โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

รีวิว Snowpiercer ฉบับซีรีส์ : จากหนังเกาหลีฟอร์มยักษ์ สู่ทีวีซีรีส์ฟอร์มโต

ATIME

อัพเดต 31 พ.ค. 2563 เวลา 16.58 น. • เผยแพร่ 28 พ.ค. 2563 เวลา 10.00 น. • ChillOnline
รีวิว Snowpiercer ฉบับซีรีส์ : 
จากหนังเกาหลีฟอร์มยักษ์ สู่ทีวีซีรีส์ฟอร์มโต
รีวิว Snowpiercer ฉบับซีรีส์ : จากหนังเกาหลีฟอร์มยักษ์ สู่ทีวีซีรีส์ฟอร์มโต

รีวิว Snowpiercer ฉบับซีรีส์ : 

จากหนังเกาหลีฟอร์มยักษ์ สู่ทีวีซีรีส์ฟอร์มโต

 

HIGHLIGHTS

 

  • ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว Snowpiercer ฉบับภาพยนตร์ของ บองจุนโฮ นอกจากจะเป็นหนังเกาหลีที่ใช้ทุนสร้างสูงสุดตลอดกาล มีนักแสดงระดับโลกร่วมจอมากมาย ยังได้รับคำชมอย่างล้นหลาม จนกระทั่งเริ่มมีคนสนใจจะนำ Snowpiercer ไปรีบูทใหม่เป็นฉบับทีวีซีรีส์ แต่ก็ใช้เวลายาวนานกว่า 5 ปี กว่าจะมาสู่ความจริงในเดือนนี้ ที่ซีรีส์ได้ออกฉายสู่สายตาคนทั้งโลก

 

  • สำหรับฉบับซีรีส์หยิบเอาแกนเรื่องหลักๆมาใช้ นั่นคือเล่าถึงโลกในอนาคตอันใกล้ ที่ถูกปกคลุมโดยความหนาวเหน็บ มนุษย์กลุ่มสุดท้ายอยู่รอดบนรถไฟขบวนเดียวเท่านั้น ที่มีความยาวถึง 1,001 ตู้ และถูกแบ่งให้ใช้ชีวิตตามชนชั้น ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนรถไฟและตัวละครต่างๆ มีการแต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ไม่ได้อิงตัวละครหลักจากเวอร์ชั่นภาพยนตร์แต่อย่างใด

 

  • นักแสดงที่คอหนังชาวไทยคุ้นหน้าคุ้นตากันมากที่สุดคงหนีไม่พ้น เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ ที่ขอพลิกมารับบทบาทกึ่งร้ายในบทเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลรถไฟขบวนนี้ ในขณะที่นักแสดงนำฝ่ายชนชั้นล่าง ผู้สร้างได้เลือกให้ ดาวีด ดิ๊กก์ นักแสดงและนักร้องแร็ปเปอร์ที่เคยมีหนังเข้าฉายในบ้านเราอย่าง Blindspotting มารับบทดังกล่าว

 

********************************************

 

บอนจุนโฮ ผู้กำกับชาวเกาหลีที่กลายเป็นผู้ชนะรางวัลออสการ์จาก Parasite เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ขึ้นชื่อเรื่องการทำภาพยนตร์เสียดสีชนชั้นทางสังคมและระบบทุนนิยมมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนหน้า Parasite ถ้าจะกล่าวถึงผลงานชิ้นเอกของเขา ที่พูดถึงเรื่องชนชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา และสื่อสารเชิงสัญลักษณ์แบบเข้าใจง่าย คงหนีไม่พ้นหนังเมื่อปี 2013 เรีื่อง Snowpiercer ที่จนถึงปัจจุบันก็ยังคงขึ้นแท่นหนังเกาหลีที่ใช้ทุนสร้างมากที่สุดตลอดกาล

 

