สองยักษ์ค้าปลีก “ซีพี ออลล์-เซ็นทรัล รีเทลฯ” เร่งขายหุ้นกู้ตุนสภาพคล่อง-คืนหนี้แบงก์ CPALL เปิดจอง 1.7 หมื่นล้าน วงในชี้ยอดจองรอบแรกล้นทุกแบงก์ “สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย” ชี้ CRC ออกขายหุ้นกู้ครั้งแรกวงเงิน 10,000 ล้านบาท วงในเผยดอกเบี้ยจ่ายสูงกว่า CPALL “บล.กสิกรไทย” ชี้ธุรกิจค้าปลีกปีหน้าแข่งขันรุนแรงขึ้น มุ่งขยายอาณาจักร-ลงทุนโมเดลค้าปลีกใหม่ ๆ
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานความเคลื่อนไหวของสองผู้นำอุตสาหกรรมค้าปลีกของไทยอย่าง บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “7 Eleven” และ บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) นำเสนอรูปแบบค้าปลีกทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และพลาซ่า อาทิ Tops, โรบินสัน ไลฟ์สไตล์, ท็อปส์ พลาซ่า, มินิ โก, ไทวัสดุ เป็นต้น ที่เห็นสัญญาณเตรียมระดมทุนขายหุ้นกู้ เพื่อตุนสภาพคล่อง โดยมีแผนใช้เงินหลัก ๆ เพื่อชำระคืนหนี้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
CPALL ขายหุ้นกู้ 1.7 หมื่นล้าน
นางสาวศิรินารถ อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า CPALL ได้ขายหุ้นกู้ช่วงเดือนตุลาคม 2566 จำนวน 3 ชุด วงเงินรวม 17,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.รุ่นอายุ 5 ปี จ่ายดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี 2.รุ่นอายุ 7 ปี จ่ายดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี และ 3.รุ่นอายุ 10 ปี ดอกเบี้ย 4.20% ต่อปี
ซึ่งเปิดจองซื้อรอบแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 9-11 ตุลาคม 2566 สำหรับนักลงทุนซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นกู้เดิมชุด CPALL23OA และจะเปิดจองซื้ออีกรอบในช่วงวันที่ 26-27 และ 30 ตุลาคม 2566 สำหรับนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน
ทั้งนี้ บริษัท ซีพี ออลล์ และหุ้นกู้ของบริษัท ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ A+ โดยตามวัตถุประสงค์การใช้เงินในการขายหุ้นกู้ CPALL แจ้งว่าจะนำไปชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดในเดือนตุลาคมนี้ จำนวน 2 รุ่น มูลค่ารวม 15,122 ล้านบาท
ปีหน้าครบดีล เกือบ 3 หมื่นล้าน
ขณะที่ CPALL จะมีหุ้นกู้ครบกำหนดในปี 2567 อีกจำนวน 4 รุ่น วงเงินรวม 28,752 ล้านบาท ประกอบด้วย เดือน มี.ค. จำนวน 2 รุ่น วงเงิน 15,313 ล้านบาท เดือน มิ.ย. จำนวน 1 รุ่น วงเงิน 3,000 ล้านบาท และเดือน ส.ค. จำนวน 1 รุ่น วงเงิน 10,439 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการออกใหม่เพื่อโรลโอเวอร์ทั้งหมด
CRC หุ้นกู้ครั้งแรกหมื่นล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานขณะที่ยักษ์ค้าปลีก บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) มีแผนจะเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรก เรียกว่าเป็นหน้าใหม่ในตลาดหุ้นกู้ วงเงินที่จะออกในครั้งนี้ทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท (เสนอขาย 5,000 ล้านบาท และมีกรีนชูอีก 5,000 ล้านบาท) ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยออกภายใต้โครงการหุ้นกู้ CRC ปี 2566 วงเงิน 50,000 ล้านบาท ซึ่งตามแผนการใช้เงินจะนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระหนี้เดิมซึ่งเป็นสินเชื่อธนาคาร
จากข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 2566 CRC มีภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย จำนวน 138,225 ล้านบาท โดยเป็นหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน 82,169 ล้านบาท และหนี้ตามสัญญาเช่า 56,056 ล้านบาท
