โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

ซูเปอร์ดอกเตอร์แห่งห้องพยาบาล

นิยาย Dek-D

อัพเดต 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Pinebook
ซูเปอร์ดอกเตอร์แห่งห้องพยาบาล
มือหนึ่งช่วยชีวิต มือหนึ่งลิขิตความตาย สุดยอดแพทย์นักฆ่าประจำห้องพยาบาลพร้อมให้บริการแล้ว…

ข้อมูลเบื้องต้น

ซูเปอร์ดอกเตอร์แห่งห้องพยาบาล

天才校医

ผู้เขียน 召北 Shao Bei

ผู้แปล บุษบาเหมันต์

ผู้วาดปก Kon

ลิขสิทธิ์ภาษาไทยโดย Pine Book

**********

ลงทุกวันจันทร์ - ศุกร์ วันละ 3 ตอน เวลา 18.00 น.

กลางวันเป็นหมอประจำมหา'ลัย กลางคืนเป็นภัยพิบัติของพวกคนชั่ว

'ฉินลู่' ผู้ฝึกตนอัจฉริยะมาเป็นหมอประจำมหาวิทยาลัยตามคำสั่งของอาจารย์

เขาเชี่ยวชาญในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านการแพทย์

เลือดไม่ยอมหยุดไหล? ไม่ใช่ปัญหา

มะเร็งระยะสุดท้าย? ไม่ใช่ปัญหา

แต่รับมือกับสาวงามพวกนี้ทำไมยากนักนะ

เด็กกำพร้าจากหลังเขาอย่างเขาจะไปต้านทานขาขาวๆ อะแฮ่ม…ต้านทานเสน่ห์ของพวกเธอได้อย่างไร

ซ้ำพวกเธอยังเหมือนจะมีใจให้เขากันทั้งนั้น

"บางทีพระเจ้าคงเกลียดฉันเกินไป เลยประทานความหล่อมาให้เยอะขนาดนี้ เฮ้อ…"

**********

นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ PINE BOOK

ในการเผยแพร่และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

บาดเจ็บ

เดือนกันยายน อากาศร้อนเหลือทน

เปิดเทอมใหม่อีกปี นักศึกษาใหม่ปีหนึ่งสวมชุดฝึกทหารยืนเรียงแถวกันอยู่ที่สนามหญ้าสีเขียวของมหาวิทยาลัยหวาชิง

ภายใต้แสงแดดอันร้อนแรง เหงื่อของทุกคนไหลจากใบหน้าจนถึงลำคอ เปียกชุ่มไปทั้งตัว แต่ก็ไม่มีใครบ่นว่าเหนื่อยเลย ไม่ใช่ว่าไม่อยากบ่น แต่ไม่กล้าต่างหาก อย่างไรแล้วก็ต้องเก็บ 3 หน่วยกิตนี้ให้ได้ อดทนกันมาตั้ง 7 วัน ถ้ายอมแพ้ตอนนี้ เหงื่อที่เคยเสียไปก็จะเปล่าประโยชน์

กลางสนามหญ้า นักศึกษาหญิงเข้าแถวเป็นกองอย่างเป็นระเบียบ ท่วงท่าดูกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว สายตาเกือบทุกคู่ของนักศึกษาชายที่เข้าแถวเป็นกองอยู่ใกล้ๆ ต่างมองมาที่พวกเธอ เพราะพวกเธอคือกองพลต้นแบบของปีนี้ นักศึกษาใหม่ที่ทั้งรูปร่างหน้าตาดีและมีออร่าก็อยู่ในกองนี้กันหมด

โดยเฉพาะคนแรกที่อยู่ต้นแถว ในการฝึกทหารวันที่ 2 พวกรุ่นพี่ก็ดันเธอให้ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 ของดาวมหาวิทยาลัยในบอร์ดเรียบร้อยแล้ว

“หลิวจื่อซินเป็นลมหมดสติไปแล้ว!”

ไม่รู้ว่าเสียงตะโกนนี้ดังมาจากไหน แต่สายตาทุกคู่ต่างมองไปที่คนแรกที่ยืนอยู่ต้นแถวทันที ส่วนหลิวจื่อซินในตอนนี้ หมดสติลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแล้ว

“ทุกคนออกไปให้หมด! อยู่ในท่าเดิมต่ออีกสองชั่วโมง!” อาจารย์ฝึกเฉินวิ่งไปถึงตัวหลิวจื่อซินเป็นคนแรก หลังจากที่ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ก็มั่นใจว่าเธอแค่เป็นไข้แดดเท่านั้น และในเวลาเดียวกันนี้เอง พวกนักศึกษาจากกองทหารอื่นๆ ก็มุงกันเข้ามา

อาจารย์ฝึกเฉินตะโกนเสียงดัง จากนั้นทุกคนก็กลับไปยืนอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของตัวเองอย่างอิดออด

“พวกเธอสองคนประคองเพื่อนไปที่ห้องพยาบาล เธอแค่เป็นไข้แดดน่ะ ให้ดื่มยาหอมซะ ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” อาจารย์ฝึกเฉินเจอแบบนี้มาเยอะ ทุกปีจะมีนักศึกษาที่เป็นไข้แดดอยู่ตลอด นักศึกษาสมัยนี้ร่างกายช่างอ่อนแอกันเสียจริง

หญิงสาวสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิวจื่อซินรีบประคองเธอออกจากสนามหญ้า ส่วนคนอื่นๆ ทำได้แค่มองพวกเธอเดินออกไป แล้วกลับไปดื่มด่ำกับการอาบแดดเพื่อสุขภาพกันต่อ

มหาวิทยาลัยหวาชิงเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ ตามหลักแล้วน่าจะมีหมอประจำห้องพยาบาลสัก 2-3 คน แต่พอหญิงสาวทั้งสองประคองหลิวจื่อซินเข้าห้องพยาบาลไป พวกเธอกลับพบว่า ห้องพยาบาลที่กว้างถึงร้อยกว่าตารางเมตร มีเพียงชายหนุ่มที่สวมแว่น ใบหน้าซีดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่ ดูแล้วเหมือนจะเป็นคนที่มีการศึกษาดี

“สวัสดีค่ะ เพื่อนของฉันเป็นไข้แดด เป็นลมไปแล้ว รบกวนถามหน่อยค่ะ หมอประจำห้องพยาบาลอยู่ไหมคะ” จางอี๋ประคองหลิวจื่อซินให้นั่งลง แล้วหันไปถามชายหนุ่มคนนั้น