ต้นฉบับคือนิยายกราฟฟิกจากฝรั่งเศส เรื่อง Le Transperceneige ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1982 ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นหนังใหญ่ครั้งแรกโดย บองจุนโฮ ผู้กำกับชาวเกาหลี ที่ในขณะนั้นขึ้นแท่นผู้กำกับหนังทำเงินสูงสุดของเกาหลีใต้จาก The Host โปรเจ็คถัดมา เขาจึงได้รับความไว้วางใจ ในการดูแลหนังใหญ่ที่ใช้งบในการสร้างถึง 40 ล้านเหรียญฯ นอกจากนักแสดงขาประจำของเขาอย่าง ซงคังโฮ ที่กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหลังจาก Memories of Murder และ The Host (และต่อมาร่วมงานใน Parasite) ยังมีนักแสดงระดับโลกมาร่วมจอมากมาย อาทิ คริส อีแวนส์, เจมี่ เบลล์ และทิลด้า สวินตัน แม้ว่าหนังจะใช้ภาษาอังกฤษในการเดินเรื่องถึง 85% แต่เพราะทุนสร้างส่วนใหญ่และทีมงานส่วนมากเป็นคนเกาหลี ทำให้หนังได้รับการขนามนามว่าเป็นหนังเกาหลี

 

จากความสำเร็จของ Snowpiercer ฉบับภาพยนตร์ ทำให้โปรเจ็คการต่อยอดเป็นเวอร์ชั่นทีวีซีรีส์ เริ่มถูกพูดถึง แต่ก็ใช้เวลาค่อนข้างยาวนานในการพัฒนาโปรเจ็ค ก่อนจะเป็นจริงได้ในที่สุด และออกฉายในช่อง TNT ในอเมริกาเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่สำหรับหลายๆประเทศทั่วโลก รวมถึงไทยนั้น สามารถชมได้ใน Netflix ซึ่งก็ได้สร้างความฮือฮา และมีกระแสความนิยมในกลุ่มคอหนังพอสมควร คอลัมน์ So Watch ในสัปดาห์นี้ เลยขอเล่าเรื่องราวที่มาของซีรีส์เรื่องนี้ และความเห็นหลังชม 2 ตอนแรก เผื่อจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการตัดสินใจ ก่อนจะรับชมซีรีส์ระดับโลกเรื่องนี้

 

 

เส้นทาง Snowpiercer จากหนังใหญ่สู่เวอร์ชั่นซีรีส์

 

จุดเริ่มต้นสำหรับ Snowpiercer ฉบับทีวีซีรีส์ ต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2015 เมื่อ มาร์ตี้ อาร์เดนสไตน์ จาก Tomrrow Studio คว้าสิทธิ์ในการสร้างซีรีส์เรื่องนี้ โปรดิวเซอร์มือทองคนนี้มีผลงานที่โด่งดังจาก Prison Break และ Teen Wolf โดยต่อมาไม่นาน เพื่อให้ซีรีส์เป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็น บองจุนโฮ ผู้กำกับจากหนังต้นฉบับ ก็ได้เข้ามาร่วมนั่งในตำแหน่ง Executive Producer ของ Snowpiercer ฉบับทีวีซีรีส์ด้วย จนกระทั่งต่อมาในปี 2016 ช่อง TNT ได้อนุมัติให้ผู้สร้างได้ลองผลิตตอน Pilot ออกมาดู เพื่อตัดสินว่าควรจะสร้างทั้งซีซั่นเต็มเพื่อออกฉายหรือไม่

 

