ได้หนึ่งพันแต้มพอดี แต่อย่าลืมสิว่าภารกิจไม่ได้สิบแต้มตลอด

‘รีบ ๆ กดปุ่มเร็ว ใกล้หมดเวลาแล้ว”

เร็วเท่าความคิดมือขวาส่งไปกดปุ่มตกลงทันที แผ่นกระดานใสที่ลอยอยู่ตรงหน้ากระพริบหลายครั้งจนมีข้อความบางอย่างขึ้นมา ซึ่งมันเป็นภารกิจแรกที่ทำให้เธอต้องท้อ

[ภารกิจที่ 1 : ช่วยน้องชายน้องสาวเก็บผักเพื่อรับ 1 แต้ม]

ภารกิจแรกก็หนึ่งแต้มเลยเหรอ! นี่คือระบบที่มาช่วยเธอหรือมาแกล้งเธอกันแน่ ทุกคนยังไม่ยอมให้เธอทำงาน แต่ระบบสั่งให้เธอไปช่วยเก็บผักที่เด็ก ๆ เก็บใกล้เสร็จแล้ว แต่ยังไงก็เก็บไม่นานหรอกหรอกมั้ง

เฉินเฟิ่นอี้ชั่งใจก่อนจะเดินไปหาเด็ก ๆ ในสวนผัก เอาล่ะ ถึงภารกิจจะสะสมเพียงหนึ่งแต้ม แต่มันยังมีรางวัลพิเศษให้อยู่ ซึ่งเธอหวังว่ามันจะเป็นของดี

บทที่ 2 ระบบเส็งเคร็ง

ซะเมื่อไหร่ล่ะ!

เฉินเฟิ่นอี้มองไข่ไก่ในมือของเธอหนึ่งฟองอย่างอึ้ง ๆ นี่คือรางวัลภารกิจแรกที่เธอไปช่วยน้องสาวเก็บผัก อุตส่าห์ลงทุนช่วยขุดหัวมันแต่เธอได้ไข่ไก่ตอบแทนนี่นะ ระบบเส็งเคร็งนี่เอาเปรียบเธอมาก!

[ภารกิจและการรับรางวัลพิเศษเสร็จสิ้นแล้ว กดตกลง]

เสียงในหัวยังดังต่อเนื่องเมื่อเฉินเฟิ่นอี้ยังมองไข่ไก่ในมือ หากหญิงสาวไม่กดตกลงภารกิจก็จะถือว่ายังไม่เสร็จสิ้น เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจก่อนจะวางไข่ไก่ลงในตะกร้าไข่ที่เธอไปเก็บมา รวมกันแล้วอย่างน้อยก็มีสิบสองฟองแหละ

ร่างบอบบางหิ้วตะกร้าไข่ไก่เข้าไปยังห้องครัวที่มีบรรดาป้าสะใภ้และแม่ของเธอกำลังทำอาหารอยู่ เฉินเฟิ่นอี้หยุดอยู่หน้าเตาทำอาหาร ที่มีสะใภ้รองกำลังย่างแผ่นแป้งอยู่

“ป้าสะใภ้รองฉันช่วยค่ะ”

ไม่ว่าเปล่าเฉินเฟิ่นอี้รีบนำตะกร้าไข่ไก่ไปวางบนโต๊ะ ก่อนที่จะมาช่วยผู้เป็นป้าสะใภ้ย่างแผ่นแป้ง มันเป็นอาหารมื้อเช้าของคนที่จะไปลงแปลงนาพรุ่งนี้ เพื่อย่นเวลาทำอาหารจึงต้องทำตอนนี้ พรุ่งนี้เช้าก็แค่อุ่น

“อั๊ยย่ะ เฟิ่นอี้ไม่ต้อง ๆ หลานเพิ่งฟื้นก็ควรที่จะพักผ่อนให้มาก แค่นี้ป้าทำเองคนเดียวได้” เพราะพี่สะใภ้ น้องสะใภ้ต่างแบ่งงานกันอย่างยุติธรรม นี้คืองานของหล่อน หล่อนจึงกลัวว่าจะถูกแม่สามีต่อว่าที่ให้หลานสาวช่วย