ชายหนุ่มคนนั้นลุกขึ้นยืน ตาของเขากระตุกเล็กน้อย เหลือบไปมองหลิวจื่อซินที่นั่งอยู่บนโซฟา เขาสูดหายใจเข้าลึก

จากนั้นก็หันไปมองจางอี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง

“จะให้รักษาแบบแพทย์แผนจีนหรือแผนปัจจุบัน”

ชายหนุ่มพูดเสียงเบามาก ฟังแล้วเหมือนคนไม่มีแรง แต่สิ่งที่พูดออกมากลับทำให้จางอี๋พอใจมาก สมแล้วที่เป็นมหาวิทยาลัยหวาชิง ในห้องพยาบาลที่เรียบง่ายแบบนี้ ยังมีแพทย์แผนจีนกับแผนปัจจุบันให้เลือกด้วย แต่ว่า…ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องพวกนี้

“แบบไหนก็ได้ค่ะ เธอแค่เป็นไข้แดด ให้เธอดื่มยาหอมหน่อยก็พอค่ะ”

“จุๆ นักศึกษาใหม่ของคณะแพทย์ปีนี้เก่งขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เพิ่งเป็นแค่นักศึกษาปีหนึ่ง ก็กล้าสั่งยาให้คนไข้แล้วเหรอ” ชายหนุ่มคนนั้นพูดไปด้วย พลางหันไปมองจางอี๋แล้วส่ายหัวไปด้วย

“นี่…” จางอี๋เบ้ปาก ก่อนระงับความโกรธเอาไว้ อยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นจำเป็นต้องก้มหัว เพราะอย่างไรเสีย…ตัวเธอเองก็ไม่ใช่นักศึกษาแพทย์นี่นา

“รุ่นพี่ อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย รีบดูอาการให้จื่อซินเถอะ” หวังหลิงที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ทำได้แค่ร้อนใจเท่านั้น รุ่นพี่คนนี้ก็เล่นตัวซะจริง ดูก็รู้แล้วว่าเป็นนักศึกษาที่มาทำงานพาร์ตไทม์ที่มหาวิทยาลัย ยังจะมาทำวางท่าอีก

“อย่ามาเรียกฉันว่ารุ่นพี่ ฉันชื่อฉินลู่ ไม่ใช่รุ่นพี่ของพวกเธอ ในเมื่อร้อนใจกันนัก งั้นก็ใช้เป็นแพทย์แผนจีนแล้วกัน”

ฉินลู่ยกมือขึ้นมา เปิดเสื้อกาวน์สีขาวของตัวเองออก ที่ใต้ปกคอเสื้อของเขา มีเข็มกลัดป้ายชื่อที่ทำจากพลาสติกอยู่ บนนั้นมีตัวอักษรตัวใหญ่สองตัวเขียนว่า ‘ฉินลู่’ และใต้ชื่อของเขาก็มีอีกคำที่ตัวใหญ่กว่า นั่นคือคำว่า ‘แพทย์’ นั่นเอง

“เอ๋?” หญิงสาวสองคนต่างก็อึ้ง ชายหนุ่มคนนี้คือหมอเหรอ มหาวิทยาลัยไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย! ยังจะมาให้เลือกระหว่างแพทย์แผนจีนกับแพทย์แผนปัจจุบันอีก อย่างกับว่าตัวเองเก่งนักแหละ

“พวกเธอจะเอ๋กันอีกนานไหม พาเธอมานั่งเก้าอี้ตรงนี้ ตรงนั้นมีกระดาษทิชชู รีบเอามาเช็ดเหงื่อให้เธอซะ ถ้ามัวแต่ชักช้า เดี๋ยวเธอเป็นหนักกว่าเดิมนะ!” ฉินลู่ดันแว่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง แล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“ค่ะ”

หญิงสาวทั้งสองคนทำตามที่ฉินลู่บอกอย่างคล่องแคล่วว่องไว หลังจากที่พาหลิวจื่อซินมานั่งที่เก้าอี้ตรงหน้าฉินลู่แล้ว พวกเธอก็หยิบเอากระดาษทิชชูมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของหลิวจื่อซิน

ในตอนนี้ หลิวจื่อซินเริ่มรู้สึกตัวแล้ว เพียงแต่ยังมึนหัวอยู่เล็กน้อย

“สาวน้อย รู้สึกตัวแล้วเหรอ ได้เวลาพอดีเลย!” ฉินลู่ปรับท่านั่งเล็กน้อย คิดในใจว่าเด็กสาวคนนี้หน้าตาสวยจัง จากนั้นก็เริ่มทำการตรวจให้เธอ

“สาวน้อย เธอชื่ออะไร”

“ฉันชื่อหลิวจื่อซินค่ะ” หลิวจื่อซินตอบเสียงดังฟังชัด แต่ฟังดูเหมือนฝืนใช้แรงเล็กน้อย ถ้าเทียบกับเสียงของฉินลู่แล้ว เสียงของหลิวจื่อซินฟังดูมีพลังกว่ามาก

“อายุเท่าไหร่แล้ว” ฉินลู่ขีดๆ เขียนๆ ที่ช่องใส่ชื่อบนใบตรวจวินิจฉัยไปพลางถามคำถามเธอไปพลาง

“18 ค่ะ”

“น้ำหนัก”

“คะ?”

“สงสัยอะไร บอกน้ำหนักมา!”

“48 กิโลกรัมค่ะ”

“สัด…”

ยังไม่ทันได้ถามคำถามต่อไป จางอี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เริ่มมีสีหน้าโมโหขึ้นมาแล้ว

“นี่ ฉินลู่ใช่ไหม คุณเป็นบ้าหรือไง! บอกแล้วไงว่าเธอเป็นไข้แดด จะซักไซ้อะไรนักหนา แล้วยังอยากรู้สัดส่วนของเธออีกด้วย ต่อไปก็คงจะขอเบอร์เธอล่ะสิ”

“เธอเป็นหมอหรือฉันเป็นหมอกันแน่ เธออายุยังน้อยแต่นิสัยแย่เอาเรื่องเลยนะ! ถ้าฮอร์โมนสวิงก็ไประเบิดที่อื่น ฉันเป็นแค่หมอคนหนึ่ง ไปทำอะไรให้เธอนักหนา!” ฉินลู่ทำหน้าตาน่าสงสาร เหมือนไม่รู้เลยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป แต่ดูจากสีหน้าของจางอี๋แล้ว สิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมา ทำให้จางอี๋โมโหมากกว่าเดิมอีก ใบหน้าของหลิวจื่อซินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำว่าสัดส่วนร่างกายที่จางอี๋พูดเมื่อกี้ หรือเป็นเพราะอากาศร้อนเกินไปกันแน่