ความคืบหน้าต่อมาของซีรีส์เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2017 เมื่อมีรายงานว่า สก็อตต์ เดอร์ริกสัน ผู้กำกับจาก Doctor Strange และ The Exorcism of Emily Rose ได้รับการทาบทามให้กำกับและเขียนบทซีรีส์ตอน Pilot หลังจากการถ่ายทำตอนแรกผ่านพ้นไป ในเดือนมกราคมปี 2018 ทางช่อง TNT ก็ได้ไฟเขียวอนุมัติในการสร้าง แต่เบื้องหลังกลับมีดราม่าเปลี่ยนตัวโปรดิวเซอร์หลักอยู่หลายครั้ง ด้วยปัญหาเรื่องความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันของผู้สร้างกับทางช่อง นำไปสู่การที่ สก็อตต์ เดอร์ริกสันเอง ก็ไม่ยอมกลับมาถ่ายทำซ่อมซีรีส์ตอนแรก ที่เขาเคยกุมบังเหียนไว้ ไม่นานก็มีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับอีกหลายครั้ง การถ่ายทำซ่อมนำไปสู่ตอน Pilot ในเวอร์ชั่นใหม่ที่แทบจะไม่ใช้ฟุตเทจของเดิมเลย

 

ในปี 2019 มีการเปิดเผยว่า Netflix ได้สิทธิ์ในการเผยแพร่ซีรีส์เรื่องนี้นอกอเมริกาและจีน โดยในอเมริกาเอง ช่องเจ้าของซีรีส์อย่าง TNT ก็มีการเปลี่ยนแผนในการออนแอร์หลายครั้ง เดิมทีจะออกอากาศในช่องหลัก แล้วก็เปลี่ยนใจไปช่องในเครือข่ายแทน แต่ในที่สุดก็ได้ออกอากาศในช่องหลัก นั่นคือ TNT โดยตอนแรกออนแอร์เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ Snowpiercer ฉบับทีวีซีรีส์นั้น ใช้เวลาในการเดินทางสู่หน้าจอนานเกือบ 5 ปีเต็ม ด้วยการเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ไปหลายคน ถ่ายทำแก้ไขตอน Pilot หลายต่อหลายรอบ กว่าจะนำมาสู่ผลลัพภ์ล่าสุด ที่มีทั้งกระแสชื่นชม และด่า ได้เสียงวิจารณ์ที่ค่อนข้างก้ำกึ่ง

 

ก่อนหน้าที่ซีซั่นแรกของ Snowpiercer จะออกฉาย ได้มีการอนุมัติสร้างซีซั่นถัดไปล่วงหน้าไปแล้ว แถมมีการถ่ายทำไปแล้วด้วย หลังฉากที่ Season 1 ใช้เวลาในการถ่ายทำไปตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2018 ส่วน Season 2 เปิดกล้องตั้งแต่เดือนตุลาคม 2019 จนกระทั่งเดือนมีนาคม 2020 ในขณะที่ยังถ่ายทำไม่จบก็ต้องเผชิญกับปัญหาเชื้อโควิด-19 ระบาดหนักเสียก่อน ทำให้ต้องยุติการถ่ายทำชั่วคราว เช่นเดียวกับหนังและซีรีส์จากฝั่งฮอลลีวู้ดแทบทั้งหมด ที่ประสบปัญหาเดียวกันนี้ และต้องเบรกการถ่ายทำไปก่อน

 

ความแตกต่างในเส้นเรื่องของ Snowpiercer ฉบับซีรีส์

 

แม้จะเป็นฉบับรีบูท แต่ดูเหมือนว่า Snowpiercer จะหยิบเอาเฉพาะคอนเซ็ปท์ของเรื่องมาคลุมเท่านั้น แต่ในแง่ของตัวละคร และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะเป็นการแต่งเติมขึ้นใหม่ โดยฉบับซีรีส์จะเปิดเรื่องราวในปี ค.ศ. 2021 ซึ่งเป็นช่วงเวลา 7 ปีหลังจากที่โลกตกอยู่ภายใต้ความหนาวเหน็บ น้ำแข็งและหิมะปกคลุมทั่วโลก มนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่รอดได้ เพราะอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 100 องศา ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ดำเนินชีวิตได้ ยกเว้นบนรถไฟขบวนหนึ่ง ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา โดยมิสเตอร์วิลฟอร์ด

 