ปกติเฉินเฟิ่นอี้จะทำอาหารช่วยป้าสะใภ้หรือแม่ของเธอที่จะกลับมาทำอาหารมื้อกลางวัน แต่พอมีอาการป่วยเข้ามาแทรกงานในครัวก็แทบจะไม่ได้แตะ หน้าที่นี้จึงตกไปเป็นของน้องสาวสี่ของเธอแทน เพียงแต่วันนี้หล่อนมีการบ้านที่ต้องทำ จึงไม่ได้เข้ามาช่วย

“ป้าสะใภ้รองถ้าไม่ให้ฉันช่วย ฉันคงไม่หายป่วยง่ายแน่ ๆ ค่ะ” เฉินเฟิ่นอี้กล่าวยิ้ม ๆ

พอป่วยทุกคนก็ไม่ให้ช่วยทำงานในแปลงนา งานในบ้านก็แทบจะไม่ได้แตะเพราะอาการป่วยและถูกห้าม เมื่อไม่ได้ออกแรงอาการป่วยของเธอจึงทรุดตัวลงเพราะไม่แข็งแรง เนื่องจากบ้านของเฉินเฟิ่นอี้อยู่ในชนบทและไม่มีรถจักรยาน ทำให้การเดินทางไปโรงพยาบาลในอำเภอเป็นเรื่องที่ยากมาก

ลุงสามเคยปรึกษาเรื่องนี้กับคนที่บ้านว่าจะพาเฉินเฟิ่นอี้ไปรักษาในเมือง เพราะการรักษาในเมืองพัฒนามากกว่าอยู่ในแถบชนบทแบบนี้ อีกอย่างเขาก็มีสวัสดิการทหาร ลุงสามไม่มีภรรยาและลูกจึงเอ็นดูหลานสาวในบ้านเป็นที่สุด

“เฟิ่นอี้ทุกคนเป็นห่วงลูกมากนะ” สะใภ้สี่ที่เห็นว่าลูกสาวคนโตของหล่อนขัดพี่สะใภ้ก็รีบเอ่ยท้วงทันที

“แม่คะ แม่ไม่ต้องห่วงฉันค่ะ ฉันอาการดีขึ้นมาก” เฉินเฟิ่นอี้พูดจริง ๆ อาการปวดตามร่างกายตอนนี้เริ่มหายไปแล้ว แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามใคร

“เอาน่าสะใภ้สี่ เฟิ่นอี้อยากช่วยเราก็ปล่อยให้หลานช่วย” สะใภ้สามส่ายหน้าพร้อมกับหั่นผักที่หลานสาวเก็บมาให้

“เฮ้อ พวกพี่ก็เข้าข้างหล่อน”

เด็กสาวบ้านเฉินช่างโชคดีจริง ๆ ที่ได้เกิดมาในบ้านหลังนี้ หากเป็นบ้านหลังอื่นต่อให้ป่วยหรือใกล้ตายก็ต้องทำงานให้เสร็จ เปรียบเทียบได้กับบ้านข้าง ๆ ที่ตอนนี้มีเสียงด่าทอออกมาให้ได้ยิน และไม่ใช่แค่หลังเดียวยังมีหลังอื่นอีก ซึ่งที่นี่มันเป็นเรื่องปกติมากยกเว้นบ้านเฉิน

“น่าสงสารหลานสาวบ้านหลี่จริง ๆ” สะใภ้ใหญ่พึมพัม

บ้านหลี่ที่ว่าก็เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันนี่เอง บ้านหลี่มีสมาชิกพอ ๆ กันกับบ้านเฉิน แต่ทุกคนทำงานแค่ในแปลงนาและมีเพียงหลานชายที่ถูกส่งเรียน จะว่าหลานชายก็ไม่ถูก เป็นหลานชายจากลูกชายคนโตของบ้านที่บ้านหลี่ส่งเรียน

