โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เสียงเรียกจากความตาย - พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ

LINE TODAY SHOWCASE

เผยแพร่ 08 ส.ค. 2565 เวลา 05.00 น. • พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ

เมื่อได้ยินได้ฟังคำว่า “ความตาย” เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น…คนเรามักจะกลัวในเรื่องที่ตนเองไม่รู้ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง เช่น ตายแล้วไปไหน สูญไปหมดหรือไม่ กลัวกันไปต่างๆนานาว่า การที่ตัวเองสู้อุตส่าห์ทำงานเก็บเงินเก็บทอง สะสมเกียรติยศชื่อเสียงมาตลอดชีวิต

เมื่อเราตายแล้วมันจะหายวับไปหมดเลยหรือแต่ถ้าตอบว่า คนเราตายแล้ว “ไม่สูญ” ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดแล้วเราจะไปเกิดที่ไหนกันล่ะ ก็ไม่มั่นใจอีก เพราะคนเราที่ทำดีไว้ก็มาก ทำไม่ดีก็มีไม่น้อย มันชักรู้สึกหวาดเสียวว่าตกลงเราจะกำไรหรือขาดทุน จะไปดีหรือไม่ดีกันแน่หลายท่านเคยได้ยินได้ฟังมาว่าถ้าเกิดไปนรกก็น่ากลัวเหมือนกัน

สรุปก็คือคนเราไม่รู้ว่าชีวิตหลังความตายจะเป็นอย่างไร ก็เลยทำให้เกิดความกลัว แต่ถ้ารู้แล้ว เราก็จะไม่กลัว

ตัวอย่างผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งได้ฌานสมาบัติได้ญาณทัสสนะรู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไร ตายแล้วจะไปไหน ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร

พอรู้ว่าตายแล้วไม่สูญเราก็ยังอยู่ซึ่งจะไปเกิดตรงไหนขึ้นอยู่กับความดีบุญบาปที่เคยทำเอาไว้แล้วก็มั่นใจในความดีที่ตัวเองทำเอาไว้ว่าเพียงพอ ตายแล้วได้ไปดีแน่ๆอย่างนี้จะไม่ค่อยกลัวความตาย ไปดูเถอะพระอรหันต์ท่านไม่ได้กลัวเลย พระอริยบุคคลทั้งหลายไม่กลัวความตาย คนที่สร้างบุญสร้างกุศลมากๆไม่มีกลัวเพราะรู้ว่าตนเองจะไปดีสรุปได้ว่าคนเรานั้นกลัว “ความไม่รู้” นั่นเองทัศนะในการตัดสินว่าแบบไหนเรียกว่า “ตาย”

มีหลายทัศนะเกี่ยวกับเรื่องของการตัดสินว่าแบบไหนเรียกว่าตายบางท่านก็บอกว่าให้ตรวจดูคลื่นสมอง บางท่านก็บอกต้องดูที่หัวใจหยุดเต้น แล้วอย่างไรล่ะถึงจะเรียกได้ว่าบุคคลนั้นตายแน่ๆ

ในทางการแพทย์ก็มีหลายเกณฑ์เช่นกัน หมอแต่ละประเทศมีมาตรฐานการวินิจฉัยไม่เหมือนกัน กฎหมายแต่ละบางประเทศถือว่า คนเราตายเมื่อหัวใจหยุดเต้น

บางประเทศถือว่าตายเมื่อคลื่นสมองราบ สมองหยุดทำงาน เพราะเขาไม่รับรู้แล้วอย่างเช่น เจ้าหญิงนิทราเจ้าชายนิทราซึ่งหลับไม่รู้เรื่องก็ถือว่าตายแล้ว แต่บางประเทศยังไม่ถือว่าในกรณีนี้คือตายแล้ว

ดังนั้นแต่ละประเทศจึงมีเกณฑ์ไม่เหมือนกัน ซึ่งเหล่านี้คือเกณฑ์การตัดสินทางโลกหลักทางธรรมในพระพุทธศาสนาไม่ใช่ความคิด หรือความเชื่อ แต่เป็นเรื่องความจริง หากถามว่า เมื่อใดถึงเรียกว่าตาย คำตอบก็คือเมื่อ“ลมหยุด”อย่างคำว่า “สิ้นลม” ลมหายใจหยุดเมื่อใดก็คือตายนั่นเอง