“คุณ…คุณนั่นแหละที่ฮอร์โมนไม่ปกติ!” จางอี๋หน้าแดงไปหมด เหมือนถูกจับได้ตอนทำผิดอย่างไรอย่างนั้น

“จะหาเรื่องใครก็หาไป แต่อย่ามาหาเรื่องหมอ เคยได้ยินคำนี้ไหม เงียบๆ กันหน่อย ถ้าคราวหน้าเธอปวดจนทนไม่ไหวแล้วมาหาฉัน ฉันจะไม่จ่ายยาให้นะ! หน้าตาก็ดูดี แต่นิสัยแย่จัง” ฉินลู่เลิกมองจางอี๋ แล้วหันไปดูใบตรวจวินิจฉัยที่อยู่ในมือ เหมือนว่าเขาจะพอใจมากกับลายมือไก่เขี่ยของตัวเองที่ไม่มีใครอ่านออกเลย

“อะแฮ่ม เรามาต่อที่คำถามเมื่อกี้กันเลย สัด…ส่วนคำถามที่เป็นคำถามยอดฮิตสามอย่างก็ถามไปหมดแล้ว ตอนนี้เหงื่อของเธอก็เริ่มแห้งแล้วด้วย บวกกับอาการที่เพื่อนของเธอบอกมาเมื่อกี้ ฉันจะจ่ายยาหอมให้ขวดหนึ่ง เธอดื่มมันแล้ว อาการก็จะดีขึ้น ถ้ามีปัญหาอะไรค่อยมาหาฉันอีกที”

ฉินลู่ใช้ปากกาที่อยู่ในมือขีดเขียนลงบนใบตรวจอีกครั้ง เมื่อเขียนในส่วนของรายชื่อยาที่จะจ่ายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลงชื่อหมอที่ทำการตรวจที่ด้านล่างต่อ

“เอาใบนี่ไป แล้วไปจ่ายเงินตรงนั้นนะ” ฉินลู่ยื่นใบสั่งยาให้หลิวจื่อซิน และชี้ไปที่ตำแหน่งที่เขานั่งเมื่อกี้

หลิวจื่อซินรับใบสั่งยามา และรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นน่าขำดี ชายหนุ่มคนนี้หน้าตาหล่อเหลา แถมดูแล้วก็ยังหนุ่มด้วย ที่เขาพูดต่อปากต่อคำกับจางอี๋ตั้งนานนม คงเป็นเพราะอยากยื้อเวลาให้เหงื่อบนตัวเธอแห้งสินะ

ฉินลู่ไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น หลังจากที่เขายื่นใบสั่งยาให้กับหลิวจื่อซิน เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนก้าวไปข้างหน้าสองก้าว เขายื่นมือไปคว้ายาหอมออกมากล่องหนึ่ง แล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม

“ทั้งหมด 25 หยวน 8 เหมา”

จางอี๋นำเงินที่หลิวจื่อซินยื่นให้ เดินไปตรงหน้าฉินลู่ แล้ววางเงินลงบนโต๊ะกระจก เธอสะบัดหน้าหันไปมองทางอื่นด้วยความโมโห และเมินฉินลู่โดยสิ้นเชิง

ฉินลู่เบ้ปากเล็กน้อย พร้อมกับยักไหล่เบาๆ เขาดึงลิ้นชักออกมา แล้วหยิบเงินทอนมาวางไว้บนโต๊ะกระจก จางอี๋หยิบยาพร้อมเงินทอน เดินกลับไปหาหลิวจื่อซิน เธอกับหวังหลิงช่วยกันพาหลิวจื่อซินเดินออกไปจากห้องพยาบาล จางอี๋เดินไปพลาง ปากก็บ่นพึมพำไปพลาง

“ห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัยพวกเราดูงบน้อยจัง จ้างหมอที่อายุน้อยขนาดนี้มาได้ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร ทำเป็นตรวจนู่นตรวจนี่ตั้งนาน สุดท้ายก็ให้ยาหอมอย่างที่ครูฝึกบอกเท่านั้น ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก ฉันไม่มีทางมานั่งพูดกับเขาให้เสียเวลาหรอก”

เธอตั้งใจพูดเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าพูดให้ฉินลู่ได้ยิน หลิวจื่อซินดึงมือจางอี๋เบาๆ แล้วหันไปมองหมอที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเธอ ตอนนี้เขาก้มหน้าเล่นมือถือแล้ว จากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องพยาบาลไป โดยมีจางอี๋กับหวังหลิงช่วยประคอง

การพูดประชดแบบนี้ ฉินลู่ไม่เก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว อันที่จริง การเป็นไข้แดดไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่เขามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่า ม้ามและกระเพาะอาหารของหลิวจื่อซินค่อนข้างอ่อนแอ แถมเธอยังต้องมาเสียเหงื่อมากๆ เพราะอากาศร้อนแบบนี้อีก ไข้แดดนั้นรักษาไม่ยาก ให้ยาหอมไปกินก็หายแล้ว แต่ถ้าเธอตัวชุ่มเหงื่อแล้วยังออกไปตากลมอีก แบบนั้นก็คงต้องป่วยหนักแน่

แต่เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ให้พวกเธอฟัง เขารัวนิ้วบนหน้าจอมือถือไม่กี่ที หน้าเว็บไซต์ที่เป็นสีขาวล้วนก็เด้งขึ้นมา ฉินลู่แตะตรงนั้นทีตรงนี้ที จอแสดงผลก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป

หลังจากที่กรอกรหัสเพื่อลงชื่อเข้าใช้งานแล้ว ก็เข้าสู่หน้าภารกิจของฉัน เขากดที่ปุ่มเสร็จสิ้นภารกิจ ปุ่มนั้นก็กลายเป็นสีเทาที่มีคำว่ากำลังประมวลผล ไม่กี่วินาทีผ่านไป หน้าเว็บรีโหลดอีกครั้ง คำว่ากำลังประมวลผลกลายเป็นคำว่ายืนยันเรียบร้อยแล้ว

ข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาที่ด้านบนของจอมือถือ

[เรียนผู้ใช้งานที่เคารพ มียอดเงินจำนวน 500,000 หยวน โอนเข้าบัญชีเลขท้าย 4953 ของท่านแล้ว ยอดเงินคงเหลือ 13870…]

