คนนั้นถือกระเป๋าHermes คนโน้นใส่แหวนเพชรเม็ดโต สมัยนี้เราอาจจะรู้ได้ว่าใครมีกินจากการแต่งตัว ด้วยของหรูหรา แบรนด์เนมอะเนอะ ว่าแต่สมัยก่อน เค้ามีไอเทมหรือการแต่งตัวที่แสดงฐานะแบบไหนกัน จะมีชิ้นไหนแปลกๆ บ้างมั้ย ไปดูกันค่า
ฟันดำ
แฟชั่นฟันดำนี้ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ได้รับความนิยมในหลายพื้นที่ แต่ในแต่ละประเทศก็มีที่มาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อย่างในญี่ปุ่น แฟชั่นฟันดำที่เรียกว่า“Ohaguro” นิยมทำกันในกลุ่มขุนนาง โดยใช้สีย้อมฟันจากส่วนผสมของผงเหล็ก น้ำส้มสายชู ชา และเหล้าจากข้าว ส่วนสาเหตุที่ต้องย้อม มีคนสันนิฐานว่า ฟันเฉยๆ เนี๊ยะ จะมีสีออกเหลืองซะมากกว่า แล้วผู้หญิงเมื่อก่อนต้องทาหน้าขาวจั๊วะ เลยทำให้ฟันยิ่งดูเหลืองเข้าไปใหญ่ ถ้าทาให้ดำไปเลย จะได้บดบังฟันเหลืองๆ นี้ซะ แถมส่วมผสมที่ใช้ทา ช่วยทำให้ฟันแข็งแรงขึ้นด้วย เลยกลายเป็นใครมีฟันดำจะดูสุขภาพดีซะงั้น
ส่วนอีกซีกโลกนึงอย่างอังกฤษ ในสมัยของควีนเอลิซาเบธที่1 สมัยนั้นน้ำตาลเป็นของที่หายาก เพราะต้องนำเข้ามาจากแอฟริกาเหนืออย่างโมร็อกโกหรือบาบารี เฉพาะคนมีฐานะหรือขุนนางเท่านั้น จึงจะสามารถมีน้ำตาลมากินใช้ ได้มากพอจนตัวเองฟันผุ ต้นแบบหลักเลยคือควีนเอลิซาเบธที่1 ผู้ทรงโปรดน้ำตาลเป็นพิเศษ จนฟันของพระองค์ผุและดำ ไปๆ มาๆ ฟันผุเลยกลายเป็นแฟชั่นคนรวยซะงั้น ชาวบ้านที่ไม่มีน้ำตาลกิน เลยเอาสีมาทาให้ฟันดำบ้างซะเลย จะได้ดูมีตังค์กะเค้าบ้าง
ปกคอข๊าวขาว
ในอังกฤษ ช่วงศตวรรษที่16 -17 การที่ใครมีปกคอหรือข้อมือเสื้อสีขาวที่ดูสะอาดสุดๆ จะถือว่าเป็นชนชั้นสูง เพราะการรักษาความสะอาดให้เสื้อผ้าสีขาวที่ดูเลอะได้ง่าย เป็นเรื่องที่ยาก เพราะแบบนี้เวลาเราไปดูรูปวาดคนสมัยก่อน เลยจะเจอคนใส่ชุดที่มีปกคอสีขาวอยู่บ่อยๆ ยังไงละ จะมีรูปวาดตัวเองทั้งที ก็ต้องใส่ชุดที่ดูรวยหน่อยเนอะ
แนวคิดปกขอขาวยังส่งต่อไปยังแฟชั่นเสื้อเชิ้ตคุณผู้ชายในช่วงศตวรรษที่19 อีกด้วย ว่ากันว่าชายใดมีปกคอเสื้อที่ขาวสะอาดเอี่ยม แสดงว่าฐานะดีเพราะไม่ต้องทำงานใช้แรงงาน แถมสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าได้บ่อยระหว่างวันเพื่อรักษาไม่ให้เสื้อสีขาวนั้นเปื้อน(คือเป็นคนรวยมีหลายชุด) นอกจากนั้น ความสูงของปกคอก็มีผล ถ้าปกคอต่ำ ขยับง่ายคล่องตัว แสดงว่าเป็นคนใช้แรงงาน ถ้าปกคอสูงม๊ากมาก คือรัดติดคอ จนหายใจยังรำคาญ นั้นแหละค่ะ คือรวย(ฮ่า)