บางท่านบอกว่าจมน้ำไป หยุดหายใจไปชั่วคราว เราผายปอดสักพักแล้วเขาก็หายใจได้ใหม่อย่างนี้ถือว่าตายไปแล้วหรือไม่ จริงๆ คือลมหายใจหยุดชั่วขณะเท่านั้นยังไม่ตาย เหมือนคนเรากลั้นลมหายใจจึงถือว่ายังไม่ตายเพราะลมหายใจยังไม่ขาดจริง

ส่วนบางคน ได้ข่าวว่าเขาตายไปแล้วจัดงานพิธีน้ำศพใส่โลงเรียบร้อยแล้วจู่ๆเขาฟื้นขึ้นมาเคาะโลงเฉยเลยญาติพี่น้องวิ่งเผ่นกันคนละทางเพราะนึกว่าถูกผีหลอก แต่พอมาเปิดโลงเข้าก็พบว่าเขายังไม่ตายจริงกลับฟื้นขึ้นมา ลักษณะนี้ก็มีข่าวให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ

ในกรณีนี้บางจังหวะอาจเป็นลักษณะว่าเหมือนกึ่งๆ หยุดหายใจ แต่จริงๆ แล้วลมละเอียดยังเดินอยู่

หากมาดูคำตอบในเชิงปฏิบัติว่าจริงๆเมื่อไรที่เรียกว่าตาย ตอบในเชิงปฏิบัติก็คือเมื่อกายละเอียดหลุดจากขั้วต่อที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ที่กลางท้องนี่เอง พอหลุดขึ้นมาปุ๊บ อาการที่เราเห็นก็คือ คนใกล้ตายมักจะมีอาการคล้ายๆ กับสะอึกลมขึ้นมา 3 เฮือก เหมือนกับหายใจเข้าไปลึก ๆ 3 เฮือก แล้วก็หายใจออกพร้อมกับตัวราบแน่นิ่งไป อย่างนี้คือตายแล้ว เนื่องจากจังหวะนั้นกายละเอียดถอดจากขั้วที่ศูนย์กลางกาย คือ สิ้นชีวิตแล้ว กายละเอียดทิ้งกายหยาบไป แล้วก็ไปเกิดใหม่ตามแรงบุญแรงบาปของตัวเองต่อไป

หากเรารู้ว่าไม่ช้าไม่นานตัวเองต้องจากโลกนี้ไปแล้วเราจะเตรียมตัวรับมือกับความตายอย่างไร… มีหลักง่ายๆ คือ “หมั่นทำความดีให้มากๆ”

ร่างกายนี้ หายใจเข้าแล้วไม่ออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่เข้าก็ตายอีกเหมือนกัน บางท่านบอกว่า ถ้ามัวแต่นั่งนึกว่า “ตายแน่ ๆ” ก็ไม่ต้องทำงานอื่นกัน จริงๆไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่มัวแต่นั่งคิดว่า“ตายๆๆ” แต่ให้ระลึกอยู่ในใจลึก ๆ ว่าอย่างไรเราก็ต้องตายแต่ละวินาทีที่ผ่านไป แต่ละช่วงลมหายใจที่เข้าออก ชีวิตเราเหลือน้อยลงไปทุกทีๆ แล้ว หากรู้อย่างนี้แล้วจะได้ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเปล่า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้พระภิกษุทบทวนอยู่เรื่อย ๆว่า“บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆว่าวันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่”เวลาผ่านไปตลอดทุกเวลาทุกนาทีเราทำอะไรอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ว่าเราต้องตายแน่แล้วจะได้ไม่ประมาทรีบขวนขวายทำความดี