แม้ไม่ได้แสดงข้อความหลังจากนั้นให้เห็น แต่ในฐานะเจ้าของบัญชี ฉินลู่รู้ดีว่ายอดเงินที่เหลือคือเท่าไร ขณะเดียวกัน เขาเองก็พอใจกับการทำงานขององค์กรอย่างมากด้วย

หลังจากที่เห็นว่าได้รับยอดเงินแล้ว ฉินลู่ถึงค่อยวางมือถือลง เขาเงยหน้ามองออกไปด้านนอก พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น ก็ถอดเสื้อกาวน์สีขาวออก แล้วเลิกเสื้อเชิ้ตที่อยู่อีกชั้นขึ้น

ภายใต้เสื้อเชิ้ตนั้น มีผ้าพันแผลที่ตอนนี้เปื้อนเลือดไปหมด แถมยังเปื้อนมาถึงเสื้อเชิ้ตด้วย ยังดีที่เสื้อกาวน์ไม่ได้แนบกับตัวมาก จึงทำให้เสื้อกาวน์ไม่มีรอยเลอะเลือด

เขาหยิบถุงมือที่เพิ่งถอดทิ้งเมื่อครู่ขึ้นมาสวมอีกครั้ง ฉินลู่ใช้ปากคาบชายเสื้อเชิ้ตเอาไว้ แล้วออกแรงกดลงที่แผล ก่อนดึงผ้าพันแผลสีขาวเปื้อนเลือดออกมาทิ้งลงไปในถังขยะใต้โต๊ะกระจก

จากนั้นหยิบผ้าพันแผลอันใหม่ขึ้นมา พอเช็ดทำความสะอาดบริเวณรอบๆ แผลแล้ว จึงค่อยเห็นแผลที่มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร

“หากระวังก็จะไม่เจ็บตัว แต่ประมาทเมื่อไหร่ ต้องเจ็บหนักตลอดเลย!”

ใช้นิสัยที่ติดมาจากการทำงานอีกแล้ว

ในฐานะที่ฉินลู่เป็นนักฆ่ามือสมัครเล่นระดับล่าง และทำงานนี้มาหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องมาเจ็บหนักขนาดนี้!

ต้องโทษที่ตัวเขาเอง เพราะติดนิสัยจากการทำงานมาใช้ในช่วงเวลาวิกฤติ ทำให้อีกฝ่ายได้โอกาสโจมตีเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสะกิดบาดแผลของฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย

ภารกิจครั้งนี้ก็มีเป้าหมายเหมือนครั้งก่อนๆ นั่นก็คือพวกค้ามนุษย์ที่ชั่วร้าย มันขโมยเด็ก ลักพาตัว และเอาไปขาย เด็กบางคนที่ขายไม่ได้ มันก็จะตัดแขนตัดขาแล้วสั่งให้ไปเป็นขอทาน มีคุณพ่อคนหนึ่งตามหาลูกตัวเองมานานถึง 4 ปี สุดท้ายบังเอิญไปเจอว่าลูกกลายเป็นคนพิการ ซ้ำยังสติไม่ดีจนพูดไม่รู้เรื่องแล้วด้วย จึงทำให้เกิดภารกิจในครั้งนี้ขึ้น!

ด้วยค่าตอบแทนหนึ่งล้านหยวน และแบ่งเปอร์เซ็นต์กับองค์กรคนละครึ่ง

“จะผิดพลาดแบบเดิมอีกไม่ได้เด็ดขาด!”

เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ฉินลู่ก็เตือนตัวเองในใจอีกครั้ง การเปลี่ยนตัวตนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก มันจะเป็นปัญหาได้หากเปลี่ยนตัวตนผิดหรือใช้ตัวตนปะปนกัน!

ตอนนั้นที่เขาสู้กับคนร้าย คนร้ายคนนั้นลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแล้ว ในตอนที่ฉินลู่กำลังจะก้มลงไปแทงคนร้ายนั่นเอง เขาก็พบว่าตาของคนร้ายดูล่องลอยเล็กน้อย ที่ตาขาวมีเส้นเลือดเต็มไปหมด แถมยังเหลืองอีกด้วย ขอบตาก็หมองคล้ำ ชัดเจนว่าตับกำลังมีปัญหา บวกกับคนร้ายคนนี้หนักประมาณร้อยกว่ากิโล เขาทั้งอ้วนและไขมันเยอะ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มีโอกาสสูงที่จะเป็นตับแข็งได้

อีกอย่าง ใบหูของเขาก็แห้งและคล้ำ เกิดจากสภาวะที่ไตทำงานหนักเกินไป สัญชาตญาณความเป็นหมอของฉินลู่ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า

“ผมว่าคุณน่ะนะ ใจดำยังไม่พอ ไตก็ไม่ดี ตับก็ยัง…เวรเอ๊ย!”

ฉินลู่พูดยังไม่ทันจบ แถมยังไม่ทันได้ออกใบวินิจฉัยโรค ไอ้หมูอ้วนที่นอนกองอยู่ที่พื้นก็ประชิดตัวเข้ามาหาเขาโดยไม่แคร์น้ำหนักตัวเลย ไม่รู้ว่าเขาไปเอามีดสั้นมาจากไหน แต่จู่ๆ ก็เอามีดในมือแทงเข้าไปที่ท้องของฉินลู่

ฉินลู่มีการตอบสนองที่ฉับไว เขาใช้มือขวาจับข้อมือของคนร้ายไว้ได้ แต่ว่าปลายแหลมของมีดนั้นก็แทงเข้าไปที่ท้องน้อยของฉินลู่แล้ว

“โชคดีที่ไหวตัวทัน ไม่อย่างนั้นภารกิจครั้งนี้อาจล้มเหลวได้ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในครั้งนี้แล้ว ก็จะได้พักยาวๆ ทั้งเดือนเลย”

ฉินลู่หยิบเข็มฝังเข็มที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษออกมาจากโต๊ะกระจก เขามองไปที่ถุงดำใต้โต๊ะ ก่อนพยักหน้าเบาๆ อย่างมีความสุข

เขาใช้มือข้างหนึ่งกดแผลไว้ ส่วนอีกข้างก็หยิบเข็มเล็กเรียวยาวออกมาเล่มหนึ่ง เขามองเข็มนั้น ก่อนจะฝังลงไปที่ตำแหน่งบนแผลของตน