วิกผม
ย้อนกลับไปในช่วงปี1580 ยุโรปเจอปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพัทธ์อย่าง ซิฟิลิส ระบาดไปทั่ว ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อย มีรอยผื่นแผล ตาบอด และรวมถึงผมร่วงศีรษะล้านอีกด้วย ซึ่งอาการหลังนี้แหละ ที่เป็นต้นเหตุทำให้ การที่มีหัวล้านกลายเป็นความน่าอับอาย จนใครต่อใครก็ต้องไปหาวิกมาใส่กัน วิกในตอนนั้น จะทำจากขนม้า แพะ ผมคน และถูกกลบกลิ่นเหม็นโดยเติมกลิ่นหอมจากแป้งกลิ่นส้ม ลาเวนเดอร์เข้าไป จริงๆ ณ ตอนนั้นวิกเป็นเหมือนของใช้จำเป็น ไม่ได้ดูรวยอะไรหรอก มีผมยาวดูเท่กว่าเยอะ
ต่อมาในฝรั่งเศส ยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่14 พระองค์เกิดมีอาการผมร่วง เพราะกลัวว่าหัวล้านจะทำให้ตนดูไม่ดี เลยจัดหาช่างทำวิกกว่า48 คน มาช่วยทำวิกเสริมภาพลักษณ์ ต่อมาพระญาติ ดันอยากได้วิกมากลบผมขาวด้วย และพอ2 พระองค์นี้ใส่วิกกันตลอดเวลา พวกขุนนางเลยใส่ตาม แล้วเทรนด์นี้เลยแพร่กระจายไปยังชนชั้นสูง รวมถึงคนมีฐานะกันหมด กลายเป็นว่าวิกปรับราคาขึ้นจนวิกธรรมดาๆ อันนึงมีราคาแพงพอๆ กับค่าจ้างรายสัปดาห์ของคนทำงานเลย ไม่ต้องพูดถึงอันแฟนซีๆ ที่ราคาเท่ากับค่าแรงตลอด3 ปีของคนๆ นึงได้เลยนะ เพราะแบบนี้วิกเลยกลายเป็นของไฮโซขึ้นมา
มีเรื่องตลกอีกเรื่องคือพอคนโกนหัวเพื่อให้ใส่วิกได้ถนัด เหาก็เริ่มไปอาศัยในวิกแทนผม แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา คนสมัยนั้นฆ่าเหาโดยการส่งวิกไปต้มฆ่าเหากับช่างทำวิก วิกนี้นอกจากทำให้ดูรวย ยังสะดวกด้วย คุ้มจริงๆ
เป็นไงบ้างคะ บางไอเทมถ้าให้ดีอย่างกลับมาฮิตกันอีกเลยเนอะ
เราขอเลือกเก็บเงินซื้อเสื้อผ้า กระเป๋าสวยๆ แบบเดิมดีกว่าค่า อิ๊ๆ
ติดตามบทความใหม่ ๆ จากเพจฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน ได้ทุกวันอาทิตย์ที่ 1 และ 3 ของเดือน บน LINE TODAY และหากสามารถอ่านบทความอื่นได้ที่เพจฉันเรียนแฟชั่นที่มิลาน
ความเห็น 4
Kittichat P.
ไทยเราก็เคยฮิตฟันดำด้วยการเคี้ยวหมาก
04 พ.ค. 2563 เวลา 02.48 น.
Patiwatt
สมัยนี้ปัจจัย4 สำคัญที่สุด
03 พ.ค. 2563 เวลา 10.06 น.
K a o r i
😭👍🏻
03 พ.ค. 2563 เวลา 08.16 น.
วัน...one..
แล้วเมืองขึ้นอย่างฮ่องกง สมัยก่อน มันก็คงโง่เนอะ ใส่วิกว่าความ
16 พ.ค. 2563 เวลา 06.43 น.
ดูทั้งหมด