แหล่งข่าวผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้รายหนึ่งกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แผนการออกขายหุ้นกู้ CRC จะมีด้วยกันทั้งหมด 3 ชุด คือ 1.รุ่นอายุ 3 ปี 2.รุ่นอายุ 5 ปี และ 3.รุ่นอายุ 7 ปี มีแผนเสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ โดยจะสำรวจความต้องการซื้อ (book building) วันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 จึงคาดว่าคูปองดอกเบี้ยน่าจะประกาศช่วงวันที่ 9-10 พฤศจิกายน 2566 และจะเสนอขายหุ้นกู้วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งจะถือเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งแรกของบริษัท โดย CRC และหุ้นกู้ของบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ AA-
CRC จ่ายดอกเบี้ยสูงกว่า
แหล่งข่าวกล่าวว่า เบื้องต้นประเมินอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ CRC รุ่นอายุ 3 ปี จะอยู่ระหว่าง 3.27-3.47% ต่อปี รุ่นอายุ 5 ปี จะอยู่ระหว่าง 3.65-3.85% ต่อปี และรุ่นอายุ 7 ปี จะอยู่ระหว่าง 4-4.20% ต่อปี อย่างไรก็ดี ในส่วน CPALL ประกาศดอกเบี้ยออกมาแล้ว รุ่นอายุ 5 ปี จ่าย 3.55% ต่อปี รุ่นอายุ 7 ปี จ่าย 3.80% ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี จ่าย 4.20% ต่อปี
ทั้งนี้ หากเทียบกับเครดิตเรตติ้งเท่า ๆ กันถือว่า CPALL จ่ายดอกเบี้ยต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยหุ้นกู้อายุ 5 ปีของ CPALL เครดิตเรตติ้ง A+ จ่ายดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี แต่ CRC ทั้งที่มีเรตติ้ง AA- ซึ่งถือว่าดีกว่า แต่จ่ายดอกเบี้ย 3.65-3.85% ต่อปี เหตุผลส่วนหนึ่งแม้ว่า CPALL เรตติ้งด้อยกว่า แต่มี positive outlook ก็ถือว่าไม่ต่างจาก AA-
อีกทั้ง CPALL เป็นการขายนักลงทุนทั่วไป ซึ่งมุ่งเอาเม็ดเงินลงทุนจากประชาชนทั่วไป ขณะที่ CRC เป็นการขายนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ ทำให้ CPALL มีเป้าการขายที่กว้างไกลกว่า
CPALL ยอดขายล้นทุกแบงก์
นอกจากนี้ CRC ยังขายหุ้นกู้ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ขณะที่ CPALL อยู่ในตลาดหุ้นกู้มาอย่างยาวนาน มีหุ้นกู้รุ่นเก่า ๆ ที่ครบกำหนดไถ่ถอนพอดี ก็สามารถโรลโอเวอร์ต่อได้ ซึ่งลอตแรกที่ขายไปนั้นพบว่าลูกค้ารายย่อยแย่งกันซื้อหนัก ยอดขายล้นทุกธนาคาร ขณะที่ CRC ถือว่ามุ่งเป้าเม็ดเงินใหม่ทั้งหมด
“ทั้งคู่เป็นกลุ่มรีเทลขนาดใหญ่ ซึ่งถือว่าไม่ได้เป็นกลุ่มเปราะบาง อย่างเช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือผันผวนแบบกลุ่มพลังงาน แต่เป็นกลุ่มที่เกาะอยู่กับการบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล ทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการบริโภคผ่านการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต” แหล่งข่าวกล่าว
ต้นทุนหุ้นกู้พุ่งในรอบ 9-10 ปี
นางสาวศิรินารถ กล่าวว่า ปัจจุบันต้นทุนดอกเบี้ยหุ้นกู้ถือว่าสูงกว่าอดีตมาก แต่ไม่ได้สูงจากส่วนชดเชยความเสี่ยง (credit spread) แต่เป็นเพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (government bond yield) ของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้นในรอบกว่า 9-10 ปี (ช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ย. 2566) ซึ่งเป็นแรงกดดันจากหลาย ๆ ปัจจัย
ล่าสุดคือประเด็นที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ประกาศแผนการกู้ในปีงบประมาณ 2567 ที่ค่อนข้างสูง โดยมีแผนการออกพันธบัตร 1.25 ล้านล้านบาท สูงขึ้นจากปีงบประมาณ 2566 จำนวน 1.6 แสนล้านบาท รวมถึงนโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐที่ดูเหมือนจะทำให้เกิดเงินเฟ้อ