คนที่ไม่เข้าใจก็จะคิดว่า ถ้านึกถึงความตายบ่อยๆ จะทำให้เกิดความเศร้า กลายเป็นคนอมทุกข์ไปเปล่าๆ คนศาสนาอื่นที่ไม่รู้มองพุทธศาสนิกชนว่าเป็นคนอมทุกข์ทั้งหมด แต่พอได้มาเห็นชาวพุทธจริงๆกลับบอกว่าทำไมหน้าตาเบิกบานสดใสกว่าชาวตะวันตกเสียอีกประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นสยามเมืองยิ้มด้วยซ้ำไป

-----

ครั้นเขาสงสัยว่า เรานึกถึงความตายบ่อยๆ ทำไมไม่ทุกข์ทำไมหน้าตายังยิ้มแย้มแจ่มใส นั่นก็เพราะเรามีทางออก ถ้ารู้สึกว่าตายแน่ๆ แต่ไม่รู้ทำอย่างไรมันก็เซ็ง แต่พอรู้ว่าตายแน่แล้วทำความดีสร้างบุญสร้างกุศล อย่างนี้เรียกว่ามีทางออกให้ตัวเอง หัวใจก็เบิกบาน กลายเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ไม่ประมาทนอนรอความตาย

สำหรับผู้ที่รู้ล่วงหน้าว่าตนเองจะต้องตายแน่ๆ อาจเพราะกำลังป่วยขั้นร้ายแรง ก็พอมีเวลาทำใจ แต่สำหรับการตายแบบปัจจุบันทันด่วนไม่รู้ตัวมาก่อนนั้น เราก็มีวิธีเตรียมใจ คือ ถ้ามีใครมาชวนให้เราทำความดีชวนเข้าวัด ฟังเทศน์ฟังธรรม ก็ให้เราเร่งปฏิบัติธรรม สร้างบุญสร้างกุศลให้มาก จนกระทั่งใจของเราเกาะเกี่ยวกับเรื่องบุญกุศลได้ตลอดเวลาจึงจะเป็นวิธีการเตรียมใจที่ดีที่สุด แล้วเราจะเป็นผู้ที่ไม่กลัวความตาย

ใครที่มักบอกว่างานยุ่งไม่มีเวลารอแก่เกษียณอายุก่อน แล้วค่อยเข้าวัด คิดอย่างนี้ถือว่ายังประมาท ถามว่าคนอายุน้อยกว่าเรา แล้วตายก่อนเรามีไหม…ก็มีขึ้นเครื่องบินปุ๊บปั๊บเครื่องบินตกก็ตาย นอนอยู่ในบ้านดีๆ จู่ๆ รถวิ่งเข้ามาชนในบ้านตายก็มีนอนอยู่ในบ้าน น้ำเข้ามา ท่วมบ้าน สึนามิมาตายไปเลยก็มีมีทุกรูปแบบ เพราฉะนั้นเราต้องไม่ประมาท

การทำความดีนั้นอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า“การผลัดเพี้ยนต่อพญามัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่มีแก่เรา” ถึงคราวพญามัจจุราชมาทวงเอาชีวิต เราจะขอผลัดไปก่อนว่าเรายังมีธุระอยู่ ยังทำบุญไม่พอขอมีชีวิตอยู่ต่ออีก 7วัน หรือ1เดือน นั้นไม่ได้

เพราะฉะนั้น หากมีใครมาชวนทำความดีให้เราทำเลยอย่างเต็มที่เต็มกำลัง เรามีกำลังเท่าไรให้ทำเท่านั้น ทั้งทำทาน รักษาศีล แล้วก็ตั้งใจสวดมนต์ทำสมาธิภาวนา อย่างนี้บุญกุศลเกิดขึ้นกับเราตลอดเวลาและจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต

มัจจุมารจะมาทวงชีวิตเมื่อใด เราก็พร้อมเสมอ ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำความดีจนถึงที่สุดแล้ว เราก็จะเป็นผู้ที่มัจจุมารมองไม่เห็น นั่นหมายถึง บุญเราเต็มเปี่ยมจนสามารถขจัดกิเลสมารไปจากใจทั้งหมดได้เราจึงจะก้าวพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารไปสู่ชีวิตที่อมตะ ก็คือ“พระนิพพาน” นั่นเอง

เจริญพร

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0