ตุลาวิปโยค พฤษภาทมิฬ
ไม่เหนือความคาดหมาย ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพลังประชารัฐหลุดปาก พล.อ.ประยุทธ์ จะไปต่อได้อีก 2 ปี จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการดำรงตำแหน่งนายกฯครบ 8 ปี
เป็นไปตามกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไปต่อด้วยมติ ศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยคะแนน 6-3 จะเป็นนายกฯของประเทศไทยไปได้อีก 2 ปีตามคำวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานที่ว่า ให้เริ่มนับความต่อเนื่องความเป็นนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่ รัฐธรรมนูญปี 2560 บังคับใช้ ก็เท่ากับพล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งจะเป็นนายกฯมาได้ 5 ปีกว่าๆเกือบ 6 ปีพล.อ.ประยุทธ์ ก็จะเป็นนายกฯต่อไปได้ จนครบวาระของสภา ในวันที่ 23 มีนาคม 2566 และยังสามารถจะกลับมาเป็นนายกฯใหม่ได้อีก2 ปีจน ถึง ปี 2568 จึงจะถือว่า เป็นนายกฯ 8 ปี ตามรัฐธรรมนูยฉบับนี้โดยสมบูรณ์
แต่บนเงื่อนไขที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง และมีเสียงของพรรคการเมืองนั้นมากกว่า 25 เสียงที่จะเสนอชื่อเป็นนายกฯและต้องมีเสียง ส.ส. ข้างมากในสภา สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯด้วย
สำคัญที่สุด ประชาชน เสียงส่วนใหญ่ยังจะเอาพล.อ.ประยุทธ์อยู่หรือไม่ ถ้าชาวบ้านไม่เลือกเข้ามา พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไปต่อไม่ได้ และจะไปสู่การเฉลยข้อสงสัยที่ว่า ทำไม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถึงได้ฟิตจัด ลงพื้นที่ หาเสียง โชว์ความเป็นผู้นำ โชว์ความแข็งแรง พร้อมที่จะเป็นนายกฯคนต่อไป
ทั้งๆที่พอจะคาดเดาได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อได้อีก 2 ปี ด้วยเหตุผล เป็นโค้งสุดท้าย ของสภาและรัฐบาลที่จะครบเทอม เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน
เป็นเพราะ พล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองและมีสิทธิ์ที่จะเป็นคาดิเดทนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ หรือเป็นเพราะมีข้อตกลงอยู่แล้วว่า
พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาทำหน้าที่เป็นประธานจัดประชุม เอเปค ปรับ ครม. และยุบสภา
จากนั้น ส่งไม้ต่อให้ กับ พล.อ.ประวิตร ในการทำหน้าที่แกนนำรัฐบาลและผู้นำประเทศต่อไปตามพิมพ์เขียว แผนยุทธศาสตร์ชาติ 5 ปี นั่นหมายถึงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถไปต่อ และประกาศวางมือทางการเมือง
เป็นทางลงที่สง่างามที่สุดของ พล.อ.ประยุทธ์ ในตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนที่ 29 เป็นที่มาของ ใจบันดาลแรง
นี่คือมุมมองและความน่าจะเป็นของ ฝ่ายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
แต่ถ้าเป็นมุมมองของ ฝ่ายที่ไม่เอาเผด็จการไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ กลับมองว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่อ อีก 2 ปีกลับเป็นผลดี
เพราะจะได้เวลา ขุดรากถอนโคน สาม ป. เสียทีเดียว
เพราะถ้า พล.อ.ประยุทธ์ หลุดจากตำแหน่งนายกฯ การขุดรากถอนโคน สาม ป. ก็จะสูญเปล่า ไม่มีเหตุที่จะออกมาชุมนุมประท้วง และอ้างความชอบธรรมที่จะออกมาไล่ สาม ป. อีกต่อไป
กลายเป็นดาบสองคมที่จะกลับมาเชือดคอ ผู้ชุมนุม ข้อหาทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เพราะชาวบ้านเริ่มเบื่อ การสร้างความไม่สงบในบ้านเมือง ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม
การที่ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ให้พล.อ.ประยุทธ์ไปต่อจึงเข้ามทางพอดี
ชาวบ้านที่รอให้ทุกอย่างเป็นไปตามขอบเขตของกฏหมายบ้านเมือง ขัดอกขัดใจ ไม่รอหวังพึ่งความชอบธรรมทางกกหมายต่อไป เมื่อกฏหมายไปต่อไม่ได้ ก็ต้องใช้กฏหมู่
การนัดชุมนุมของกลุ่มมวลชน ที่ตั้งใจจะเผด็จศึก สามป.ให้เร็วที่สุด ชนิดขุดรากถอนโค่น โค่นอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เพิ่งจะเริ่มต้น
สาม ป. จะได้ไปต่อหรือ ต้องพอแค่นี้ ไม่ใช่อยู่ที่ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่ มวลมหาประชาชนบนท้องถนน
ตุลาวิปโยค พฤษภาทมิฬ กำลังจะกลับมา
พายุใหญ่กำลังโหมกระหน่ำ
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กลียุคอีกครั้ง
ปล. เมื่อจังหวะและสถานการณ์แวดล้อม เปิดช่องอย่างไม่ปกติธรรมดา ยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ชี้ช่องให้มีการชุมนุมไล่รัฐบาล ได้ เวลาเหมาะเจาะพอดี ถ้าจะเป็นการวางแผนซ้อนแผน เปิดให้ม็อบปั่นป่วน เพื่อจะยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ อีกครั้ง ในจังหวะที่ เพื่อไทย ทำท่าจะแลนด์สไลด์จริงๆ
ก็ต้องไม่ให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น