Q4 หุ้นกู้ครบดีล 1.5 แสนล้าน
สำหรับช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีหุ้นกู้ครบกำหนดมูลค่า 156,750 ล้านบาท แยกเป็น หุ้นกู้ระดับลงทุน (investment grade) จำนวน 49 บริษัท มูลค่ารวม 133,919 ล้านบาท และกลุ่มไฮยีลด์ (เสี่ยงสูง) 35 บริษัท มูลค่ารวม 22,830 ล้านบาท โดยเดือนตุลาคมผ่านมา 2 สัปดาห์ มีการออกหุ้นกู้ใหม่ไปแล้ว 30,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 10 บริษัท (ข้อมูลจนถึง 12 ต.ค. 2566)
ประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นกู้ในไตรมาส 4/2566 น่าจะขึ้นอยู่กับบรรยากาศตลาดว่าจะเห็นบริษัทที่มีการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มเติมหรือไม่ หากไม่มีเชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนคลายความกังวลลงได้ แต่จากบอนด์ยีลด์ที่มีการปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก ซึ่งจะเป็นต้นทุนการกู้ยืมที่สูงของภาคธุรกิจเอกชน จึงอาจจะเห็นบางบริษัทเลื่อนการออกหุ้นกู้ไปก่อน โดยรอจังหวะบอนด์ยีลด์ย่อตัวลง
“ค้าปลีก” แข่งเดือด
นางสาวธรีทิพย์ วงษ์แสงไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเมินการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกในปี 2567 มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการขยายธุรกิจไปในตลาดที่ตัวเองมีส่วนแบ่งไม่มาก และยังมีโอกาสเติบโตได้ เช่น การทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจ (B2B) เป็นต้น
โดยในแง่ของงบประมาณการลงทุนของ CRC จะอยู่ประมาณ 20,000-25,000 ล้านบาทต่อปี ส่วน CPALL ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 12,000-13,000 ล้านบาท อาจจะไม่มากเท่ากับ บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) ที่อยู่ประมาณ 25,300-27,500 ล้านบาท
ด้านนายธนวิชช์ บุญชูวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พาย กล่าวว่า ในแง่ของแผน CRC ในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะขยาย GO Wholesale และจะมีรายได้มากกว่า 60,000-70,000 ล้านบาท ดังนั้นมองว่าการแข่งขันหลังจากนี้อาจทำให้มาร์จิ้นของธุรกิจค้าส่ง อาจจะไต่ขึ้นไม่มากหรือไม่ขึ้นเลย จากที่อยู่ระดับ 10.5% เมื่อปีที่แล้ว ส่วนการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก แม้ไม่มีคู่แข่งรายใหม่ แต่จากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค การเติบโตจะไม่หวือหวาเหมือนในอดีตแล้ว
คาด Q3 CPALL กำไร 4.1 พันล้าน
บล.กรุงศรีรายงานว่า คาดการณ์กำไรปกติของ CPALL งวดไตรมาส 3 ปีนี้ยังไม่น่าตื่นเต้น อยู่ที่ 4.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% YOY แต่ลดลง 9% QOQ โดยกำไร YOY โตได้ตามอัตรากำไรขั้นต้นร้านเซเว่นฯและดอกเบี้ยจ่ายของ CPAXT ปรับลง ส่วนกำไร QOQ ลงเพราะหน้าฝน คาดยอดขายร้านสะดวกซื้อลง 3% QOQ
แต่แนวโน้มกำไรไตรมาส 4 คาดจะโตก้าวกระโดด YOY จากต้นทุนค่าไฟต่อหน่วยลง 15% YOY และธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่จะไม่มีบันทึกค่าใช้จ่ายพนักงานสูงเหมือนไตรมาส 4/2565 ส่วน QOQ คาดโตต่อตามอานิสงส์ไฮซีซั่นธุรกิจและท่องเที่ยว จึงคาดกำไรทั้งปีนี้จะอยู่ที่ 1.71 หมื่นล้านบาท โต 29% สูงสุดในกลุ่มค้าปลีกและคาดปรับขึ้น 25% ในปีหน้า
CRC กำไรครึ่งปีหลังดีกว่า