เข็มฝังเข็มแบ่งเป็น 5 ส่วน ปลายเข็ม ตัวเข็ม รากเข็ม ด้ามจับเข็ม และหางเข็ม

จากปลายเข็มจนถึงรากเข็ม มีความยาวประมาณ 1.5 เท่าของด้ามจับเข็ม

เข็มฝังลงไปบริเวณรอบแผล ถูกดันเข้าไปในร่างกายจนถึงส่วนของรากเข็ม ฉินลู่ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หมุนที่หางเข็มไปมาสามที แล้วจึงค่อยหยิบเข็มฝังเข็มอีกเล่มออกมาจากแผงเข็ม

ฉินลู่ทำแบบเดิมอีก 5 ครั้ง เข็มฝังเข็ม 5 เล่มก็ถูกฝังอยู่บนตัวของฉินลู่ที่บริเวณรอบๆ แผล ทำให้แผลของเขาในตอนนี้ไม่มีเลือดไหลออกมาแล้ว

จากนั้นเขาก็หยิบขวดเล็กสีดำจากโต๊ะกระจก แล้วค่อยๆ เทผงยาที่อยู่ข้างในลงบนแผล ฉินลู่คว้าเอาปลาสเตอร์มาแปะลงบนแผลที่เพิ่งโรยผงยาอย่างลวกๆ จากนั้นก็ดึงเข็มทั้งหมดออก

หลังจากที่ทำแผลเรียบร้อยแล้ว ฉินลู่ก็เปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว เขาทิ้งเสื้อเชิ้ตที่มีรอยมีดแทงและเปื้อนเลือดตอนถูกแทงลงในถังขยะทันที

เขาเปิดถุงดำออก ในนั้นมีของอยู่สามอย่าง ทองคำ เงินสด และซองเอกสาร

ในซองเอกสารมีสมุดเล่มหนึ่ง ฉินลู่เปิดอ่านได้เพียงหน้าเดียวก็ไม่อยากอ่านต่อแล้ว

“ทำเรื่องไม่ดีแล้วยังเขียนลงไดอารี่อีก ประสาทจริงๆ!”

เขาโยนสมุดเล่มนั้นเข้าไปในตู้เซฟอีกตู้ที่อยู่ใต้โต๊ะกระจก ก่อนจะเริ่มไปทำสิ่งที่ชอบที่สุดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและมีความสุข

“หนึ่งหมื่น สองหมื่น…แสนสาม แสนสี่ แสนห้า เงินสดทั้งหมดมีแสนห้า ทองคำแท่งกับเครื่องประดับพวกนี้ รวมกันก็น่าจะประมาณ 6.7 ชั่ง[1] หรือก็คือ 3,350 กรัม ราคาทองคำปัจจุบันอยู่ที่ประมาณกรัมละ 285 หยวน เทียบเป็นเงินก็จะเท่ากับ 954,750 หยวน รวยแล้วเรา”

ฉินลู่ทำหน้าตาน่าสงสาร เขาคิดว่าช่างคุ้มจริงๆ ที่ได้ไปทำภารกิจครั้งนี้

“เงินทั้งหมดที่ได้จากภารกิจครั้งนี้คือ หนึ่งล้านหกแสนกว่าๆ ฉันจะเอาไปบริจาคสักแปดแสนห้า ก็ยังมีเงินเหลือๆ เลยนะ!” ฉินลู่ยิ้มอย่างร่าเริงแล้วนำเงินสดกับทองคำทั้งหมดใส่เข้าไปในตู้เซฟ ก่อนสวมชุดกาวน์สีขาวอีกครั้ง แล้วทำหน้าที่หมอต่อไป

จริงอยู่ที่งานในห้องพยาบาลไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ก็ไม่ทำให้ใครได้มีโอกาสเห็นพรสวรรค์ของฉินลู่เลย กระนั้น ฉินลู่เองก็ไม่สามารถขัดคำสั่งอาจารย์ที่บอกไว้ว่า “อดทนไว้ ให้เขาทำงานที่ห้องพยาบาลนี้สักสามปีก็แล้วกัน”

เพราะคำพูดของตาแก่ที่บอกว่าต้องจ่ายค่าประกันอุบัติเหตุให้กับสังคมเป็นจำนวนร้อยละ 50 ของค่าจ้าง นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มทำงานเป็นนักฆ่ามา เขาจึงต้องบริจาคเงินครึ่งหนึ่งทุกครั้งที่ทำภารกิจเสร็จสิ้น ช่วยไม่ได้ เพราะเขาขัดอาจารย์ไม่ได้นี่นา

“ถ้าไม่ใช่เพราะโรคนั้น…ฉันก็คงแข็งแกร่งกว่าตาแก่ไปแล้ว”

ฉินลู่ถอนหายใจออกมาอย่างหัวเสีย โรคที่เป็นตั้งแต่เกิด มันรักษาได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ตอนนี้ก็ต้องรอดูงานวิจัยของตาแก่ว่าจะช่วยอะไรได้บ้างไหม

“เอ๋”

มีเสียงคุยจ้อกแจ้กดังมาจากด้านนอกของห้องพยาบาล ฉินลู่หันไปมองมุมห้องที่เขาเพิ่งได้นั่งทำแผลเมื่อกี้ว่าเก็บกวาดเรียบร้อยดีหรือยัง หลังจากที่เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เขาจึงค่อยหันไปมองที่นอกประตูนั้น

หลังผ้าม่าน มีขาเรียวยาวและผิวขาวเนียนที่สวมรองเท้าส้นสูงสีดำเงาวับ วิ่งมาที่ประตูห้องพยาบาลอย่างเร่งรีบ เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่า จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอาจารย์เฉียนเชี่ยน

“หมอฉินคะ หมอฉิน นักศึกษาหัวแตก ช่วยไปดูกับฉันหน่อยสิคะ” เฉียนเชี่ยนที่วิ่งเข้ามาเปิดผ้าม่านออก พอเห็นตำแหน่งที่ฉินลู่นั่งอยู่ปุ๊บ ก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที

การแต่งกายของอาจารย์ที่เห็นได้ตามภาพยนตร์ทั่วไป มักสวมแว่นตากรอบดำขนาดใหญ่ ถ้าเป็นเวลาปกติ ฉินลู่ก็คงพูดแซวไปแล้วว่า “อาจารย์เฉียน ไม้เรียวของเธอไปไหนแล้วล่ะ”

แต่ว่าตอนนี้…เขาไม่กล้าแล้ว ถ้าทำให้อาจารย์เฉียนโมโหขึ้นมา เธออาจจะคว้าไม้เรียวมาตีเขาก็ได้

