โค้งสุดท้าย "เลือกตั้งสหรัฐ" เปิดโพล แฮร์ริส VS ทรัมป์ ใครขึ้นนำ? โดยเฉพาะรัฐรัฐสมรภูมิ (swing state) จุดชี้ชะตาเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าว BBC News รายงานว่า ใกล้เข้ามาทุกทีสำหรับการเลือกตั้งสหรัฐ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐในปัจจุบัน ยุติการรณรงค์หาเสียง และสนับสนุนให้รองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส เข้าชิงแทน และในช่วงเวลานี้ผู้คนต่างจับตาดูว่าประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไปจะเป็นใคร ระหว่างประธานาธิบดีหญิงคนแรก หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะกลับมาเข้ามานั่งตำแหน่งสมัยที่ 2
โดยจากผลสำรวจความคิดเห็นเฉลี่ยของประเทศ แฮร์ริส มีคะแนนนำทรัมป์เพียงเล็กน้อย นับตั้งแต่ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงแทนไบเดน และล่าสุดข้อมูลจากการสำรวจของ 538 และ ABC News พบว่าแฮร์ริสมีคะแนนเฉลี่ยที่ 48% ส่วนทรัมป์ตามมาที่ 47%
โดยผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับแฮร์ริสมีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการรณรงค์หาเสียง ส่งผลให้คะแนนขึ้นนำได้เกือบ 4% ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม และผลสำรวจค่อนข้างคงที่ในเดือนกันยายนและต้นเดือนตุลาคม แต่มีการเข้มข้นขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเส้นแนวโน้มแสดงค่าเฉลี่ยและจุดสำหรับผลสำรวจแต่ละรายการของผู้สมัครแต่ละคน
แม้ว่าการสำรวจความคิดเห็นระดับประเทศจะเป็นแนวทางที่มีประโยชน์ในการประมาณความนิยมของผู้สมัครแต่ละคนทั่วประเทศ แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการคาดการณ์ผลการเลือกตั้งสหรัฐ
นั่นเป็นเพราะสหรัฐอเมริกาใช้ระบบคณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งแต่ละรัฐจะได้รับคะแนนเสียงจำนวนคร่าวๆ ตามจำนวนประชากร โดยมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมด 538 คะแนนที่รอการชิงชัย ดังนั้นผู้สมัครจะต้องได้คะแนน 270 คะแนนจึงจะชนะการเลือกตั้ง
ในสหรัฐอเมริกามีทั้งหมด 50 รัฐ แต่เนื่องจากส่วนใหญ่มักจะลงคะแนนให้พรรคเดียวกัน ดังนั้นในความเป็นจริงแล้วมีเพียงไม่กี่รัฐเท่านั้นที่ผู้สมัครทั้งสองคนมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง รัฐเหล่านี้เป็นสถานที่ที่การเลือกตั้งจะชนะหรือแพ้ และเรียกว่ารัฐสมรภูมิหรือรัฐที่มีโอกาสพลิกผัน
ขณะนี้คะแนนนำใน swing state นั้นน้อยมากจนไม่สามารถทราบได้ว่าใครนำอยู่จริงๆ จากการดูคะแนนเฉลี่ยของการสำรวจ
โดยการสำรวจความคิดเห็นถูกออกแบบมาเพื่ออธิบายอย่างกว้าง ๆ ว่าประชาชนรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับผู้สมัครหรือประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อคาดเดาผลการเลือกตั้งน้อยกว่าเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงสิ่งนี้เมื่อดูตัวเลขด้านล่าง
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องจำไว้ ก็คือ การสำรวจความคิดเห็นแต่ละรายการที่ใช้ในการสร้างค่าเฉลี่ยเหล่านี้มีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ราว 3-4% ดังนั้นผู้สมัครทั้งสองฝ่ายอาจมีผลงานดีกว่าหรือแย่กว่าตัวเลขที่แสดงอยู่ในปัจจุบันก็ได้
ทั้งนี้หากพิจารณาแนวโน้มนับตั้งแต่แฮร์ริสเข้าร่วมการชิงประธานาธิบดีสหรัฐ จะเห็นได้ชัดเจนว่ามีความแตกต่างบางประการระหว่างรัฐ ในรัฐแอริโซนา จอร์เจีย เนวาดา และนอร์ทแคโรไลนา ความเป็นผู้นำมีการสลับกันหลายครั้งนับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม แต่ขณะนี้ทรัมป์มีความเป็นผู้นำอยู่เล็กน้อยในทุกรัฐ
ในอีก 3 รัฐ ได้แก่ มิชิแกน เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน แฮร์ริสมีคะแนนนำมาตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม โดยบางครั้งนำห่าง 2 หรือ 3 คะแนน แต่ผลสำรวจความนิยมก็เข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และขณะนี้ทรัมป์ก็มีคะแนนนำเพียงเล็กน้อยในเพนซิลเวเนีย
ทั้ง 3 รัฐนี้เคยเป็นฐานที่มั่นของพรรคเดโมแครตมาก่อนที่ทรัมป์จะเปลี่ยนเป็นฝ่ายพรรครัพลับลิกันในเส้นทางสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งสหรัฐในปี 2559 ไบเดนกลับมายึดตะแนนเสียงได้อีกครั้งในปี 2563 และหากแฮร์ริสสามารถทำเช่นเดียวกันได้ ก็จะอยู่ในเส้นทางที่จะชนะการเลือกตั้งสหรัฐ
ขณะที่ในรัฐเพนซิลเวเนีย ไบเดนตามหลังอยู่เกือบ 4.5% เมื่อถอนตัว รัฐเพนซิลเวเนียเป็นรัฐสำคัญสำหรับการรณรงค์หาเสียงทั้งสองครั้ง เนื่องจากมีจำนวนคะแนนเสียงเลือกตั้งสูงสุดจากทั้งหมด 7 รัฐ ดังนั้น การชนะการเลือกตั้งจึงทำให้สามารถบรรลุคะแนนเสียงที่ต้องการ 270 คะแนนได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตามการสำรวจความคิดเห็นประเมินการสนับสนุนทรัมป์ต่ำเกินไปในการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา และข้อผิดพลาดในการสำรวจความคิดเห็นระดับประเทศในปี 2563 ถือเป็นข้อผิดพลาดสูงสุดในรอบ 40 ปี ตามผลการพิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจความคิดเห็น ดังนั้นจึงมีเหตุผลที่ดีที่จะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับข้อผิดพลาดดังกล่าวในการเลือกตั้งปีนี้
อ้างอิง : bbc.com
ความเห็น 0