ทุกคนส่ายหน้าเพราะนี่คือเรื่องปกติของหลาย ๆ บ้าน แม้แต่บ้านเดิมของเหล่าสะใภ้ก็เป็นเช่นนี้ พอแต่งเข้าบ้านเฉินที่ยอมกัดฟันส่งลูกชายคนที่สามเข้าเรียนและได้เป็นถึงทหาร ความคิดของสะใภ้ก็เปลี่ยนไปมากจากคำสอนของแม่สามี แรก ๆ พวกหล่อนไม่ถูกกันเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะมีพ่อสามี แม่สามี และบรรดาพี่สามี น้องสามี สามี พวกหล่อนก็สามัคคีกันขึ้นมา

“เราก็ช่วยหล่อนไม่ได้หรอก”

เฉินเฟิ่นอี้นั่งย่างแผ่นแป้งพร้อมเก็บข้อมูลไปด้วย เธอมีความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมก็จริง แต่เหมือนหล่อนจะไม่คบค้าสมาคมกับใคร จึงทำให้ไม่ค่อยได้รู้จักคนอื่น ๆ มากนัก

[ภารกิจพิเศษ : สอนน้องสาวทำการบ้านเพื่อรับ 7 แต้ม]

อยู่ ๆ เสียงระบบเส็งเคร็งที่เธออาสาตั้งชื่อให้ใหม่ก็ดังขึ้นในหัวพร้อมแผ่นกระดานใสที่ลอยอยู่ตรงหน้า เธอสะดุ้งจนป้าสะใภ้รองทักขึ้นมา เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าเพราะอีกฝ่ายคงไม่เห็นแผ่นกระดานใสด้วย

เฉินเฟิ่นอี้รีบย่างแผ่นแป้งที่เหลือเพื่อไปให้ทันน้องสาวที่ทำการบ้านอยู่ ภารกิจพิเศษหรือทำไมระบบไม่ได้บอกเธอก่อน ขอให้มีเวลาทำใจก่อนก็ไม่ได้หรือยังไง อีกอย่างแผ่นแป้งต้องย่างถึงยี่สิบแผ่น เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่กล้าขอตัวหยุดทำ ก็เมื่อกี้เธอเป็นคนอาสาทำเอง หากขอตัวออกไปคงโดนแม่เธอดุแน่

แผ่นแป้งถูกพลิกไปมาอย่างคล่องแคล่ว ยังดีที่เธอมีสกิลการทำอาหารติดตัวและเฉินเฟิ่นอี้ทำอาหารเป็นอยู่แล้ว แผ่นแป้งยี่สิบแผ่นจึงใช้เวลาไม่นาน

เฉินเฟิ่นอี้รีบล้างมือให้สะอาดจากพร้อมทั้งเดินเข้าไปในบ้าน ยังดีที่เฉินเหม่ยเย่ยังทำการบ้านไม่เสร็จ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่ได้เจ็ดแต้มแน่ ซึ่งต่อให้เป็นคะแนนเดียวเธอก็จะทำอยู่ดี

“พี่มาสอนฉันใช่ไหมคะ!” เฉินเหม่ยเย่เอ่ยอย่างตื่นเต้น หล่อนทำการบ้านวิชานี้ไม่เป็นจริง ๆ จะถามพี่ชายก็ยังไม่ได้เพราะทุกคนกำลังทำการบ้านตนเองให้เสร็จก่อนรับประทานอาหาร

“อืม”

เฉินเฟิ่นอี้นั่งลงตรงข้ามน้องสาวที่ดวงตาเป็นประกาย เธอรับสมุดวิชาคณิตศาสตร์มาพลิกดู ในความทรงจำของเธอเฉินเหม่ยเย่หล่อนไม่ชอบวิชานี้เอามาก ๆ จึงไม่แปลกใจที่จะเรียนไม่เข้าใจ ซึ่งจะโทษหล่อนฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เพราะจากการอ่านคร่าว ๆ มันเป็นวิชาที่เลยวัยของหล่อน!