“อาจารย์เฉียน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ ใจเย็นๆ ก่อน ค่อยๆ พูด” ฉินลู่เผลอมองไปที่หน้าอกของอาจารย์เฉียนโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นว่ามันเด้งขึ้นลงอย่างแรง น่าเสียดายที่ติดกระดุมเม็ดแรกเอาไว้ ฉินลู่ยังจำได้ดีว่า เมื่อไม่กี่ปีก่อน ทางมหาวิทยาลัยกำหนดให้แต่งกายแบบเดียวกันหมด ทำให้อาจารย์เฉียนที่เป็นพวกแต่งตัวมิดชิดคิดไม่ตกอยู่นาน

“นักศึกษาชายสองคนในห้องของฉันทะเลาะกัน คนหนึ่งหัวแตกเลือดไหล รถพยาบาลติดอยู่ที่ถนน ฉันก็เลยให้พวกเขาพานักศึกษาคนนั้นมาหานายที่นี่ นายรีบช่วยฉันคิดหาวิธีหน่อยสิ”

พออาจารย์เฉียนพูดจบ ผ้าม่านน้อยๆ ของห้องพยาบาลก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง มีนักศึกษา 4-5 คนช่วยกันแบกเพื่อนคนที่หัวแตกวิ่งเข้ามา

“วางเขาลงตรงนั้น แล้วกลับไปเรียนเถอะ”

ฉินลู่มองแล้วก็ขมวดคิ้ว

ดูจากความเร็วของเลือดที่ไหลออกมาจากแผลแล้ว ไม่น่าจะเป็นแค่เพราะทะเลาะกันหรอกมั้ง

ฉินลู่ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อตรวจดูบาดแผล แล้วหันไปถามนักศึกษาชายพวกนั้นว่า “หัวของเขาไปกระแทกกับอะไรเข้าหรือเปล่า”

พวกนักศึกษามองฉินลู่ที่ยังดูหนุ่มแน่น แล้วหันไปมองอาจารย์เฉียน ทุกคนต่างเงียบไม่ยอมพูดอะไร เพราะพวกเขาไม่ค่อยชอบหมอที่ห้องพยาบาลเท่าไรนัก

“อาจารย์เฉียน ผมว่าเรารอรถพยาบาลดีกว่านะครับ แผลของเขาสาหัสขนาดนี้ เรามาที่ห้องพยาบาลของมหา’ลัยแบบนี้ทำไมกัน ใช่ว่าเราแค่ปวดหัวตัวร้อนแล้วกินยาก็จะหายนะครับ อีกอย่าง…”

ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าสุดยังพูดไม่จบ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร ที่สำคัญคือ ฉินลู่ดูเด็กเกินกว่าจะเป็นหมอได้ บวกกับสิ่งที่ได้เห็นในฟีดของมหาวิทยาลัย ที่มีการพูดถึงพฤติกรรมของหมอพาร์ตไทม์คนนี้อย่างไรด้วยแล้ว ทุกคนจึงคิดว่า ฉินลู่คนนี้เชื่อถือไม่ได้

คำพูดพวกนี้ ฉินลู่เองก็ได้ยินมาเยอะจนชิน เขาแค่ฟังผ่านๆ ไม่เก็บเอามาใส่ใจ

[1] 1 ชั่ง เท่ากับ 500 กรัม

จะห้ามเลือดต้องใช้เข็มทิ่มด้วยเหรอ

“เด็กสมัยนี้ วันๆ คิดแต่เรื่องไร้สาระ อาจารย์เฉียน เป็นเพราะเธอสั่งการบ้านพวกเขาน้อยไปหรือเปล่า” ฉินลู่หยิบแผงเข็มออกมา เขาเดินไปยังนักศึกษาที่ได้รับบาดเจ็บมา แล้วเปิดแผงเข็มออก

“หมอฉิน อย่าถือสาพวกเขาเลย พวกเขายังเป็นเด็ก รีบคิดเถอะว่าจะทำยังไงกับแผลนั้นดี” เฉียนเชี่ยนไม่ได้สนใจนักศึกษาชายคนนั้น เธอพูดกับฉินลู่ แล้วเดินถอยออกมาเล็กน้อย เพราะตรงนั้นมีเลือดเยอะมาก เธอเห็นแล้วใจไม่ดี

“เชอะ ใครบางคนอาจจะไม่ได้เรียนมหา’ลัยเลยด้วยซ้ำ ยังจะมาพูดถึงการบ้านอีก…” เมื่อเห็นว่าฉินลู่กับเฉียนเชี่ยนไม่ได้สนใจตัวเอง ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอาย จึงพูดอย่างไม่ยอมแพ้แบบนั้นออกมา

เพียงแต่หลังจากที่เขาพูดจบ ก็ยังไม่มีใครสนใจเขาเหมือนเดิม เพื่อที่จะทำลายความเงียบนั้น เขาจึงพูดต่อว่า “นี่มันยุคไหนแล้ว ยังมีคนใช้เข็มอยู่อีกเหรอ คิดว่าตัวเองเป็นหลี่สือเจิน[1]หรือไง อาจารย์เฉียน ถ้าเขาทำให้…”

“เงียบเลยนะ! ที่นี่หมดเรื่องของเธอแล้ว กลับไป”

เฉียนเชี่ยนที่จิตใจกระวนกระวายอยู่แล้ว ยังต้องมาฟังเด็กคนนี้พูดเจื้อยแจ้วอยู่ที่ข้างหูอีก ยิ่งทำให้ปวดหัวไปใหญ่

เด็กคนนั้นหน้าแดงก่ำ เขามองค้อนใส่ฉินลู่ทีหนึ่ง ก่อนเดินออกจากห้องพยาบาลไป

พอเด็กคนนั้นเดินออกไปแล้ว ฉินลู่จึงค่อยหยิบเข็มเรียวแหลมออกมาจากแผงเข็ม แล้วหันไปพูดกับเฉียนเชี่ยนว่า “ช่วยประคองเขาหน่อย ฉันจะเริ่มทำการรักษาแล้ว อย่ากังวลไปเลย แผลแบบนี้ดูน่ากลัวก็จริง แต่มันไม่ได้หนักหนาอะไรมากหรอก”

เขาเพิ่งจะพูดจบ เฉียนเชี่ยนยังไม่ทันได้แสดงปฏิกิริยาอะไรเลย จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนร้องของผู้หญิงที่มีความเกรี้ยวกราดและเป็นกังวลผสมอยู่ด้วยดังเข้ามา