บล.หยวนต้ารายงานว่า แนวโน้มกำไรของ CRC ช่วงครึ่งปีหลังคาดโตกว่าครึ่งปีแรก แม้ในไตรมาส 3 ยอดขายจะอ่อนตัวลงตามปัจจัยฤดูกาล แต่ได้ส่วนช่วยจากยอดขายในเวียดนามที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น หลังภาครัฐกระตุ้นการใช้จ่ายด้วยการลดภาษีมูลค่าเพิ่มลงจาก 10% เหลือ 8% สำหรับช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2566 และต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ลดลง ขณะที่ไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ คาดกำไรจะโตได้แรงและเป็นจุดสูงสุดของปี ประเมินกำไรปีนี้ 8,638 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.4% YOY
ใช้งบฯเปิดสาขาใหม่ 4 พันล้าน
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน CPALL รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ธุรกิจร้านสะดวกซื้อในปี 2566 คาดอัตราการเติบโตของรายได้ส่วนใหญ่มาจากอัตราการเติบโตของยอดขายจากร้านสาขาใหม่ และอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยจากร้านเดิม รวมถึงยอดขายจากช่องทางอื่น ๆ อาทิ 7-Delivery, All Online และ Vending Machine
โดยตั้งเป้าขยายอัตรากำไรขั้นต้นให้ได้อย่างต่อเนื่องจากปีก่อน เน้นการพัฒนาระบบในการคัดสรรสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น และผลักดันให้มีสัดส่วนของสินค้าที่กำไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้น ทั้งจากสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภค
ทั้งนี้ วางแผนที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ ทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการขยายเครือข่ายร้านสาขาต่อเนื่องไปตามการขยายตัวของชุมชน โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ แหล่งท่องเที่ยว และทำเลที่มีศักยภาพอื่น ๆ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่
โดยปี 2566 วางแผนลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่ในประเทศไทยอีกประมาณ 700 สาขา โดย ณ ไตรมาส 2/66 มีสาขาทั่วประเทศรวม 14,215 สาขา และมีเป้าหมายจะเปิดสาขาในประเทศกัมพูชาให้ครบ 100 สาขา ใช้งบฯลงทุนประมาณ 12,000-13,000 ล้านบาท ใช้งบฯเปิดร้านสาขาใหม่ประมาณ 3,800-4,000 ล้านบาท และปรับปรุงร้านเดิม 2,900-3,500 ล้านบาท
CRC ขยายลงทุนทุกโมเดล
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CRC ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะรุกชิงนักท่องเที่ยวในพื้นที่สำคัญอย่างภูเก็ต และกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ ด้วยการเปิดสาขาใหม่ โดยช่วงเดือน พ.ย. 2566 จะเปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาเวสต์วิลล์ ถนนราชพฤกษ์ ซึ่งถือเป็นห้างสรรพสินค้าสาขาที่ 76 ของเซ็นทรัล รีเทลฯ และเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ที่ตอบโจทย์ new CBD ของกรุงเทพฯ ต่อเนื่องจากศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สาขาราชพฤกษ์
หลังจากได้เปิดศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สาขาฉลอง ซึ่งจะเป็นแห่งที่ 2 ของจังหวัดภูเก็ต ไปเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2566 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีศูนย์การค้ารวมทั้งสิ้น 33 สาขาทั่วประเทศไทย พร้อมกันนี้ยังเตรียมเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาฉลอง จังหวัดภูเก็ต อีกด้วย
นอกจากนี้ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซีอาร์ซี ได้เปิดตัว GO Wholesale ธุรกิจค้าส่งด้านอาหาร ประเดิมปักธงสาขาแรกที่ถนนศรีนครินทร์ ในพื้นที่ติดกับไทวัสดุ กำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 27 ตุลาคมนี้ หลังจากนี้ต่อด้วยสาขาที่เชียงใหม่, พัทยา, นิคมอมตะ รวม 4 สาขาในสิ้นปี โดยตั้งเป้าขยายเดือนละ 1 สาขา ปักหมุด 40-50 สาขาทั่วประเทศ