“ตัวนี้คือตัวอะไร เธอต้องรู้จักตัวนี้ก่อน ค่อยนำมาบวกกับตัวนี้และลบตัวนี้” เฉินเฟิ่นอี้ที่ทำความเข้าใจคร่าว ๆ ชี้ให้น้องสาวดู ชีวิตก่อนเธอเป็นพนักงานบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินก่อนขึ้นเป็นเลขา ไหนจะเป็นวิชาที่ถนัดของเฉินเฟิ่นอี้อีก จึงไม่แปลกที่เธอจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

“อ้อ ฉันนึกว่าต้องลบตัวนี้ก่อนค่ะ” เฉินเหม่ยเย่ยกมือขึ้นเกาหัว แอบมองน้องชายสี่หรือก็คือเฉินจางที่แอบทำตาม

“ลบได้เหมือนกันแต่มันค่อนข้างจะยุ่งยาก”

ต่อให้เธอสามารถบอกอีกฝ่ายว่าต้องทำยังไงแต่เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้เฉลยให้หล่อนทราบ หากหล่อนทำผิดก็แค่สอนใหม่ แต่ถ้าเฉลยไปแล้วครั้งหน้าหล่อนก็จะทำไม่ได้อีก จริง ๆ การบ้านแบบนี้จะมีไม่บ่อยนักเพราะทางโรงเรียนรู้สถานการณ์ทางบ้านของเด็กที่เลิกเรียนแล้วก็ต้องมาทำงานเก็บแต้ม

แต่ส่วนมากการบ้านที่ได้รับจะเป็นเด็กที่ไม่เข้าใจในวิชานี้หรือไม่ก็มีคะแนนเก็บที่น้อยและสอบไม่ผ่านบ้าง ซึ่งหากคะแนนยังน้อยอยู่ซ้ำ ๆ ทางโรงเรียนก็จะโดนต่อว่า

“เสร็จแล้ว!” เฉินเหม่ยเย่วางดินสอพร้อมทั้งถอนหายใจ หล่อนได้รับการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ทุกวัน เพราะคุณครูบอกว่าคะแนนวิชานี้ของเธอน้อย จึงต้องเพิ่มคะแนนด้วยการส่งงานให้ครบ

“อาหารเสร็จพอดี”

เป็นเวลาเดียวกับผู้หญิงในบ้านยกอาหารเข้ามาในห้องโถง เด็ก ๆ ที่ทำการบ้านรีบเก็บอุปกรณ์ทันที หากทำไม่เสร็จก็ค่อยทำหลังรับประทานอาหาร หรือหากมันมืดแล้วก็รอทำพรุ่งนี้เช้า แต่ตอนนี้ทุกคนทำการบ้านเสร็จพอดี หลังรับประทานอาหารเสร็จจะได้อาบน้ำและเข้านอน

เช้าวันใหม่เฉินเฟิ่นอี้กำลังเก็บผักในสวนหลังบ้าน ผู้ใหญ่ออกไปทำงานเก็บแต้มตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ส่วนเด็ก ๆ ก็ไปเรียนตั้งแต่เช้า ในบ้านจึงเหลือเพียงเฉินเฟิ่นอี้ ย่าเฉิน และเฉินชิงชิงน้องชายตัวน้อยของเธอ

ภารกิจในวันนี้คือการทำอาหารมื้อกลางวันไปส่งที่แปลงนา ซึ่งที่บ้านจะรับประทานแผ่นแป้งเป็นอาหารเช้าเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนอาหารมื้อกลางวันเหล่าสะใภ้จะกลับมาทำอาหารเพื่อนำไปรับประทานที่แปลงนาและสลับกัน อย่างเมื่อวานเป็นสะใภ้ใหญ่และสะใภ้สี่ วันนี้จึงเป็นสะใภ้รองและสะใภ้สาม