“ลูกชายฉันล่ะ ลูกชายฉันอยู่ไหน!” เสียงตะโกนแหลมจนแสบหู สีหน้าของเฉียนเชี่ยนเปลี่ยนไปทันที หลังจากที่เธอพึมพำว่าต้องปวดหัวอีกแล้วสินะ ก็รีบหันไปมองที่ประตู

ตรงนั้นมีคนใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงยืนอยู่ ที่คอก็ห้อยสร้อยไข่มุกขนาดเกือบเท่าหัวแม่โป้งและกลมมนอยู่เส้นหนึ่ง กิ๊ฟติดเพชรที่หัวส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ ที่ข้อมือข้างหนึ่งเป็นกำไลทอง ส่วนอีกข้างก็เป็นกำไลมือหยก

ฉินลู่เห็นแล้วตาลุกวาว

“เสียดายชุดกี่เพ้านี้ชะมัดเลย”

ฉินลู่แอบส่ายหัวไปมา ชุดกี่เพ้าที่ตัดพอดีตัว หญิงวัยกลางคนใส่ทองและเครื่องประดับเพชรพลอยเต็มตัว แต่ว่ารูปร่างของเธอนั้น…มีเนื้อที่เป็นส่วนเกินเยอะเกินไป ทำให้ชุดกี่เพ้าดีๆ ดูแย่ไปเลย

“ไอ้หยา ลูกแม่ ใครทำกับลูกแบบนี้!” พอหญิงวัยกลางคนเห็นลูกชายที่ยังนอนสลบอยู่ ก็ร้องไห้ออกมาทันที ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เลือดบนตัวของเขายังไม่ทันแห้งเลย แค่เห็นแผลบนหัวก็น่าเป็นห่วงมากๆ แล้ว!

“ลูกชายของฉันเจ็บหนักขนาดนี้ ทำไมพวกคุณไม่พาเขาไปที่โรงพยาบาลล่ะ พามาที่ห้องพยาบาลแบบนี้ทำไม อยากฆ่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉันหรือไง!”

คำพูดของเธอกระทบกับฉินลู่และเฉียนเชี่ยนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

เฉียนเชี่ยนรีบเดินเข้าไปอธิบายว่า “คุณผู้ปกครอง เพราะว่ารถติด และเราเห็นว่าเด็กก็เจ็บหนักมาก ไม่อยากให้เสียเวลาไปเปล่าๆ จึงพามาที่นี่ก่อน ไว้เราห้ามเลือดได้แล้ว ค่อยว่ากันนะคะ”

“เหลวไหล!” หญิงวัยกลางคนชี้ไปที่ลูกชายของเธอแล้วพูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “รถติดแล้วยังไง คิดหาวิธีอื่นไม่ได้แล้วเหรอ!”

“จะฟาดงวงฟาดงาอะไรขนาดนั้น” ฉินลู่ขมวดคิ้ว เขาหยิบเข็มออกมาแล้วกำลังจะทำการฝังเข็มที่จุดฝังเข็มบนหัวของนักศึกษาคนนั้น

“จะทำอะไรน่ะ!” หญิงวัยกลางคนเห็นฉินลู่ถือเข็มยาวๆ อยู่ในมือ ทำให้ตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว ก่อนเดินเข้ามาดึงแขนของฉินลู่เอาไว้อย่างโมโห

“ผมก็กำลังจะรักษาให้ลูกชายของคุณไง!” ฉินลู่พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตอนนี้เขาเลือดไหลไม่หยุด ถ้าไม่รีบห้ามเลือด อาจจะเป็นอันตรายได้”

“ห้ามเลือดต้องใช้เข็มทิ่มด้วยเหรอ! นี่มันสมัยไหนแล้ว ยังใช้วิธีฝังเข็มอยู่อีก!” หญิงวัยกลางคนเข้าไปแย่งเข็มจากมือของฉินลู่อย่างดุดัน

ฉินลู่พูดออกมาว่า “เหอะ!” แล้วขยับร่างกายเล็กน้อย เหมือนว่ามีอะไรมาบังตัวหญิงวัยกลางคนเอาไว้ ทำให้เธอต้องถอยหลังกลับไป

ฉินลู่ใช้โอกาสนี้ เล็งเข็มแล้วรีบฝังเข็มลงไปที่หัวของเด็กคนนั้นอย่างรวดเร็ว

“อ๊าย!”

หญิงวัยกลางคนตาแดงขึ้นมาทันที แล้วมองค้อนใส่ฉินลู่ “ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!”

“ก็ห้ามเลือดให้ลูกชายคุณไง” ฉินลู่พูดตอบ พลางหยิบเข็มออกมาแล้วทำการฝังเข็มที่หัวของเด็กคนนั้นอีกสองสามเข็ม จากนั้นก็ชี้ที่แผลของเขาแล้วพูดว่า “เห็นหรือยังล่ะว่าเลือดหยุดไหลแล้ว”

หญิงวัยกลางคนรีบหันไปมองที่หัวของลูกชายตัวเอง ก็เห็นว่าเลือดที่ไหลออกมาจากแผลเมื่อกี้ ตอนนี้หยุดไหลแล้ว

“นี่มัน…” หญิงวัยกลางคนนิ่งอึ้งไปเลย

เฉียนเชี่ยนที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาใกล้แล้วพูดอย่างตะลึงว่า “ห้ามเลือดได้แล้ว! หมอฉิน นายห้ามเลือดเอาไว้ได้จริงๆ ด้วย! ใช้เวลาแป๊บเดียวก็ห้ามเลือดได้แล้ว!”

“ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ” ฉินลู่กลับไปนั่งที่เก้าอี้ เขาดื่มน้ำชาที่ตอนนี้เย็นไปแล้ว ก่อนพูดต่อว่า “พอห้ามเลือดได้ เขาก็ปลอดภัยแล้วล่ะ เดี๋ยวรอเวลาถอนเข็มออก ทำแผลนิดหน่อย กับเติมน้ำเกลือสักสองสามขวด ก็น่าจะดีขึ้นแล้ว”

พอหญิงวัยกลางคนหายอึ้ง ก็พูดพลางชี้ไปที่เข็มบนหัวของลูกชายว่า “รีบเอาเข็มพวกนี้ออกให้หมดเลยนะ ฉันไม่ต้องการให้เธอรักษาลูกชายของฉันแล้ว ก่อนมาที่นี่ ฉันได้ติดต่อกับโรงพยาบาลและศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดในเมืองจิงเฉิงไว้แล้ว ฉันจะพาลูกชายของฉันไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”