รถไฟขบวนนี้มีความยาวถึง 1,001 ตู้ และจะแล่นไปในเส้นทางรอบโลกโดยไม่มีวันหยุดนิ่ง นี่คือสถานที่เดียวบนโลกที่มนุษย์ยังคงมีชีวิตรอด แต่บนรถไฟขบวนนี้ ใช่ว่าผู้โดยสารทั้งหมดจะอยู่อาศัยแบบอยู่ดีกินดี กลุ่มคนร่ำรวยที่มีเงินทองในการซื้อตั๋วเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในตู้บริเวณด้านหน้า ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทมิสเตอร์วิลฟอร์ด ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมและผู้ดูแล ทั้งตำรวจและเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกต่างๆ ในขณะที่กลุ่มคนที่ลักลอบขึ้นรถไฟเพื่ออยู่รอด พวกเขาถูกผลักดันให้ไปใช้ชีวิตในตอนท้ายของขบวน ในฐานะผู้ใช้แรงงาน พวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาจำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบตามมีตามเกิด อยู่อาศัยอย่างแออัด มีอาหารจำนวนจำกัด จนกระทั่งบางคนเลือกที่จะตายมากกว่าจะอยู่ต่อไปแบบไร้อนาคต

 

สำหรับ Snowpiercer ฉบับทีวีซีรีส์ ตัวละครนำที่เป็นตัวแทนของแต่ละชนชั้นอยู่ 2 ตัวละครด้วยกัน เริ่มจาก เมลานี (รับบทโดย เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ จาก A Beautiful Mind) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัท มิสเตอร์วิลฟอร์ด นอกจากจะเป็นผู้ประกาศในเสียงตามสายของรถไฟขบวนนี้แล้ว เธอยังดูแลความเป็นไปและความเรียบร้อยของรถไฟขบวนนี้ และรายงานตรงต่อมิสเตอร์วิลฟอร์ด โดยเธอต้องเผชิญกับ อันเดร (รับบทโดย ดาวีด ดิ๊กก์ จาก Blindspotting) อดีตนายตำรวจที่ปัจจุบันอยู่ในรถไฟท้ายขบวน ที่ถูกตามตัวมาเพื่อสืบคดีฆาตกรรมปริศนา ที่เกิดขึ้นในตอนกลางของรถไฟ เขาได้รับอำนาจอย่างเต็มที่จากมิสเตอร์วิลฟอร์ด ในการสืบสวนและหาว่าใครคือคนร้ายกันแน่ เพื่อนำความสงบกลับมาสู่รถไฟ แต่ในขณะเดียวกัน เขาเองก็มีแผนการลับๆ ในการก่อกบฏ ระหว่างที่เขากำลังสืบสวนคดีในรถไฟตู้ต่างๆ เขาก็ค่อยๆสะสมข้อมูลและวางแผนในการโค่นล้มอำนาจของชนชั้นปกครอง

 

 

ความรู้สึกหลังชม Snowpiercer หลังออนแอร์ 2 ตอนแรก

 

สำหรับ Snowpiercer ในซีซั่นแรกนั้นจะมีความยาวทั้งหมด 10 ตอนด้วยกัน โดยล่าสุดใน Netflix ได้มีการปล่อย 2 ตอนแรกออกมาให้ได้ชมแล้ว (แถมยังมีเวอร์ชั่นพากย์ไทย ออกมาเอาใจแฟนๆซีรีส์อีกด้วย) อย่างที่กล่าวไปว่า ฉบับซีรีส์นั้น หยิบยืมมาแค่พล็อตเรื่อง แกนเรื่องหลัก ในด้านของรถไฟขบวนสุดท้ายที่แบ่งชนชั้นในโลกยุคน้ำแข็งเท่านั้น แต่ตัวละครและการเดินเรื่องทั้งหมดนั้น เป็นการแต่งขึ้นใหม่ สำหรับแฟนๆของSnowpiercer ในฉบับภาพยนตร์ที่กลัวว่าเคยดูแล้วจะซ้ำทางนั้น น่าจะคลายกังวลไปได้ เพราะเส้นเรื่องต่างจากเดิมอย่างแน่นอน

 