เฉินเฟิ่นอี้ทำการขออนุญาตย่าเฉินแล้วเรื่องการทำอาหารไปส่งที่แปลงนา จริง ๆ ต่อไปนี้เธออาจได้ทำอาหารไปส่งตลอดเพราะไม่อยากให้ทุกคนได้เหนื่อย อีกอย่างที่ต้องขออนุญาตเพราะวันนี้เธอไม่ได้บอกใครว่าจะทำอาหารไปส่งเอง

ย่าเฉินไม่ได้ลงแปลงนาแล้วเนื่องจากอายุที่เยอะขึ้น ทั้งต้องการเลี้ยงหลานชายคนเล็กเอง คนในบ้านต่างเห็นด้วยและบอกปู่เฉินเหมือนกันให้หยุดทำงานในแปลงนา แต่ปู่เฉินไม่ยอมเพราะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในบ้านมันมีมาก ทุกคนจึงให้ปู่เฉินรับแต้มที่น้อยลงแทนอย่างน้อยก็คงไม่ได้เหนื่อยมาก

“เฟิ่นอี้หลานจะทำอะไรน่ะ”

มือที่กำลังตอกไข่ใส่ถ้วยชะงัก เฉินเฟิ่นอี้มองคนที่เข้ามาใหม่เป็นย่าเฉินและเฉินชิงชิง เธอจะทำไข่เจียวน้ำ ก่อนจะตอบผู้เป็นย่าด้วยรอยยิ้ม

“ฉันจะทำไข่เจียวน้ำค่ะ ได้ซดน้ำซุปร้อน ๆ คงดีไม่น้อย” เพราะเมื่อเช้าทุกคนได้รับประทานเพียงแผ่นแป้งที่ฝืดคอ และดูเหมือนว่าทุกคนจะชินกันยกเว้นเธอ!

“ไข่เจียวน้ำ? ไข่เหรอ เฟิ่นอี้มันสิ้นเปลืองนะ!” ย่าเฉินว่าอย่างไม่เห็นด้วย นางไม่ได้งกเรื่องอาหารแต่ส่วนมากไข่จะทำเป็นอาหารมื้อเย็น

“คุณย่าคะ ตอนนี้ทุกคนกำลังทำงานในแปลงนาต้องการพลังงานเป็นอย่างมาก ฉันคงทำผักต้มไปส่งไม่ได้จริง ๆ เมื่อเช้าทุกคนก็รับประทานเพียงแผ่นแป้งแข็ง” เฉินเฟิ่นอี้อธิบาย ถึงไข่น้ำจะเป็นอาหารที่ไม่เหมาะเท่าไรแต่มันก็ไม่มีเมนูให้เลือกแล้ว ในบ้านมีเพียงผักและไข่

จะผัดผักใส่ไข่ก็จะสิ้นเปลืองน้ำมันมากไหนจะปรุงรสอีก เฉินเฟิ่นอี้จึงตัดสินใจเจียวไข่และทำไข่น้ำที่ใส่ผักมีประโยชน์แทน คงต้องหาเงินและซื้อของเข้าบ้านแล้ว ถึงที่บ้านจะไม่ได้ขัดสนและไม่ได้ขี้เหนียวแต่ก็ไม่ได้ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย อีกอย่างปีหน้าเฉินไห่หลิวและเฉินตง ต้องเข้าไปเรียนมัธยมปลายในอำเภอจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก

“มันก็จริง” ย่าเฉินพยักหน้า ผักต้มแม้จะรับประทานมาตลอดแต่มันก็ช่วยเพียงอิ่มท้อง ส่วนเรี่ยวแรงหรือก็เหมือนเดิม

เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มเมื่อย่าเฉินเห็นด้วย เธอแบ่งไข่สองฟองทำไข่ตุ๋นยอดตำลึงให้น้องชายและย่าเฉินรับประทาน ส่วนไข่เจียวน้ำนั้นใช้ไข่สิบฟองและเธอจะไปรับประทานอาหารพร้อมคนอื่นในแปลงนาเลย รอเก็บหม้อกลับมาด้วย

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0