เธอพูด พลางเปิดกระเป๋าหนังชั้นดีที่อยู่ในมือ หยิบธนบัตร 100 หยวนออกมา 5 ใบ แล้ววางลงบนโต๊ะ ก่อนพูดกับฉินลู่ว่า “นี่คือค่ารักษา ถือว่าเป็นรางวัลที่เธอช่วยห้ามเลือดให้ลูกชายฉันได้ ตอนนี้ก็รีบเอาเข็มพวกนั้นออกซะ ฉันเห็นแล้วสงสารลูก”

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเอาเข็มออก” ฉินลู่มองไปที่หญิงวัยกลางคน และไม่ได้สนใจเงินบนโต๊ะเลย ก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกลางๆ ว่า “แม้ว่าตอนนี้ลูกชายของคุณจะเลือดหยุดไหลแล้ว แต่ก็ยังไม่ถือว่าปลอดภัย 100% ถ้าเกิดการกระทบกระทั่งอย่างรุนแรงละก็ มีโอกาสทำให้เลือดออกอีกได้ ดังนั้น ผมแนะนำว่าคุณควรจะให้เขาพักรักษาตัวอยู่ที่นี่สักระยะ แล้วค่อยย้ายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอันดับหนึ่งของเมืองจิงเฉิง”

หญิงวัยกลางคนจ้องหน้าฉินลู่อย่างเย็นชา ก่อนพูดออกมาว่า “อย่าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มาทักท้วงเรื่องการตัดสินใจของฉัน เพราะว่าตัวเองห้ามเลือดให้เขาได้ ไม่รู้ฐานะของตัวเองหรือไง เป็นแค่หมอห้องพยาบาล ดูสิ ที่นี่ไม่มีเครื่องมือพร้อมใช้งานได้เลย ยังจะกล้ามาบอกให้ลูกชายของฉันพักรักษาตัวที่นี่อีก ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา หมอประจำห้องพยาบาลอย่างเธอจะชดใช้ได้เหรอ! เธอรับผิดชอบไหวไหม!”

“คุณผู้ปกครองคะ ไม่เห็นเหรอคะว่าหมอฉินห้ามเลือดให้ลูกชายของคุณได้แล้วน่ะ” เฉียนเชี่ยนที่อยู่ใกล้ๆ พูดออกมา เพราะทนไม่ได้ที่เห็นว่าหญิงวัยกลางคนรังแกคนอื่นแบบนี้

“เขาห้ามเลือดได้ แล้วเขาจะรักษาให้หายได้เหรอ” หญิงวัยกลางคนพูดต่ออีกว่า “รีบเอาเข็มพวกนั้นออกให้หมดตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย! ถ้าเขาต้องมาเสียเวลาและพลาดช่วงเวลารักษาที่ดีที่สุดไปเพราะพวกเธอสองคน ฉันจะไปเอาเรื่องกับทางมหาวิทยาลัยแน่! ให้เขาไล่พวกเธอออกซะ”

คำพูดของหญิงวัยกลางคนทำให้ฉินลู่เริ่มโมโห แต่ตัวเขาเองที่อยู่ในฐานะหมอประจำห้องพยาบาล และในฐานะหมอคนหนึ่ง เขาไม่ควรมีเรื่องกับญาติคนไข้ เพราะแบบนั้นเขาจึงอดกลั้นเอาไว้

เฉียนเชี่ยนก็โมโหเหมือนกัน เธอดึงแขนเสื้อขึ้นแล้วตั้งใจจะพูดปะทะกับหญิงวัยกลางคน แต่ฉินลู่ดึงแขนเธอไว้ก่อน แล้วพูดว่า “ในเมื่อผู้ปกครองคนนี้ยืนยันว่าจะพาลูกไปรักษาที่โรงพยาบาล งั้นก็ทำตามที่เธอต้องการก็แล้วกัน”

พูดจบ ฉินลู่ก็เดินไปเก็บเข็มที่ฝังอยู่บนหัวของเด็กหนุ่มคนนั้นออก

หญิงวัยกลางคนทั้งตัวใหญ่และแรงเยอะ เธออุ้มลูกของตัวเองขึ้นมา แล้วพาไปนั่งที่เบาะหลังของรถหรูคันหนึ่ง ที่จอดอยู่หน้าประตู

“ฉันเป็นอาจารย์ของเขา ฉันต้องไปดูอาการของเขาด้วยเหมือนกัน ครั้งนี้ก็ต้องขอบคุณนายจริงๆ นะหมอฉิน” เฉียนเชี่ยนเดินมาตรงหน้าฉินลู่ แล้วโค้งให้หนึ่งที

ฉินลู่เช็ดทำความสะอาดเข็ม แล้วเก็บลงในแผงใส่เข็มเหมือนเดิม ก่อนจะหันมามองอาจารย์เฉียน

“อาจารย์เฉียน เมื่อนับครั้งนี้ด้วยแล้ว เธอขอบคุณฉันมาสองครั้งแล้วนะ อย่ามัวแต่พูดสิ ต้องใช้การกระทำเพื่อแสดงความขอบคุณด้วย!”

ฉินลู่พูดไปด้วย แล้วมองเฉียนเชี่ยนตั้งแต่หัวจรดเท้าไปด้วย

ใบหน้าของเฉียนเชี่ยนแดงขึ้นมา เธอรู้ว่าฉินลู่แค่พูดหยอกเล่น แต่ว่าสายตาที่ฉินลู่มองเธอ ทำให้เธอรู้สึกแตกต่างอย่างไรชอบกล

“อี๋ คนลามก!” เฉียนเชี่ยนด่าออกมาอย่างเขินอาย แล้วพูดต่อว่า “งั้นฉันขอตัวก่อนนะ เมื่อกี้ ผู้ปกครองคนนั้นพูดจาไม่ค่อยน่าฟัง แต่ก็เป็นเพราะว่าเธอเป็นห่วงลูกชายของตัวเอง นายอย่าใส่ใจเลยนะ”

“ฉันไม่ใส่ใจอยู่แล้วละ พอมองจากมุมของผู้ปกครองคนนั้น ฉันก็เข้าใจและอภัยให้เธอแล้ว” ฉินลู่หัวเราะ แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “พอเธอไปถึงโรงพยาบาล แล้วได้ยินสิ่งที่หมอบอก เธอจะต้องกลับมาขอบคุณฉันแน่”

“นายไม่โกรธก็ดีแล้ว” เฉียนเชี่ยนพยักหน้า แล้วรีบวิ่งตามออกไป

[1]หลี่เสินเจิน คือ ราชาสมุนไพรจีน มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์หมิง

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0