โดยสำหรับ 2 ตอนแรก ถือว่าเล่าเรื่องได้ค่อนข้างน่าติดตาม ในช่วงตอนแรกจะฉายให้เห็นภาพรวมของรถไฟขบวนนี้เป็นหลัก ย้อนกลับไปเล่าความถึงที่มาของโลกยุคน้ำแข็ง ที่มาของรถไฟขบวนนี้ กฏกติกาต่างๆบนรถไฟเป็นอย่างไร มีการปกครองอย่างไร มีบทลงโทษอย่างไร อาจจะยังไม่ได้ขยี้ปมอะไรมากมายนัก พร้อมกับเน้นไปที่การแนะนำตัว 2 ตัวละครอย่างอย่าง อังเดรและเมลานี่ ซึ่งในแง่ดีคือ หนังแอบมีเซอร์ไพรส มีปมให้ประหลาดใจและให้ติดตามพอสมควร แต่ในแง่ที่อาจจะด้อยกว่าในฉบับภาพยนตร์คือ ตัวซีรีส์ค่อนข้างจะโฟกัสที่ 2 ตัวละครนี้เป็นหลัก ต่างจากภาพยนตร์ที่ใช้ความเป็น Ensemble Cast นอกจากพล็อตที่น่าติดตามแล้ว คนดูจะได้เห็นนักแสดงระดับเทพๆมาเล่นเพียบ ความตื่นตาในแง่ของละครและนักแสดงจึงค่อนข้างลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด

 

เช่นเดียวกับเส้นเรื่อง ด้วยความที่ฉบับภาพยนตร์ มีความยาวเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้หนังไม่เสียเวลาในการเล่าพล็อตรองใดๆ ไม่นานหลังจากเข้าเรื่องก็นำไปสู่การก่อกบฏของชนชั้นล่างเลยทันที แต่สำหรับฉบับซีรีส์ ผ่านไป 2 ตอนแรกก็ยังไม่ได้เห็นอะไรมากมายนัก กลับมีเส้นเรื่องที่เพิ่มเข้ามา (ซึ่งในฉบับหนังไม่มี) คือการสืบคดีฆาตกรรมบนรถไฟขบวนนี้ ซึ่งตรงนี้ค่อนข้างหมิ่นเหม่ และยังไม่แน่ใจนักว่าเหมาะสำหรับ Snowpiercer หรือไม่? เพราะตัวซีรีส์เอง มีพล็อตหลักเรื่องการวางแผนก่อกบฏที่น่าจะตรึงผู้ชมอยู่แล้ว การใส่ปมเรื่องคลี่คลายคดีฆาตกรรมเข้ามา ทำให้ Snowpiercer เข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับซีรีส์อเมริกันมากมาย ที่เส้นเรื่องหลักเล่าถึงการคลี่คลายคดี จากความแตกต่างของมัน ทำให้ภาพรวมกลางเป็นซ้ำทางกับหลายๆเรื่อง แทนที่จะชูข้อเด่นในความต่าง กลับไปใช้ทางที่ให้อารมณ์เดิมๆของแวดวงทีวีในอเมริกา

 

ซึ่งหนึ่งที่ค่อนข้างรู้สึกอย่างชัดเจนคือการขาดหายไปของเสน่ห์ในการเล่าเรื่องแบบ บองจุนโฮ ในฉบับภาพยนตร์เขามีลีลาบางอย่าง รวมถึงมุมตลกร้าย (แบบเดียวกับใน Parasite) แต่ในฉบับซีรีส์ สีสันเหล่านี้กลับไปหายไปแทบจะทั้งหมด ทำให้เสน่ห์ภาพรวมของ Snowpiercer ยิ่งลดฮวบลงไปอีก ปมเรื่องการเสียดสีระหว่างชนชั้นกลับเลือนหาย ส่วนใหญ่จะเล่าอย่างตรงไปตรงมา ตามแบบชาวอเมริกัน ยิ่งพอทราบในภายหลังว่าโปรดิวเซอร์เคยทำ Prison Break มาก่อน ยิ่งสัมผัสได้ชัดระหว่างดู ว่าอารมณ์ของซีรีส์ไปในทิศทางนั้น ข้อดีคือไม่ซ้ำกับฉบับภาพยนตร์อย่างแน่นอน แต่ข้อเสียคือ มันอาจจะไม่ใช่ Mood & Tone ที่ใช่เท่าไหร่นักสำหรับ Snowpiercer มนต์เสน่ห์ของหนังหายไปอย่างรู้สึกได้

 

อย่างไรก็ตาม Snowpiercer ที่คอหนังทั่วโลกได้ดูกัน ดำเนินไปเพียงแค่ 2 ตอนเท่านั้น สำหรับซีซั่นแรกยังมีอีกถึง 8 ตอน ถือว่าเส้นทางยังยาวไกล ดังนั้นแฟนๆของฉบับภาพยนตร์อาจจะต้องใจเย็นๆไว้ และรอดูกันต่อว่าหลังจากนี้ ซีรีส์จะเพิ่มเสน่ห์ในตัวได้หรือไม่ อีกทั้งยังมีการอนุมัติซีซั่นต่อไปแล้วด้วย หมายความว่าทั้งผู้สร้างและทางสถานีเองน่าจะมั่นใจในตัวบทซีรีส์พอสมควร

 

 

********************************************

เกร็ดที่น่าสนใจจากซีรีส์ Snowpiercer

  • สิ่งที่ฮือฮาสำหรับคอหนังและคอซีรีส์ คือการประกาศว่า ฌอน บีน จะร่วมแสดงในซีรีส์เรื่องนี้ด้วย โดยจะเป็นตัวละครลับในซีซั่นแรก และปรากฏตัวเต็มๆใน ซีซั่น 2 สิ่งที่ต้องลุ้นคือ ชาตะกรรมของตัวละครเขาจะเป็นอย่างไร เพราะณอน บีน ขึ้นชื่อเรื่อง เล่นเรื่องไหน ตายทุกเรื่อง เช่นเดียวกับใน Game of Thrones ที่สร้างความช็อคให้กับแฟนๆเพราะเป็นตัวละครนำ แต่กลับตายแบบไม่มีใครคาดคิดในท้ายซีซั่นที่ 1

  • Snowpiercer ถือว่าเป็นการกลับมารับบทในทีวีซีรีส์ ครั้งแรกในรอบ 20 ปี ของ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ หลังจาก The Street ที่ออกอากาศเมื่อปี 2000-2001 โดยหลังจากที่เธอร่วมแสดงใน A Beautiful Mind เจนนิเฟอร์ ก็มีผลงานบนจอภาพยนตร์มาโดยตลอด โดยล่าสุดคือการร่วมแสดงใน Alita : Battle Angel หนังแอ็กชั่นไซไฟฟอร์มยักษ์ของผู้กำกับ โรเบิร์ต โรดริเกซ

  • นอกจากจะมีชื่อของ บองจุนโฮ ผู้กำกับจากหนังต้นฉบับปรากฏในตำแหน่ง Executive Producer แล้ว ยังมีชื่อของผู้กำกับยอดฝีมือชาวเกาหลีอีกคนอย่าง ปาร์กชานวุก เจ้าของผลงานอย่าง Old Boy และ The Handmaiden ร่วมนั่งในตำแหน่งเดียวกันอีกด้วย แต่ไม่มีรายละเอียดเปิดเผยว่าเขามีส่วนร่วมกับโปรเจ็คนี้มากน้อยแค่ไหน********************************************
    ติดตามคอลัมน์ SO WATCH และ ฟังวิทยุออนไลน์ Chill Online Work hard Chill Hard ได้ที่ 
    www.chillfm.fm และที่
    Application : Atimeonline โหลดฟรีที่ App Store และ Play Store
    Facebook : Chill FM
    Instagram : chillfmfanpage
    Twitter : chillfmfanpage
     
    ******************************************   SO WATCH
    BY GOSSIPGUN

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0